กระแสการถกเถียงกันในแวดวงของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในประเด็นว่าพันธมิตรควรจะยกระดับขึ้นเป็นพรรคการเมืองหรือไม่ ดูจะสร้างทั้งความคึกคัก หวาดหวั่น ขึ้นในมวลหมู่ของพันธมิตรไม่น้อยทีเดียว มีคำถามเกิดขึ้นมากมายเช่น หากพันธมิตรแปรเป็นพรรคการเมืองจะทำให้ความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวเหมือนที่ผ่านมาลดความชอบธรรมลงหรือไม่? จะสร้างความขัดแย้งกันภายในแตกแยกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยและทอนกำลังของการเมืองภาคประชาชนลงหรือไม่? เราควรรักษารูปแบบเช่นนี้เอาไว้เพราะสวยงามหอมหวานยิ่งนัก?(ความรักความสัมพันธ์ที่ยืนหยัดร่วมสู้กันมา ท่ามกลางแสงแดดสายฝนดงกระสุนและแกสน้ำตา มันได้หลอมรวมชีวิตที่หลากหลายเข้าด้วยกัน ที่มนุษย์กลุ่มอื่นๆไม่มีทางเข้าใจ ??)สำหรับผมมีคำอธิบายสำหรับตัวเอง 3-4ประเด็นดังนี้
1.ภาพของพรรคการเมืองในอดีตที่เราสัมผัสกันมา มันไม่ได้สร้างความหวังที่เป็นเป้าหมายร่วมมาก่อน เป็นเรื่องที่เรามองเห็นถึงความไร้หวังในเป้าหมายและทิศทางของสังคมใหญ่ ที่เราคาดหวังจะได้สังคมที่ดีงาม ที่มีหลักประกันให้กับทุกๆคนในสังคมอย่างเท่าเทียม อย่างเคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีการกดขี่ขูดรีดโกงกินไม่มีอภิสิทธ์ชน ไม่มีคนอยู่เหนือกฎกติกาของสังคม(ซึ่งจริงๆแล้วอภิสิทธิ์ชนมีตั้งแต่ในระดับชุมชน ในหน่วยงานราชการและเอกชน กฎกติกาของสังคมก็เป็นกฎกติกาเฉยๆ ลูกผู้ใหญ่/กำนัน ซิ่งรถตามหมู่บ้านจ่าไม่กล้าจับ แม่ยายครูในหมู่บ้านไม่ต้องเข้าคิวรับการรักษาพยาบาล ออกโฉนดที่ดินได้ง่ายกว่าคนทั่วไปฯลฯ)พรรคการเมืองที่เกิดขึ้นและผ่านมา มีโอกาสได้เป็นรัฐบาลปกครองบ้านเมืองไม่เคยแก้ไขปัญหาที่ตำตาตำใจเหล่านี้ได้ เราจึงเกรงว่าหากพันธมิตรเป็นพรรคการเมืองและอยู่ในสภาพไม่แตกต่าง อย่าเป็นมันเลยพรรคการเมือง ขอเป็นแค่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างที่เป็นอยู่น่ะดีที่สุดแล้ว ซึ่งก็น่าสนใจแต่มีคำถามที่ท้าทายเข้ามาไม่น้อยเช่น ในความหมายของระบอบประชาธิปไตยที่สังคมเรานำมาใช้ในการเข้าบริหารจัดการประเทศและสังคม มีกติกาต้องมีการจัดตั้งพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีนโยบาย มีการจัดรูปแบบองค์กรของพรรค มีการส่งสมาชิกเข้าสู่สนามการเลือกตั้งในกรณีที่พรรคมีความพร้อม หากได้รับฉันทามติจากผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม ก็จะสร้างความชอบธรรมในการเข้าไปใช้อำนาจรัฐในการบริหารบ้านเมือง หากไม่เป็นไปตามครรลองนี้ การขับเคลื่อนก็ต้องจำกัดเป้าหมาย ว่าเราจะเป็นแค่สุนัขเฝ้าบ้าน เป็นพลเมืองที่เกาะกันเป็นกลุ่มก้อนดูแลรักษาสังคมเป็นเรื่องๆ ตามสถานการณ์ไม่ให้สิ่งที่ขาดความชอบธรรมเกิดขึ้นในสังคมที่เรามีส่วนร่วมรับผิดชอบในระดับต่างๆ หากสรุปได้แค่นี้พวกเราก็ไม่ควรมีพรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองหมายถึงเป้าหมายที่จะเข้าไปบริหารจัดการสังคมใหญ่โดยรวม
โจทย์ที่ควรคิดควบคู่กันไปให้ครบทุกมิติในกรณีที่กลุ่มพันธมิตรอยากยกระดับขึ้นเป็นพรรคการเมืองก็คือ องค์กรที่จะประกอบขึ้นเป็นพรรคควรจะมีรายละเอียดอะไรบ้างที่จะก้าวไปให้พ้นพรรคการเมืองเก่าที่ไร้หวังและน่าขยะแขยงเช่น การเป็นสมาชิกของพรรคที่เป็นของมวลชนจริงๆควรจะจัดรูปแบบและการมีส่วนร่วมอะไรบ้างที่มากไปกว่าการส่งรายชื่อและได้บัตรสมาชิกมาถือเหมือนพรรคการเมืองต่างๆที่มีอยู่? ความเป็นประชาธิปไตยของพรรคควรจะเป็นเช่นไรที่ไม่ใช่นายทุนพรรคกลุ่มเดียวที่กำหนดทิศทางหรือชี้นิ้วว่าพรรคควรจะไปในทิศทางใดเหมือนพรรคการเมืองที่มีอยู่?โจทย์เหล่านี้คือการบ้านที่ไม่เกินกำลังของกลุ่มพันธมิตรที่จะสร้างมันขึ้นมา เพราะองค์ประกอบที่หลากหลายที่มีอยู่ มีศักยภาพพอที่จะสร้างหรือแปรความต้องการของกลุ่มออกมาให้เป็นรูปธรรมได้ และควรได้ยกร่างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาก่อน ก่อนที่เราจะมาตั้งคำถามว่าเราควรจะเป็นพรรคการเมืองหรือไม่ สิ่งที่ทำให้พันธมิตรบางส่วนยังกังวลก็เพราะเราไม่ได้เห็นรายละเอียดเหล่านี้ใช่หรือไม่?
2.ปฏิบัติการสู่การเมืองใหม่ไม่ได้หมายถึงการวางเป้าหมายสู่การเข้าใช้อำนาจรัฐได้ในชั่วข้ามคืน ในท่ามกลางความแตกแยกแตกต่างที่สังคมกำลังเผชิญอยู่ในหลายๆมิติหลายๆเนื้อหา มันมีภาพลวงตามีภาวะวิสัยที่แม้แต่ในกลุ่มพันธมิตรเราเองต้องประเมินว่า การเคลื่อนไหวที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมอีกครั้งในครั้งนี้ แม้เราจะเห็นด้วยร่วมกันว่าได้ยกระดับของการเคลื่อนไหวทางสังคมไปอีกก้าว มีการใช้วาทกรรมว่าเอาธรรมนำหน้า มีการจัดองค์กรในการเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพ มีการหยิบยกความเน่าแฟะที่หมักหมมของสังคมออกมาตีแผ่ผ่านสื่อช่องทางเล็กๆอย่างต่อเนื่อง มีพี่น้องที่ยอมสละได้แม้ชีวิตเพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่เผชิญกันอยู่ ยังมีองค์ประกอบมีเงื่อนไขเกี่ยวพันอื่นๆที่การเมืองใหม่หรือสังคมใหม่จะต้องช่วยกันคลี่คลายอีกมาก รวมถึงคำถามหรือโจทย์ปัญหาของสังคมที่พี่น้องกลุ่มคนเสื้อแดงได้หยิบยกขึ้นมา ในบางส่วนบางประเด็น ก็เป็นสิ่งที่กลุ่มพันธมิตรควรหยิบยกขึ้นมาใคร่ครวญอย่างใจเย็น อย่างมีสติมีวุฒิภาวะใช่หรือไม่?
3.โดยส่วนตัวผมมองว่าพวกเรากลุ่มพันธมิตรถูกกระแสให้เน้นไปที่อำนาจทางการเมืองในส่วนกลางมากเกินไป ทั้งๆที่องค์ประกอบของผู้คนมีหลากหลายโดยเฉพาะในต่างจังหวัด หากการเมืองใหม่หมายถึงเจตนาหรือจิตวิญญาณทางการเมือง ที่ต้องการการเมืองที่สะอาดโปร่งใสและชอบธรรม สนามแห่งการต่อสู้ของพวกเรามีอยู่ทุกสนามเช่นองค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด เพราะสิ่งที่เป็นการเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยการขี้ฉ้อ โกงกินหาผลประโยชน์เข้ากลุ่มเข้าพวกละเลยปัญหาของสังคมโดยรวม หาได้ปรากฏกายอยู่แต่เฉพาะการเมืองในระดับประเทศไม่ใช่หรือ??ผมจึงอยากเสนอให้พันธมิตรในระดับตำบล จังหวัดจับกลุ่มเกาะเกี่ยวกันสร้างเป็นองค์กรในระดับท้องถิ่นให้มากๆ ดูแลปัญหาใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับสังคมของสมาชิกว่ากำลังเผชิญอยู่กับปัญหาอะไรบ้าง แล้วนำเสนอทางออกเสนอตัวรับใช้ในมิติของการเมืองใหม่ที่พูดๆกัน ให้สร้างสัมพันธ์กับส่วนกลางในการหนุนช่วยทั้งในด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือหนุนเสริมกิจกรรมอันเป็นทางออกของปัญหาในระดับพื้นที่ ผมคิดว่านี่คือหนทางหนึ่งที่กลุ่มพันธมิตรสามารถปฏิบัติการสู่การเมืองใหม่ได้อย่างเป็นจริง และสามรถลงมือได้เลยโดยไม่ต้องรอขบวนใหญ่จากส่วนกลางเท่านั้น
4.มีคำถามว่าหากกลุ่มพันธมิตรแห่แหนกันไปอยู่ในกรอบของพรรคการเมืองกันหมด ต่อไปความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวภาคประชาชนเหมือนที่ผ่านมาจะเกิดขึ้นลำบาก ผมคิดว่ากลุ่มพันธมิตรของพวกเราควรได้มองไปข้างหน้า อย่าติดยึดกับความหอมหวานแห่งอดีตให้มากนัก มองสังคมอย่างพลวัตรที่มีการขับเคลื่อนตัวไปตลอดเวลาไม่หยุดนิ่ง ในเงื่อนไขหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งสรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปกาลเวลาของมัน แต่หากเจตนารมณ์หรือเป้าหมายอยู่ที่ความถูกต้องชอบธรรม ซึ่งต้องอยู่เหนือกลุ่มเหนือพรรค การเคลื่อนไหวภาคประชาชนจะไม่มีวันตายผมเชื่อเช่นนั้น เพียงแต่ปัจจัยแวดล้อมจะเป็นตัวกำหนดรูปแบบและวิธีการของมันเอง อีกประเด็นความหมายที่ละเอียดลึกซึ้งของการเมืองภาคประชาชนไม่ได้หมายถึงการเดินอยู่บนถนนราชดำเนินเท่านั้น ขนาดและจำนวนไม่ได้มีความหมายมากไปกว่าเนื้อหา เนื้อหาของการเคลื่อนไหวของการเมืองภาคประชาชนที่แท้จริง จะต้องตั้งอยู่บนผลประโยชน์ที่ชอบธรรมของประชาชนในหลากหลายอาชีพ หลากหลายภูมินิเวศน์ซึ่งมีอยู่ในหลายเนื้อหา หลายระดับ ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งการเคลื่อนไหวการเมืองภาคประชาชนได้หรอกตราบใดที่ณที่นั้นๆขาดความถูกต้องชอบธรรมที่จะกระทบกับพวกเขา
ปฏิบัติการสู่การเมืองใหม่ของพันธมิตรจึงไม่ใช่ประเด็นที่ควรวิตกจริตกันจนเกินเหตุ อาจจะเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยชิน อาจจะมีความกังวลในหลายๆมิติ เพราะเราถูกแยกส่วนให้จมปลักอยู่กับความเคยชินเดิมๆจนรู้สึกว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ ถึงวันนี้พิสูจน์ให้เห็นกับตา ตอกย้ำกับความมั่นใจว่าทุกอย่างแก้ไขและเปลี่ยนแปลงมันได้ด้วยพลังและเจตนาร่วมของพวกเรา และหากเราต่างเชื่อในเจตนาดี ที่จะทำสิ่งดีๆเพื่อสังคมที่ดีงาม ที่ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อหมู่พวก เราก็จะก้าวพ้นความกังวลทั้งปวงซึ่งสามารถล้มแล้วลุกขึ้นมาปฏิบัติการใหม่ หลังจากมีการสรุปบทเรียนทั้งสำเร็จและล้มเหลวในแต่ละครั้งของการเคลื่อนไหวต่อๆไปอย่างไม่หยุดนิ่ง
ผมเชื่อของผมเช่นนี้ครับ.
1.ภาพของพรรคการเมืองในอดีตที่เราสัมผัสกันมา มันไม่ได้สร้างความหวังที่เป็นเป้าหมายร่วมมาก่อน เป็นเรื่องที่เรามองเห็นถึงความไร้หวังในเป้าหมายและทิศทางของสังคมใหญ่ ที่เราคาดหวังจะได้สังคมที่ดีงาม ที่มีหลักประกันให้กับทุกๆคนในสังคมอย่างเท่าเทียม อย่างเคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีการกดขี่ขูดรีดโกงกินไม่มีอภิสิทธ์ชน ไม่มีคนอยู่เหนือกฎกติกาของสังคม(ซึ่งจริงๆแล้วอภิสิทธิ์ชนมีตั้งแต่ในระดับชุมชน ในหน่วยงานราชการและเอกชน กฎกติกาของสังคมก็เป็นกฎกติกาเฉยๆ ลูกผู้ใหญ่/กำนัน ซิ่งรถตามหมู่บ้านจ่าไม่กล้าจับ แม่ยายครูในหมู่บ้านไม่ต้องเข้าคิวรับการรักษาพยาบาล ออกโฉนดที่ดินได้ง่ายกว่าคนทั่วไปฯลฯ)พรรคการเมืองที่เกิดขึ้นและผ่านมา มีโอกาสได้เป็นรัฐบาลปกครองบ้านเมืองไม่เคยแก้ไขปัญหาที่ตำตาตำใจเหล่านี้ได้ เราจึงเกรงว่าหากพันธมิตรเป็นพรรคการเมืองและอยู่ในสภาพไม่แตกต่าง อย่าเป็นมันเลยพรรคการเมือง ขอเป็นแค่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างที่เป็นอยู่น่ะดีที่สุดแล้ว ซึ่งก็น่าสนใจแต่มีคำถามที่ท้าทายเข้ามาไม่น้อยเช่น ในความหมายของระบอบประชาธิปไตยที่สังคมเรานำมาใช้ในการเข้าบริหารจัดการประเทศและสังคม มีกติกาต้องมีการจัดตั้งพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีนโยบาย มีการจัดรูปแบบองค์กรของพรรค มีการส่งสมาชิกเข้าสู่สนามการเลือกตั้งในกรณีที่พรรคมีความพร้อม หากได้รับฉันทามติจากผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม ก็จะสร้างความชอบธรรมในการเข้าไปใช้อำนาจรัฐในการบริหารบ้านเมือง หากไม่เป็นไปตามครรลองนี้ การขับเคลื่อนก็ต้องจำกัดเป้าหมาย ว่าเราจะเป็นแค่สุนัขเฝ้าบ้าน เป็นพลเมืองที่เกาะกันเป็นกลุ่มก้อนดูแลรักษาสังคมเป็นเรื่องๆ ตามสถานการณ์ไม่ให้สิ่งที่ขาดความชอบธรรมเกิดขึ้นในสังคมที่เรามีส่วนร่วมรับผิดชอบในระดับต่างๆ หากสรุปได้แค่นี้พวกเราก็ไม่ควรมีพรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองหมายถึงเป้าหมายที่จะเข้าไปบริหารจัดการสังคมใหญ่โดยรวม
โจทย์ที่ควรคิดควบคู่กันไปให้ครบทุกมิติในกรณีที่กลุ่มพันธมิตรอยากยกระดับขึ้นเป็นพรรคการเมืองก็คือ องค์กรที่จะประกอบขึ้นเป็นพรรคควรจะมีรายละเอียดอะไรบ้างที่จะก้าวไปให้พ้นพรรคการเมืองเก่าที่ไร้หวังและน่าขยะแขยงเช่น การเป็นสมาชิกของพรรคที่เป็นของมวลชนจริงๆควรจะจัดรูปแบบและการมีส่วนร่วมอะไรบ้างที่มากไปกว่าการส่งรายชื่อและได้บัตรสมาชิกมาถือเหมือนพรรคการเมืองต่างๆที่มีอยู่? ความเป็นประชาธิปไตยของพรรคควรจะเป็นเช่นไรที่ไม่ใช่นายทุนพรรคกลุ่มเดียวที่กำหนดทิศทางหรือชี้นิ้วว่าพรรคควรจะไปในทิศทางใดเหมือนพรรคการเมืองที่มีอยู่?โจทย์เหล่านี้คือการบ้านที่ไม่เกินกำลังของกลุ่มพันธมิตรที่จะสร้างมันขึ้นมา เพราะองค์ประกอบที่หลากหลายที่มีอยู่ มีศักยภาพพอที่จะสร้างหรือแปรความต้องการของกลุ่มออกมาให้เป็นรูปธรรมได้ และควรได้ยกร่างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาก่อน ก่อนที่เราจะมาตั้งคำถามว่าเราควรจะเป็นพรรคการเมืองหรือไม่ สิ่งที่ทำให้พันธมิตรบางส่วนยังกังวลก็เพราะเราไม่ได้เห็นรายละเอียดเหล่านี้ใช่หรือไม่?
2.ปฏิบัติการสู่การเมืองใหม่ไม่ได้หมายถึงการวางเป้าหมายสู่การเข้าใช้อำนาจรัฐได้ในชั่วข้ามคืน ในท่ามกลางความแตกแยกแตกต่างที่สังคมกำลังเผชิญอยู่ในหลายๆมิติหลายๆเนื้อหา มันมีภาพลวงตามีภาวะวิสัยที่แม้แต่ในกลุ่มพันธมิตรเราเองต้องประเมินว่า การเคลื่อนไหวที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมอีกครั้งในครั้งนี้ แม้เราจะเห็นด้วยร่วมกันว่าได้ยกระดับของการเคลื่อนไหวทางสังคมไปอีกก้าว มีการใช้วาทกรรมว่าเอาธรรมนำหน้า มีการจัดองค์กรในการเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพ มีการหยิบยกความเน่าแฟะที่หมักหมมของสังคมออกมาตีแผ่ผ่านสื่อช่องทางเล็กๆอย่างต่อเนื่อง มีพี่น้องที่ยอมสละได้แม้ชีวิตเพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่เผชิญกันอยู่ ยังมีองค์ประกอบมีเงื่อนไขเกี่ยวพันอื่นๆที่การเมืองใหม่หรือสังคมใหม่จะต้องช่วยกันคลี่คลายอีกมาก รวมถึงคำถามหรือโจทย์ปัญหาของสังคมที่พี่น้องกลุ่มคนเสื้อแดงได้หยิบยกขึ้นมา ในบางส่วนบางประเด็น ก็เป็นสิ่งที่กลุ่มพันธมิตรควรหยิบยกขึ้นมาใคร่ครวญอย่างใจเย็น อย่างมีสติมีวุฒิภาวะใช่หรือไม่?
3.โดยส่วนตัวผมมองว่าพวกเรากลุ่มพันธมิตรถูกกระแสให้เน้นไปที่อำนาจทางการเมืองในส่วนกลางมากเกินไป ทั้งๆที่องค์ประกอบของผู้คนมีหลากหลายโดยเฉพาะในต่างจังหวัด หากการเมืองใหม่หมายถึงเจตนาหรือจิตวิญญาณทางการเมือง ที่ต้องการการเมืองที่สะอาดโปร่งใสและชอบธรรม สนามแห่งการต่อสู้ของพวกเรามีอยู่ทุกสนามเช่นองค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด เพราะสิ่งที่เป็นการเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยการขี้ฉ้อ โกงกินหาผลประโยชน์เข้ากลุ่มเข้าพวกละเลยปัญหาของสังคมโดยรวม หาได้ปรากฏกายอยู่แต่เฉพาะการเมืองในระดับประเทศไม่ใช่หรือ??ผมจึงอยากเสนอให้พันธมิตรในระดับตำบล จังหวัดจับกลุ่มเกาะเกี่ยวกันสร้างเป็นองค์กรในระดับท้องถิ่นให้มากๆ ดูแลปัญหาใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับสังคมของสมาชิกว่ากำลังเผชิญอยู่กับปัญหาอะไรบ้าง แล้วนำเสนอทางออกเสนอตัวรับใช้ในมิติของการเมืองใหม่ที่พูดๆกัน ให้สร้างสัมพันธ์กับส่วนกลางในการหนุนช่วยทั้งในด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือหนุนเสริมกิจกรรมอันเป็นทางออกของปัญหาในระดับพื้นที่ ผมคิดว่านี่คือหนทางหนึ่งที่กลุ่มพันธมิตรสามารถปฏิบัติการสู่การเมืองใหม่ได้อย่างเป็นจริง และสามรถลงมือได้เลยโดยไม่ต้องรอขบวนใหญ่จากส่วนกลางเท่านั้น
4.มีคำถามว่าหากกลุ่มพันธมิตรแห่แหนกันไปอยู่ในกรอบของพรรคการเมืองกันหมด ต่อไปความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวภาคประชาชนเหมือนที่ผ่านมาจะเกิดขึ้นลำบาก ผมคิดว่ากลุ่มพันธมิตรของพวกเราควรได้มองไปข้างหน้า อย่าติดยึดกับความหอมหวานแห่งอดีตให้มากนัก มองสังคมอย่างพลวัตรที่มีการขับเคลื่อนตัวไปตลอดเวลาไม่หยุดนิ่ง ในเงื่อนไขหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งสรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปกาลเวลาของมัน แต่หากเจตนารมณ์หรือเป้าหมายอยู่ที่ความถูกต้องชอบธรรม ซึ่งต้องอยู่เหนือกลุ่มเหนือพรรค การเคลื่อนไหวภาคประชาชนจะไม่มีวันตายผมเชื่อเช่นนั้น เพียงแต่ปัจจัยแวดล้อมจะเป็นตัวกำหนดรูปแบบและวิธีการของมันเอง อีกประเด็นความหมายที่ละเอียดลึกซึ้งของการเมืองภาคประชาชนไม่ได้หมายถึงการเดินอยู่บนถนนราชดำเนินเท่านั้น ขนาดและจำนวนไม่ได้มีความหมายมากไปกว่าเนื้อหา เนื้อหาของการเคลื่อนไหวของการเมืองภาคประชาชนที่แท้จริง จะต้องตั้งอยู่บนผลประโยชน์ที่ชอบธรรมของประชาชนในหลากหลายอาชีพ หลากหลายภูมินิเวศน์ซึ่งมีอยู่ในหลายเนื้อหา หลายระดับ ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งการเคลื่อนไหวการเมืองภาคประชาชนได้หรอกตราบใดที่ณที่นั้นๆขาดความถูกต้องชอบธรรมที่จะกระทบกับพวกเขา
ปฏิบัติการสู่การเมืองใหม่ของพันธมิตรจึงไม่ใช่ประเด็นที่ควรวิตกจริตกันจนเกินเหตุ อาจจะเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยชิน อาจจะมีความกังวลในหลายๆมิติ เพราะเราถูกแยกส่วนให้จมปลักอยู่กับความเคยชินเดิมๆจนรู้สึกว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ ถึงวันนี้พิสูจน์ให้เห็นกับตา ตอกย้ำกับความมั่นใจว่าทุกอย่างแก้ไขและเปลี่ยนแปลงมันได้ด้วยพลังและเจตนาร่วมของพวกเรา และหากเราต่างเชื่อในเจตนาดี ที่จะทำสิ่งดีๆเพื่อสังคมที่ดีงาม ที่ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อหมู่พวก เราก็จะก้าวพ้นความกังวลทั้งปวงซึ่งสามารถล้มแล้วลุกขึ้นมาปฏิบัติการใหม่ หลังจากมีการสรุปบทเรียนทั้งสำเร็จและล้มเหลวในแต่ละครั้งของการเคลื่อนไหวต่อๆไปอย่างไม่หยุดนิ่ง
ผมเชื่อของผมเช่นนี้ครับ.