xs
xsm
sm
md
lg

อรุณรุ่งของการเมืองใหม่ในมือพันธมิตรฯ

เผยแพร่:   โดย: อัญชะลี ไพรีรัก

บ่ายวันนั้นแดดร้อนแผดเผา แต่กรมอุตุนิยมวิทยาบอกว่า ฝนต้นฤดูกำลังจะย่างกรายเข้ามา

ขบวนรถหกล้อที่ดัดแปลงมาใช้เพื่อเป็นรถปราศรัย กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาปักหลักกลาง
ถนนราชดำเนินด้านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอย่างช้าๆ แต่มั่นคง

รถขนาดใหญ่ขวางถนนที่ใหญ่กว่า และเครื่องเสียงถูกติดตั้งอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา ด้านหลังของรถถูกรั้วเหล็กสีเหลืองสนิมเขรอะกั้นอาณาเขตเป็นครึ่งวงกลม สำหรับเป็นที่ทางของทีมงานจัดการปราศรัย

อีกด้านหนึ่งของรั้วเหล็กมีรถส่งน้ำกำลังลำเลียงถังน้ำแข็งสีส้มขนาดใหญ่ 2 ถังที่ภายในอัดแน่นด้วยน้ำแข็ง และขวดน้ำที่ปะปนอยู่กับผ้าเย็นในซองพลาสติก และ เครื่องดื่มชูกำลัง

ถัดมาเป็นรถกระบะอีกคันจากบ้านพระอาทิตย์ แล่นเข้ามาประชิดติดขอบรั้ว เสียงเด็กท้ายรถตะโกนโหวกเหวกเรียกหาคนช่วยอยู่พักใหญ่ ในที่สุดทีมงานคนหนุ่มที่เรียกตัวเองว่า “การ์ดอาสา” ช่วยกันคนละไม้ละมือขนถ่ายสิ่งที่เราเรียกกันว่า “เสบียงกรัง” อันประกอบด้วยข้าวกล่องนับร้อย- ข้าวเหนียวหมูฝอยนับพันถุง-ข้าวต้มมัดนับร้อยๆ อัน และแซนด์วิชอีกหลายร้อยชิ้น-กระติกน้ำร้อน- ถ้วยกระดาษ-กาแฟ และโอวัลตินแบบซองทรี อิน วัน

ทั้งหมดมาจากการบริจาคของกลุ่มพันธมิตรฯ เจ้าประจำที่ภายหลังถูกเรียกขานว่า “แม่ยกพันธมิตรฯ”

เมื่อรถปราศรัยพร้อม เครื่องเสียงพร้อม ฝ่ายเสียงจัดแจงเปิดเพลง “ไอ้หน้าเหลี่ยม” เสียงเพลงบาดใจถูกเปิดดังกระหึ่มไปทั่วท้องถนนราชดำเนิน ความคึกคักเริ่มต้นขึ้นในบ่ายวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 ...นาทีแห่งการชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ในนามนอมินีของระบอบทักษิณได้ถูกนับหนึ่ง พร้อมๆ กับการนับเนื่องของก้าวที่กล้ากำลังขับเคลื่อน

มองลงไปจากรถปราศรัย ผู้คนไม่รู้มาจากไหนในเสื้อสีเหลืองเริ่มทยอยกันเข้ามาหน้าเวทีชั่วคราวอย่างเนืองแน่น ทุกคนถือร่มกันแดด และฝนด้วยความรอบคอบ บางคนสวมหมวกแก๊ป “กู้ชาติ” และบางคนกำลังสาละวนกับการควักผ้า “กู้ชาติ” มาโพกหัว

การชุมนุมทางการเมืองของพันธมิตรฯ รอบสองเริ่มคึกคัก และเพิ่มดีกรีความร้อนแรงทุกขณะอย่างรวดเร็ว ด้วยท่าทีของ “พี่น้องเอ้ยยยยยย” ที่กลับมารวมตัวกันด้วยความกระตือรือร้นเหมือนผืนนาแห้งแล้งรอคอยเม็ดฝน

เสียงตะโกนว่า “พี่น้องเอ้ยยยยยยยยยย” ของพี่สำราญ รอดเพชร มาแทนที่เสียงคุ้นหูของเกลอเก่าที่ด่วนจากไปก่อนถึงวัยอันควร นาทีนั้นมวลชนลุกขึ้นยืนไว้อาลัยให้กับพี่สุวิทย์ วัดหนู เจ้าของวลี พี่น้องเอ้ยยยยยยยยย ฉบับดั้งเดิม

พิธีกรคู่แรกเบิกโรงชัย คือ พี่แอ้ม-พี่แอน สองสาวของเราคู่นี้ไม่เคยย่นระย่อท้อต่อกิจกรรมการเมืองภาคประชาชนเลยสักนิด เห็นทีต้องถอดหมวกค้อมหัวให้กับความใจกล้า และเลือดนักสู้ของเธอทั้งสองอย่างมิพักต้องลังเล

นักปราศรัยเริ่มไล่เรียงกันขึ้นป่าวประกาศความสามานย์ของระบอบทักษิณ และ บริวารของเขา ว่ากันตั้งแต่คมมีดกรีดใจของ การุญ ใสงาม ตามติดด้วย เทิดภูมิ ใจดี ตีซ้ำอีกทีด้วย พิเชษฐ พัฒนโชติ และเปิดโปงทุกรูขุมขนกับ ประพันธ์ คูณมี และคราวนี้เรามีเลือดใหม่ไฟแรงอย่าง อมร อมรรัตนานนท์ และ ‘ตั้ม’ พิชิต ชัยมงคล

พิธีกรคู่ถัดมา คือ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กับ พี่สำราญ รอดเพชร ลั่นกลองรบให้กับกองทัพผู้หญิงพันธมิตรฯ ด้วยการเปิดฉากสาดกระสุนวาจาของ “มาลีรัตน์ แก้วก่า” และ “เสน่ห์ เสียงทอง” สองพลังหญิงที่นักการเมืองชายชาติชั่วกลัวและเกรงขาม

การปราศรัยที่ร้อนแรงของทีมนักพูดฝีปากกล้า และสหพันธ์รัฐวิสาหกิจสลับกันไปมากับเสียงดนตรีที่เพรียกหาความยุติธรรม และธรรมาภิบาลประสานสอดคล้องกับเสียงตะโกน “ทักษิณติดคุก” ของประชาชนดังกึกก้องผ่านการถ่ายทอดสดจาก ASTV ไปทั่วโลก สร้างความตื่นตัวให้คนในสังคมไทยไม่น้อย

สื่อมวลชนนับร้อยทั้งในและต่างประเทศต่างพุ่งสายตามาที่ “พันธมิตรฯ” กับการต่อสู้ครั้งใหม่ ที่กัมปนาทเกรียงไกรในนาม “ประชาภิวัฒน์” เพื่อ “การเมืองใหม่” และ ถ้อยคำสัญญาว่า “ไม่ชนะ ไม่เลิก” พร้อมการตอกย้ำความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันว่า “ประชาชนไม่ได้เกิดมาเพื่อพ่ายแพ้”

แกนนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก้าวขึ้นเวทีเปิดฉากการต่อสู้ภาคประชาชนรอบสองที่ห่างจากครั้งแรกเพียง 2 ปีเศษเท่านั้น

การปราศรัยของ 5 แกนนำเหมือนคมมีดกรีดลึกลงไปในหัวใจทรราช เมื่อสิ้นเสียงคนที่ห้า การชุมนุมก็เข้มข้นด้วยเสียงปลุกเร้าพลังมวลชนให้ลุกขึ้นสู้กับเหล่าอธรรมร้ายในคราบนักการเมืองสามานย์

สิ้นเสียงปลุกใจ พลังในกายของพันธมิตรฯ ก็ร้อนเร่า และมวลมหาประชาที่คลาคล่ำทั้งสองฝากถนนราชดำเนินก็พร้อมใจกันลุกขึ้นตะโกนว่า “สู้ สู้” ไม่ทันขาดคำดี แกนนำพันธมิตรฯ ก็ประกาศพาประชาชนไปล้มรัฐบาลนอมินีระบอบทักษิณกินชาติ ที่ทำเนียบรัฐบาล

การเดินหน้าของพันธมิตรฯ ประดุจแม่น้ำสีเหลืองร้อยสายที่ไหลมารวมกันทรงพลัง เปี่ยมด้วยพลานุภาพ หากทว่าสงบ สันติ อหิงสา ศาสตราวุธใดไม่มี มีแต่อาวุธทางปัญญาของผู้อาสาที่ต้องการพาชาติให้พ้นภัย และเดินไปสู่นับหนึ่งของการเมืองใหม่ ภายใต้การจัดการของมวลชนบริสุทธิ์

ทุกเสียงย่ำเท้าราวกลองศึก ทุกการเคลื่อนไหว คือ ยาตราทัพ ในที่สุดขบวนพันธมิตรฯ ก็ถูกสกัดจากกองกำลังของตำรวจที่ “สะพานมัฆวานรังสรรค์” สะพานสวยที่ทำให้กงล้อประวัติศาสตร์หมุนกลับฉับพลันชัดเจน

หัวขบวนถูกสกัด การรบไม่ย่นระย่อท้อ และการหักเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบระหว่างกองทัพประชาชนกับกองกำลังตำรวจเริ่มต้นขึ้น ที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวยิ่งกว่า คือ หางแถวที่เป็นขบวนรถปราศรัยกับทีมถ่ายทอดสดของ ASTV ถูกตะลุมบอนโดยกองกำลังอันธพาลนับร้อยๆ พร้อมอาวุธครบมือ โดยมีตำรวจยืนมองตาแป๋ว

ผลคือ ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที หัวแตกเลือดอาบจากหินหนัก 2 กิโลกว่า และทีมงาน ASTV บาดเจ็บกันระนาว

ท้ายขบวนถูกถล่ม แต่หัวขบวนตัดสินใจปักหลักพักค้างที่สะพานมัฆวานฯ หันหน้าเวทีไปที่ถนนผ่านฟ้า เมื่อค่ายคูประตูชัยถูกกั้นแนวได้สำเร็จ พี่น้องพันธมิตรฯ ที่ถูกลิดรอนสิทธิการชุมนุมก็ค้างคืนที่สะพานแห่งการต่อสู้

เลือดในกายของมวลหมู่พันธมิตรฯ เดือดพล่าน และรุนแรงหนักขึ้น เมื่อเช้าตรู่วันถัดมาได้ฟังสำเนียงเสียงกักขฬะของ “สมัคร สุนทรเวช” นายกรัฐมนตรีที่สำรอกด่าทอพันธมิตรฯ ดุจหมาทั้งฝูงหลงทางไปตายในปากคนพาล

ไม่มีใครรู้อนาคตว่า พันธมิตรฯ จะต้องอยู่นานแค่ไหน แต่พันธมิตรฯ รู้ดีว่ากำลังต่อสู้กับใคร และขนาดของมันจะรุนแรงแค่ไหน

พันธมิตรฯ ไม่กลัวเจ็บไม่กลัวตายจึงตัดสินใจตั้งค่ายรบกับทุนสามานย์ที่มัฆวานรังสรรค์ นับแต่บัดนั้นจนถึงอีก 193 วัดถัดมา การต่อสู้เต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่พันธมิตรฯ ก็ยิ้มได้ทั้งน้ำตาเมื่อพลังมหาประชาชนลุกขึ้นสู้จนได้ชัยชนะมานับครั้งไม่ถ้วน

แม้เราจะบาดเจ็บ และล้มตาย แต่พันธมิตรฯ ก็ไม่หยุดท้อต่อการสลายการชุมนุม จนเป็นที่มาของวาจาล้อเลียนแสบสันต์ว่า “หลับเถิดทหารกล้า ชาวประชาจะคุ้มภัย”

การต่อสู้ที่ยืดเยื้อยาวนานจนกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึก ได้ถูกนำมาเตือนใจซึ่งกันและกันว่า ประชาชนไม่ได้เกิดมาเพื่อพ่ายแพ้ และไม่มีพลังใดๆ ในโลกหล้าจะแข็งแกร่งดุจหินผาเท่ากับพลังใจของมวลชนคนกู้ชาติ

พันธมิตรฯ หัวใจแข็งเหมือนเหล็ก แกร่งดุจเพชร จะเอาคมเพชรแท้ไปตัดเหลี่ยมเพชรเทียมให้รู้ดำรู้แดง

การต่อสู้ในรูปแบบอารยะขัดขืนก่อเกิดดาวกระจาย และสงครามเก้าทัพ เพื่อประกาศความชั่วของระบอบทักษิณจนถึงไปทวงคืนแผ่นดินไทย และปราสาทพระวิหาร ทั้งยังไปเดินสายพาประชาชนมุ่งสู่เมืองเพื่อทวงคืนประเทศไทยอันเป็นที่รัก

เราทำเพื่อ “ลูกหลานของเรา” ด้วยสองมือของคนเป็นพ่อคน แม่คนอย่างเราๆ และทำมันด้วยใจบริสุทธิ์เยี่ยงมนุษย์สะอาดพึงกระทำ

การต่อสู้อันยาวนานไม่เคยทำให้พันธมิตรฯ อ่อนล้าสิ้นไร้เรี่ยวแรง เราบริจาคข้าว ปลา อาหาร น้ำท่า และยารักษาโรค เพื่อพยุงกองทัพประชาชนให้ต่อสู้ต่อไปอย่างไม่ครั่นคร้าม เมื่อพันธมิตรฯ มาเยือนทำเนียบรัฐบาล สะพานชมัยมรุเชษก็ทอดกายให้กองทัพนักรบประชาชน เพื่อเดินข้ามผ่านไปยืนหยัดต่อสู้หน้า “สันติไมตรี”

ทำเนียบรัฐบาลได้กลายสภาพจากศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดินของนักการเมืองทรยศมาเป็นค่ายรบของพันธมิตรฯ ท่ามกลางความตกตะลึงของเพื่อนร่วมชาติ และสื่อมวลชนทั่วโลก

ความอหังการของพันธมิตรฯ ที่ยึดทำเนียบฯ จากสมัคร สุนทรเวช ก็เร่งเครื่องเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลสามานย์ที่ขายชาติขายแผ่นดินเพื่อประโยชน์ส่วนตน “ลาออก” เมื่อสมัครดื้อแพ่ง เวรกรรมที่ไม่ต้องรอชาติหน้า ก็พาสมัครจากลาพันธมิตรฯ ไปไกลเพื่อรักษาโรคมะเร็งตับที่คุกคามถึงอเมริกา

การต่อสู้แหลมคมขึ้นด้วยการเดินหน้าท้าทายนักวิชาการริบบิ้นสีขาวกับการก้าวย่างล้อมรัฐสภาขับไล่ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” นายกรัฐมนตรีนอมินีพี่เมียที่กลิ่นกายคละคลุ้งไปด้วยเรื่องอื้อฉาวคาวสวาทกับตำนานผีสาวตายทั้งกลม และตู้เย็นใบโตเพื่อเธอ...คนที่ไม่ใช่แฟน

ความเป็น และความตายใกล้แค่เอื้อม แต่พันธมิตรฯ มิได้ย่นระย่อท้อต่ออุปสรรคนานัปการที่หน้าอาคารรัฐสภาจึงแปรเปลี่ยนไปเป็นสนามรบ

เป็นการต่อสู้กันระหว่างพันธมิตรฯ สองมือเปล่า พร้อมหนึ่งมือตบ กับอสุรกายในเครื่องแบบตำรวจที่สาดกระสุนปืนใส่ประชาชนบริสุทธิ์ไม่ยั้ง ตามด้วยระเบิดแก๊สน้ำตาอย่างไม่ปรานี และทุบตีเจ้าของภาษีที่จ่ายเงินเดือนให้กับเขาราวสัตว์ป่าขม้ำเหยื่อ

พันธมิตรฯ ล้ม เจ็บ พิการ และตาย.... นักรบมือตบนับร้อยเลือดอาบ น้ำตาริน สิ้นเสียงปืน สิ้นเสียงระเบิด หมอกและควันจางหาย ที่เหลือคือ สมรภูมิรบ สมรภูมิเลือด และร่างบาดเจ็บล้มตายของนักสู้กู้ชาติ ที่ประกาศยอมตายเพื่อในหลวง ยอมหลั่งเลือดรดมาตุภูมิเพื่อขับไล้สภาโจรปล้นชาติออกไปจากบ้านเมือง

โครงการริบบิ้นสีขาว เพื่อความปรองดองสมานฉันท์ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาอันใด ขณะที่โบว์น้อยของพันธมิตรฯ สองเส้น-สองชีวิตอาบไปด้วยเลือดและน้ำตา ขาและแขนของพันธมิตรฯ มอบแล้วเพื่อถวายทรงธรรม์เทิดหล้า

กาลครั้งนี้ยังมิได้สิ้นสุด เพียงแต่เปลี่ยนเสื้อเหลืองเป็นชุดดำ เปลี่ยนคำสู้ สู้ เป็นคำไว้อาลัย แต่เราหมู่มวลชนคนพันธมิตรฯ ที่เหลือไม่เคยเปลี่ยนใจ กลับมุ่งมั่นมากขึ้นที่จะ “เปลี่ยนมัน” ให้จงได้…แม้นตายก็ยอม

รอยเลือดถูกเช็ด น้ำตาถูกกลืนคืนลงไปในอก แขนขวาชูขึ้นแล้วกำหมัด สองขาก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น กับปณิธานว่า ชัยชนะต้องเป็นของประชาชน

สุดท้ายก้าวที่กล้าของมวลประชาก็พากันเดินเข้าสู่สงครามเก้าทัพ กระจายไปทั่วกรุงเทพฯ และปิดท้ายด้วยการปิดล้อม “ดอนเมือง” กับ “สุวรรณภูมิ” ท่ามกลางเสียงปืน เอ็ม 79 ที่ส่งตรงมาที่ทำเนียบฯ ไม่เว้นแต่ละคืน

ในความมืดมิดของรัตติกาล พันธมิตรฯ ยังเดินหน้าทำงานต่อไป ทุกๆ เช้าตรู่เราจะลุกขึ้นดูว่าเพื่อนๆ ของเรา ใครอยู่!!! ใครตาย!!!

ที่เรารู้แน่ๆ คือ รอยเลือดหยาดรดทำเนียบรัฐบาลไม่เว้นแต่ละวันเหลือจะทน แต่ก็ทนเหลือจะอด แต่ก็ต้องอดทน ไม่ร้อง...ให้เป็นหมา เพราะคนอาสาต้องทนเหมือนเสือ

การปิดสนามบินสองแห่งของพันธมิตรฯ ถูกโจมตีจากหลายฝ่าย การต่อสู้อย่างอโหสิ อหิงสา ถูกตราหน้าว่าทำลายชาติ พันธมิตรฯ กำลังพิงเชือกสู้ แล้วจู่ๆ เหมือนฟ้ามีตาเกิดคำพิพากษายุบพรรคพลังประชาชน!!!

เสียงโห่ร้องของพันธมิตรฯ ดังกึกก้องไปทั่วท้องนภา ขณะที่รัฐบาลพลิกขั้วก็เดินทางเข้ามา ประชาธิปัตย์เป็นแกนนำกับพรรคร่วมที่ร่วมหัวจมท้ายกับใครก็ได้...ที่มีอำนาจและผลประโยชน์

พันธมิตรฯ กับการเดินทัพด้วยสองมือเปล่ากับหนึ่งมือตบ ถึงบทจบภาคสองที่ 193 วันแห่งการต่อสู้ที่เข้มข้น จริงใจ และรักแท้แน่นอน

พันธมิตรฯ หัวดื้อและยึดถือองค์พระประมุขเป็นแนวทาง นิ่ง สงบ เพื่อสยบความเคลื่อนไหวของกองโจรติดอาวุธเสื้อแดงของระบอบทักษิณที่เผาบ้านเผาเมืองแทบเป็นจุลในคืนวันสงกรานต์ลุยเพลิง

งานใหญ่กำลังรอคอยพี่น้องผองเพื่อนพันธมิตรฯ กับการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ว่า ต่อแต่นี้ไปพันธมิตรฯ จะช่วยชาติในรูปแบบไหน?

ไม่ว่าจะอยู่ “ข้างถนน” หรือ “รัฐสภา” คนที่ตอบได้และทุบโต๊ะคือ พี่น้องพันธมิตรฯ หาใช่ใครอื่น

แม้แต่ 5 แกนนำก็ไม่ใช่!!!

มาเถิดหนามวลมหาประชาชนคนกล้า...มาหาความหมายและความฝัน “การเมืองใหม่”

เจ้าเรือน้อยทั้งหลายเอย ....จะล่องลอยไปหนแห่งใด ขอจงอย่าหวั่นผองภัย จงฝ่าไปอย่าได้อาวรณ์ เส้นทางสู่ฝันคืนวันมั่นนิรันดร สายลมรักจะเอื้ออาทรให้เจ้าจรถึงฟากฝั่งฝัน

จงตื่นรู้ เบิกบาน งานข้างหน้ายิ่งใหญ่ และเจ้าอย่าได้ลืม “การเมืองดี ไม่ได้มีวางขาย อยากได้ต้องทำเอง”
กำลังโหลดความคิดเห็น