ASTVผู้จัดการรายวัน – “อินเด็กซ์” ไม่หวั่น “ไอเกีย” บุกตลาดเมืองไทย แจงแบรนด์แข็งพอ อีกทั้งมีสาขาในกทม.แล้วถึง 7 แห่ง เตรียมเปิดเพิ่มอีก 3 แห่งเร็วๆนี้ พร้อมเผยเป็นโออีเอ็มให้มากว่า 20 ปี เดินหน้าขยายแฟรนไชส์ทั่วตะวันออกกลาง ประเดิมเปิดสาขาแรก ก.ค.นี้
กรณีที่ “ไอเกีย” ผู้จัดจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่จากประเทศสวีเดน เตรียมเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย โดยร่วมมือกับบริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) โดยจะเปิดสาขาแรกที่ เมกะ บางนา ถนนบางนา-ตราด กม. 9 ในไตรมาส 1 ปี 54 บนพื้นที่ 30,000-40,000 ตร.ม. ทำให้วงการเฟอร์นิเจอร์ถึงกับหนาวๆร้อนๆ
นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการบริหาร บริษัท อินเด็ก ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า หากมองในด้านดีถือว่าเป็นการช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาตกแต่งบ้านกันมากขึ้น แต่หากมองในด้านของการแข่งขันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องมีแบรนด์สินค้าจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาด เพราะที่ผ่านมา ไอเกียเข้ามาทำตลาดในเอเชียเกือบทุกประเทศและมีอัตราการเติบโตที่ดีมาก และบริษัทก็เตรียมตัวและปรับตัวมาตลอด เพื่อรับมือกับการเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยของไอเกีย
ทั้งนี้ ตลอด 12 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้สร้างแบรนด์ “อินเด็กซ์” ให้เป็นที่รู้จักในตลาดและสร้างความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง และในช่วง 6 – 7 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ 17 สาขาทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีถึง 7 สาขา และเตรียมขยายเพิ่มเป็น 10 สาขาในเร็วๆนี้ ส่วนไอเกียจะมีเพียงสาขาเดียวเท่านั้นในช่วงแรกและจะขยายอีก 3 สาขาภายใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งเชื่อว่าโชว์รูมของอินเด็กซ์ครอบคลุมมากกว่า
นอกจากนี้ กว่า 20 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับจ้างผลิตสินค้าเฟอร์นิเจอร์ให้แก่ไอเกียมาโดยตลอด ประมาณ 200-400 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อปี หรือประมาณ 100-200 ล้านบาท/ต่อปี ทำให้รู้โครงสร้างของราคาไอเกียเป็นอย่างดี นอกจากนี้ สินค้าของไอเกียจะอยู่ในระดับเดียวกับ วินเนอร์ ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้ารองจากอินเด็กซ์
นายกิจจา กล่าวถึงการขยายแฟรนไชส์ อินเด็กว์ลิฟวิ่งมอลล์ ว่า ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้จะเปิดสาขาแรกที่ประเทศดูไบ ขนาด 5,000 ตร.ม. ซึ่งแฟรนไชส์ซี คือ Gill Capital มีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 8 แห่งในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยประเทศต่อไปคือ อาบูดาบี, บาห์เรน, โอมาน, กาตาร์และซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น ซึ่งตลาด ดังกล่าว แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจจากทั่วโลก แต่ประชากรในประเทศเหล่านี้มีกำลังซื้อที่สูงมาก ทำให้เชื่อว่าตลาดยังไปได้ โดยใน 6 เดือนแรกตั้งเป้ายอดขายไม่ต่ำกว่า 60-70 ล้านบาท หลังจาก 12 เดือนเป็นต้นไปจะมีอัตราการเติบโต 20%
กรณีที่ “ไอเกีย” ผู้จัดจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่จากประเทศสวีเดน เตรียมเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย โดยร่วมมือกับบริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) โดยจะเปิดสาขาแรกที่ เมกะ บางนา ถนนบางนา-ตราด กม. 9 ในไตรมาส 1 ปี 54 บนพื้นที่ 30,000-40,000 ตร.ม. ทำให้วงการเฟอร์นิเจอร์ถึงกับหนาวๆร้อนๆ
นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการบริหาร บริษัท อินเด็ก ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า หากมองในด้านดีถือว่าเป็นการช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาตกแต่งบ้านกันมากขึ้น แต่หากมองในด้านของการแข่งขันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องมีแบรนด์สินค้าจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาด เพราะที่ผ่านมา ไอเกียเข้ามาทำตลาดในเอเชียเกือบทุกประเทศและมีอัตราการเติบโตที่ดีมาก และบริษัทก็เตรียมตัวและปรับตัวมาตลอด เพื่อรับมือกับการเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยของไอเกีย
ทั้งนี้ ตลอด 12 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้สร้างแบรนด์ “อินเด็กซ์” ให้เป็นที่รู้จักในตลาดและสร้างความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง และในช่วง 6 – 7 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ 17 สาขาทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีถึง 7 สาขา และเตรียมขยายเพิ่มเป็น 10 สาขาในเร็วๆนี้ ส่วนไอเกียจะมีเพียงสาขาเดียวเท่านั้นในช่วงแรกและจะขยายอีก 3 สาขาภายใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งเชื่อว่าโชว์รูมของอินเด็กซ์ครอบคลุมมากกว่า
นอกจากนี้ กว่า 20 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับจ้างผลิตสินค้าเฟอร์นิเจอร์ให้แก่ไอเกียมาโดยตลอด ประมาณ 200-400 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อปี หรือประมาณ 100-200 ล้านบาท/ต่อปี ทำให้รู้โครงสร้างของราคาไอเกียเป็นอย่างดี นอกจากนี้ สินค้าของไอเกียจะอยู่ในระดับเดียวกับ วินเนอร์ ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้ารองจากอินเด็กซ์
นายกิจจา กล่าวถึงการขยายแฟรนไชส์ อินเด็กว์ลิฟวิ่งมอลล์ ว่า ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้จะเปิดสาขาแรกที่ประเทศดูไบ ขนาด 5,000 ตร.ม. ซึ่งแฟรนไชส์ซี คือ Gill Capital มีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 8 แห่งในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยประเทศต่อไปคือ อาบูดาบี, บาห์เรน, โอมาน, กาตาร์และซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น ซึ่งตลาด ดังกล่าว แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจจากทั่วโลก แต่ประชากรในประเทศเหล่านี้มีกำลังซื้อที่สูงมาก ทำให้เชื่อว่าตลาดยังไปได้ โดยใน 6 เดือนแรกตั้งเป้ายอดขายไม่ต่ำกว่า 60-70 ล้านบาท หลังจาก 12 เดือนเป็นต้นไปจะมีอัตราการเติบโต 20%