ASTV ผู้จัดการรายวัน – หุ้นไทยพุ่งกระฉูดตามตลาดหุ้นต่างแดน เพิ่มขึ้น16.25 จุด หรือกว่า 3% จากแรงซื้อในกลุ่มกลุ่มแบงก์ - พลังงาน พร้อมรับข่าวดีเศรษฐกิจโลกใกล้ฟื้นตัว จากตัวเลขยอดสร้างบ้านในสหรัฐฯที่ดีขึ้น และ Bank of America ที่จะเริ่มมีกำไรอีกครั้งในไตรมาส 2นี้ โบรกฯคาดวันนี้อาจมีแรงเทขายทำกำไรหลังขึ้นแรง ด้านนายกฯยันไร้นักการเมืองเอี่ยวตลาดทุน เตรียมส่ง “กรณ์”ถกแผนพัฒนาตลาดทุน 21 พ.ค.นี้
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯไทย วานนี้ (19พ.ค.) ปิดตัวที่ 556.47 จุด เพิ่มขึ้น 16.25 จุด หรือ 3.01% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 562.32 จุด ต่ำสุด 550.69 จุด มูลค่าการซื้อขาย 33,413.76 ล้านบาท ซึ่งการปรับตัวของดัชนีหุ้นในครั้งนี้ เป็นการทะยานตัวในแดนบวกตามตลาดต่างประเทศ โดยนักลงทุนมีความหวังว่าเศรษฐกิจโลกใกล้ฟื้นตัว ทำให้ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายวานนี้ ดัชนีตลาดหุ้นสามารถทะยานตัวเพิ่มขึ้นกว่า 4% ได้ และนับเป็นอีกครั้งของเดือนพฤษภาคมที่มูลค่าซื้อขายแตะรับดับ 3 หมื่นล้านบาทเช่นกัน
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรกประกอบด้วย PTTEP ปิดตลาดที่ 127.50 บาท บวก 9.50 บาท PTT อยู่ที่ 218.00 บาท บวก 9.00 บาท PTTAR อยู่ที่ 19.20 บาท บวก 1.00 บาท TOP อยู่ที่ 40.25 บาท บวก 1.25บาท และ KBANK อยู่ที่ 59.00 บาท บวก 2.00 บาท
ภาพรวมหลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 279 หลักทรัพย์ ลดลง 82 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 97 หลักทรัพย์
ทั้งนี้ เมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิสูงถึง 4,938.27 ล้านบาท โดยสถาบันซื้อสุทธิ 2,772.05 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,166.22 ล้านบาท และถ้ารวมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 จะพบว่ามีการซื้อสุทธิแล้วถึง 4,648.50 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค พบว่า เมื่อปิดตลาดมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเช่น ดัชนีหุ้นเวียดนาม (VNI) ปิดตลาด 400.90 บวก 10.05 จุด เปลี่ยนแปลง 2.51% ดัชนีคอมโพสิตฟิลิปปินส์ ปิดตลาด 2,309.58 จุด บวก 30.20 จุด เปลี่ยนแปลง 1.33% ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาด 6,655.59 บวก 77.78 จุด เปลี่ยนแปลง 1.18%
ด้าน ดัชนีนิกเกอิ 225 ตลาดโตเกียวปิดที่ระดับ 9,290.29 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 251.60 จุด เปลี่ยนแปลง 2.78% เช่นเดียวกับดัชนี NZSX 50 ตลาดหุ้นนิวซีแลนด์ ปิดตลาด 2,790.80 บวก 12.95 จุด เปลี่ยนแปลง 0.47% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดตลาดที่ 1,428.21 บวก 41.53 จุด เปลี่ยนแปลง 3.0% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีนปิดตลาด 2,676.68 จุด บวก 23.9 จุด หรือ 0.9% ส่วนดัชนีหุ้นเสิ่นเจิ้นปิดที่ 10,424.36 จุด บวก 110.32 จุด หรือ 1.07%
สำหรับสาเหตุที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อในครั้งนี้ หลายฝ่ายมองว่าน่าจะมีเม็ดเงิน เข้าจากต่างประเทศ เพราะมีข่าวดีทั้งภายในประเทศไทยและภายนอกประเทศเข้ามาช่วยสนับสนุน อย่างเช่น สหรัฐฯมีข่าวดีเรื่องยอดสร้างบ้าน ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นกันถ้วนหน้า อย่างไรก็ตามทิศทางดัชนีหุ้นในวันนี้ (20พ.ค.) อาจจะเหวี่ยงลักษณะ sideway up เนื่องจากวานนี้ปรับขึ้นแรง จนอาจมีขายทำกำไรระยะสั้นบ้าง
นายอภิศักดิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ สถาบันวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัจจัยบวกทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านในสหรัฐฯที่พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน ซึ่งเรื่องนี้ช่วยเพิ่มความหวังว่าภาวะตกต่ำของตลาดบ้านที่มีมากว่า 3 ปีกำลังสิ้นสุดลง
ขณะที่ผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทโลว์สคอส อิงค์ ทำให้คาดหวังว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังบรรเทาลง และการใช้จ่ายของผู้บริโภคมีเสถียรภาพ
นอกจากนี้ตลาดหุ้นยังได้ปัจจัยสนับสนุนจากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในตลาดคาดว่า Bank of America จะมีกำไรในไตรมาส 2/2552 อีกทั้งจากการคาดการณ์ว่า การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ในวันนี้จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง มาอยู่ที่ 1% จากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.25% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจึงส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาสนับสนุนทิศทางของดัชนีฯอย่างมีนัยสำคัญ
โดยแรงซื้อที่มีเข้ามาเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ดัชนีฯ ปิดตัวที่ 556.47 จุด เพิ่มขึ้น 16.25 จุด มูลค่าการซื้อขาย 33,413.76 ล้านบาท
ขณะเดียวกันกรณีที่วิปรัฐบาลมีมติเลื่อนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจจำนวน 4 แสนล้านบาทออกไป จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยแล้วเสร็จ และกรณีที่บริษัท มอร์แกน สแตนเลย์ ประกาศปรับลดน้ำหนักการลงทุนของตลาดหุ้นไทยลงสู่ “underweight” จาก “equal weigh”' อันเป็นผลจากการทรุดตัวของมูลค่าหุ้นและผลประกอบการ รวมถึงความเสี่ยงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น มองว่าปัจจัยดังกล่าวมีส่วนกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนเล็กน้อย แต่ให้น้ำ หนักการลงทุนในเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจโลกเป็นส่วนใหญ่
สำหรับแนวโน้มดัชนีฯวันนี้คาดว่า จะมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไม่มีปัจจัยลบเข้ามากดดันบรรยากาศการลงทุน โดยคาดว่าดัชนีฯจะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 552-565 จุด กลยุทธ์การลงทุน แนะน้ำ หนักลงทุน ถือ ประเมินแนวรับที่ 552 แนวต้านที่ 565 จุด
ด้านนายพงษ์พันธ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นต่อเนื่อง น่าจะมี flow เข้าจากต่างประเทศ เพราะมีทั้งข่าวดีภายในและภายนอกมาสนับสนุน เช่นยอดสร้างบ้านของสหรัฐฯที่ดีขึ้นและในเอเชียด้วยเช่นดี ซึ่งต้องยอมรับว่า flow เป็นเรื่องสำคัญและตัวแปรเรื่องเศรษฐกิจต่างๆและตัวแปรกำไรเริ่มทยอยดีขึ้นก็มี เข้ามาในลักษณะนี้ชัดเจนเช่นกัน
ขณะเดียวกันด้านทิศทางดัชนีหุ้นในวันนี้ (20พ.ค.) มองว่าเนื่องจากวานนี้ดัชนีหุ้นได้ปรับขึ้นไปเยอะแล้ว ดังนั้นวันนี้อาจจะมีการเหวี่ยง แต่จะยังมีลักษณะของ sideway up โดยให้เป้าหมายในระยะกลางๆไว้ที่ 590 จุด เพื่อแสดงว่าตลาดค่อนข้าง active แต่แน่นอนเรื่องการทำกำไรระยะสั้น ก็จะมีออกมาให้เห็นเช่นกัน
"วันนี้เป็นมาร์เก็ตบลูชิพ แต่แนะให้ลดน้ำหนักในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ commodity โดยเฉพาะพวกที่เกี่ยวกับราคาพลังงาน โภคภัณฑ์ ถึงแม้กลุ่มพวกนี้จะขึ้นดีเวลาตลาดปรับขึ้น แต่อาจจะลดสัดส่วนลงเพราะเท่าที่มองอุตสาหกรรมที่อยู่ตรงกลาง หรือขั้นปลายน้ำน่าจะได้รับผลประโยชน์บ้าง เราอยากจะไปโฟกัสในหุ้นอุตสาหกรรม ธนาคาร ปูน หุ้นเคมีบางตัว เพราะคิดว่าอุตสาหกรรมปลายน้ำ -กลางน้ำก็น่าจะดีรวมถึง PTT ด้วย" นายพงษ์พันธ์ กล่าว
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีสถาบันจัดอันดับ MSCI มีการปรับน้ำหนัก ตลาดหลักทรัพย์ไทย เพื่อสะท้อนปัญหาภาวะเศรษฐกิจ และสถานการณ์การเมืองในประเทศว่าเรื่องนี้ต้องมีการร่วมกันแก้ไขปัญหา ซึ่งในวันที่ 21 พ.ค.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมพัฒนาตลาดทุนไทย โดยมีนายกรณ์ จาติกวนิช รมว.คลังเป็นประธาน และจะมีการประกาศแผนพัฒนาตลาดทุนขึ้นมาให้ทุกฝ่ายได้รับทราบ
โดยแผนพัฒนาตลาดทุนในครั้งนี้ จะพยายามให้นักลงทุนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อขยายฐานนักลงทุน ขณะเดียวกันจากกรณีที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในช่วง 1- 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยังไม่ปรากฏว่ามีนักการเมืองรายใดเข้ามาใช้ตลาดทุนเป็นช่องทางในการหาผลประโยชน์
ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวถึงกรณีสถาบันจัดอันดับต่างๆมีการปรับลดน้ำหนักหุ้นไทย ว่านักลงทุนต้องติดตามข้อมูล ให้ดีว่าเพราะอะไรซึ่งที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแล้วกว่า 200 จุด ขณะที่ประเด็นพรก.กู้เงิน4แสนล้านบาท ที่ต้องเลื่อนออกไปก็ไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้น เช่นเดียวกับการประชุมกนง.ในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนได้รับรู้ข่าวสารไปล่วงหน้าแล้ว
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯไทย วานนี้ (19พ.ค.) ปิดตัวที่ 556.47 จุด เพิ่มขึ้น 16.25 จุด หรือ 3.01% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 562.32 จุด ต่ำสุด 550.69 จุด มูลค่าการซื้อขาย 33,413.76 ล้านบาท ซึ่งการปรับตัวของดัชนีหุ้นในครั้งนี้ เป็นการทะยานตัวในแดนบวกตามตลาดต่างประเทศ โดยนักลงทุนมีความหวังว่าเศรษฐกิจโลกใกล้ฟื้นตัว ทำให้ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายวานนี้ ดัชนีตลาดหุ้นสามารถทะยานตัวเพิ่มขึ้นกว่า 4% ได้ และนับเป็นอีกครั้งของเดือนพฤษภาคมที่มูลค่าซื้อขายแตะรับดับ 3 หมื่นล้านบาทเช่นกัน
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรกประกอบด้วย PTTEP ปิดตลาดที่ 127.50 บาท บวก 9.50 บาท PTT อยู่ที่ 218.00 บาท บวก 9.00 บาท PTTAR อยู่ที่ 19.20 บาท บวก 1.00 บาท TOP อยู่ที่ 40.25 บาท บวก 1.25บาท และ KBANK อยู่ที่ 59.00 บาท บวก 2.00 บาท
ภาพรวมหลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 279 หลักทรัพย์ ลดลง 82 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 97 หลักทรัพย์
ทั้งนี้ เมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิสูงถึง 4,938.27 ล้านบาท โดยสถาบันซื้อสุทธิ 2,772.05 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,166.22 ล้านบาท และถ้ารวมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 จะพบว่ามีการซื้อสุทธิแล้วถึง 4,648.50 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค พบว่า เมื่อปิดตลาดมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเช่น ดัชนีหุ้นเวียดนาม (VNI) ปิดตลาด 400.90 บวก 10.05 จุด เปลี่ยนแปลง 2.51% ดัชนีคอมโพสิตฟิลิปปินส์ ปิดตลาด 2,309.58 จุด บวก 30.20 จุด เปลี่ยนแปลง 1.33% ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาด 6,655.59 บวก 77.78 จุด เปลี่ยนแปลง 1.18%
ด้าน ดัชนีนิกเกอิ 225 ตลาดโตเกียวปิดที่ระดับ 9,290.29 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 251.60 จุด เปลี่ยนแปลง 2.78% เช่นเดียวกับดัชนี NZSX 50 ตลาดหุ้นนิวซีแลนด์ ปิดตลาด 2,790.80 บวก 12.95 จุด เปลี่ยนแปลง 0.47% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดตลาดที่ 1,428.21 บวก 41.53 จุด เปลี่ยนแปลง 3.0% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีนปิดตลาด 2,676.68 จุด บวก 23.9 จุด หรือ 0.9% ส่วนดัชนีหุ้นเสิ่นเจิ้นปิดที่ 10,424.36 จุด บวก 110.32 จุด หรือ 1.07%
สำหรับสาเหตุที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อในครั้งนี้ หลายฝ่ายมองว่าน่าจะมีเม็ดเงิน เข้าจากต่างประเทศ เพราะมีข่าวดีทั้งภายในประเทศไทยและภายนอกประเทศเข้ามาช่วยสนับสนุน อย่างเช่น สหรัฐฯมีข่าวดีเรื่องยอดสร้างบ้าน ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นกันถ้วนหน้า อย่างไรก็ตามทิศทางดัชนีหุ้นในวันนี้ (20พ.ค.) อาจจะเหวี่ยงลักษณะ sideway up เนื่องจากวานนี้ปรับขึ้นแรง จนอาจมีขายทำกำไรระยะสั้นบ้าง
นายอภิศักดิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ สถาบันวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัจจัยบวกทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านในสหรัฐฯที่พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน ซึ่งเรื่องนี้ช่วยเพิ่มความหวังว่าภาวะตกต่ำของตลาดบ้านที่มีมากว่า 3 ปีกำลังสิ้นสุดลง
ขณะที่ผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทโลว์สคอส อิงค์ ทำให้คาดหวังว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังบรรเทาลง และการใช้จ่ายของผู้บริโภคมีเสถียรภาพ
นอกจากนี้ตลาดหุ้นยังได้ปัจจัยสนับสนุนจากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในตลาดคาดว่า Bank of America จะมีกำไรในไตรมาส 2/2552 อีกทั้งจากการคาดการณ์ว่า การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ในวันนี้จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง มาอยู่ที่ 1% จากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.25% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจึงส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาสนับสนุนทิศทางของดัชนีฯอย่างมีนัยสำคัญ
โดยแรงซื้อที่มีเข้ามาเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ดัชนีฯ ปิดตัวที่ 556.47 จุด เพิ่มขึ้น 16.25 จุด มูลค่าการซื้อขาย 33,413.76 ล้านบาท
ขณะเดียวกันกรณีที่วิปรัฐบาลมีมติเลื่อนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจจำนวน 4 แสนล้านบาทออกไป จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยแล้วเสร็จ และกรณีที่บริษัท มอร์แกน สแตนเลย์ ประกาศปรับลดน้ำหนักการลงทุนของตลาดหุ้นไทยลงสู่ “underweight” จาก “equal weigh”' อันเป็นผลจากการทรุดตัวของมูลค่าหุ้นและผลประกอบการ รวมถึงความเสี่ยงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น มองว่าปัจจัยดังกล่าวมีส่วนกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนเล็กน้อย แต่ให้น้ำ หนักการลงทุนในเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจโลกเป็นส่วนใหญ่
สำหรับแนวโน้มดัชนีฯวันนี้คาดว่า จะมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไม่มีปัจจัยลบเข้ามากดดันบรรยากาศการลงทุน โดยคาดว่าดัชนีฯจะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 552-565 จุด กลยุทธ์การลงทุน แนะน้ำ หนักลงทุน ถือ ประเมินแนวรับที่ 552 แนวต้านที่ 565 จุด
ด้านนายพงษ์พันธ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นต่อเนื่อง น่าจะมี flow เข้าจากต่างประเทศ เพราะมีทั้งข่าวดีภายในและภายนอกมาสนับสนุน เช่นยอดสร้างบ้านของสหรัฐฯที่ดีขึ้นและในเอเชียด้วยเช่นดี ซึ่งต้องยอมรับว่า flow เป็นเรื่องสำคัญและตัวแปรเรื่องเศรษฐกิจต่างๆและตัวแปรกำไรเริ่มทยอยดีขึ้นก็มี เข้ามาในลักษณะนี้ชัดเจนเช่นกัน
ขณะเดียวกันด้านทิศทางดัชนีหุ้นในวันนี้ (20พ.ค.) มองว่าเนื่องจากวานนี้ดัชนีหุ้นได้ปรับขึ้นไปเยอะแล้ว ดังนั้นวันนี้อาจจะมีการเหวี่ยง แต่จะยังมีลักษณะของ sideway up โดยให้เป้าหมายในระยะกลางๆไว้ที่ 590 จุด เพื่อแสดงว่าตลาดค่อนข้าง active แต่แน่นอนเรื่องการทำกำไรระยะสั้น ก็จะมีออกมาให้เห็นเช่นกัน
"วันนี้เป็นมาร์เก็ตบลูชิพ แต่แนะให้ลดน้ำหนักในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ commodity โดยเฉพาะพวกที่เกี่ยวกับราคาพลังงาน โภคภัณฑ์ ถึงแม้กลุ่มพวกนี้จะขึ้นดีเวลาตลาดปรับขึ้น แต่อาจจะลดสัดส่วนลงเพราะเท่าที่มองอุตสาหกรรมที่อยู่ตรงกลาง หรือขั้นปลายน้ำน่าจะได้รับผลประโยชน์บ้าง เราอยากจะไปโฟกัสในหุ้นอุตสาหกรรม ธนาคาร ปูน หุ้นเคมีบางตัว เพราะคิดว่าอุตสาหกรรมปลายน้ำ -กลางน้ำก็น่าจะดีรวมถึง PTT ด้วย" นายพงษ์พันธ์ กล่าว
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีสถาบันจัดอันดับ MSCI มีการปรับน้ำหนัก ตลาดหลักทรัพย์ไทย เพื่อสะท้อนปัญหาภาวะเศรษฐกิจ และสถานการณ์การเมืองในประเทศว่าเรื่องนี้ต้องมีการร่วมกันแก้ไขปัญหา ซึ่งในวันที่ 21 พ.ค.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมพัฒนาตลาดทุนไทย โดยมีนายกรณ์ จาติกวนิช รมว.คลังเป็นประธาน และจะมีการประกาศแผนพัฒนาตลาดทุนขึ้นมาให้ทุกฝ่ายได้รับทราบ
โดยแผนพัฒนาตลาดทุนในครั้งนี้ จะพยายามให้นักลงทุนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อขยายฐานนักลงทุน ขณะเดียวกันจากกรณีที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในช่วง 1- 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยังไม่ปรากฏว่ามีนักการเมืองรายใดเข้ามาใช้ตลาดทุนเป็นช่องทางในการหาผลประโยชน์
ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวถึงกรณีสถาบันจัดอันดับต่างๆมีการปรับลดน้ำหนักหุ้นไทย ว่านักลงทุนต้องติดตามข้อมูล ให้ดีว่าเพราะอะไรซึ่งที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแล้วกว่า 200 จุด ขณะที่ประเด็นพรก.กู้เงิน4แสนล้านบาท ที่ต้องเลื่อนออกไปก็ไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้น เช่นเดียวกับการประชุมกนง.ในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนได้รับรู้ข่าวสารไปล่วงหน้าแล้ว