ASTVผู้จัดการรายวัน - นายนพพร วิฑูรชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส เอฟ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการเมกาบางนามีความคืบหน้าด้นก่อสร้างโดยรวมมากกว่า 30% โดยเฉพาะในแม็กเน็ตหลักๆอย่าง โรบินสัน โฮมโปร บิ๊กซี เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ส่วนอิเกียนั้นตัวโครงสร้างหลักก่อสร้างเสร็จแล้ว คาดว่าจะสามารถเปิดบริการเฟสแรกได้วันที่ 3 พ.ย.นี้ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนงาน และเปิดบริการครบทั้งโครงการวันที่ 8 มีนาคม 2555
ส่วนพื้นที่ค้าปลีกนั้น ขณะนี้สามรถปล่อยเช่าแล้ว 70% จากพื้นที่ค้าปลีกรวม 180,000 ตารางเมตร และที่เหลือคาดว่าจะสามารถสรุปได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยใช้ระบบการปล่อยเช่าระยะสั้น 3 ปีสำหรับรายเล็ก เพื่อที่จะได้มีโอกาสปรับเปลี่ยนร้านค้าเพื่อความเหมาะสม แต่รายใหญ่จะเน้นเช่าระยะยาว ราคาค่าเช่าร้านค้าเริ่มตั้งแต่ 1,500 – 3,000 บาท
ทั้งนี้ร้านค้าช่าจะประกอบด้วย แฟชั่นมากกว่า 200 แบรนด์ สถานบันความงามมากกว่า 40 ร้าน สถาบันการเงินกว่า 15 แบรนด์ ร้านอาหารมากกว่า 100 ร้าน สินค้าตกแต่งบ้านกว่า 15 ร้านค้า และอื่นๆอีกมากว่า 50 ร้านค้า
บริษัทฯมั่นใจว่าโครงการเมกาบางนา ที่ร่วมทุนกับทางกลุ่มอิเกียนั้นจะสามารถคืนทุนได้ภายในเวลา 10 ปี คาดว่าปีแรกจะมีรายได้จากค่าเช่าพื้นที่มากกว่า 1,500 ล้านบาท
ในอนาคตมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ๆของเมกา ซึ่งจะต้องห่างจากสาขาแรกมากกว่า 50 กิโลเมตรขึ้นไป ซึ่งอาจจะเป็นไปได้โซนเหนือและโซนใต้ของกรุงเทพฯ เนื่องจากทำเลที่เป็นถนนประธานตัดกับถนนวงแหวนเป็นทำเลที่มีศักยภาพอย่างมาก และปัจจุบันในต่างประเทศก็เป็นไปในเทรนด์นี้เช่นกันที่จะผุดโครงการขนาดใหญ่อยู่ใกล้ๆกับถนนวงแหวนรอบนอกกับถนนหลัก
ล่าสุดบริษัทฯ บริษัทได้วางแผนสร้างสถานีเชื่อมต่อกับบระบบขนส่งสาธารณะ และมีบริการเพิ่มเส้นทางรถตู้โดยสารมาถึงบริเวณโครงการอีก 15 เส้นทาง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้ามาในโครงการและรองรับระบบขนส่งในอนาคต โดยคาดว่าภายหลังการเปิดให้บริการจะมีคนเข้ามาใช้บริการผ่านระบบขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบ 25,000 คนต่อวัน ซึ่งจะช่วยทำให้ทั้งโครงการมีคนเข้าใช้บริการมากกว่า 40 ล้านคนต่อปี
นายวิฑูรกล่าวให้ความเห็นของโครงการไชน่าคอมเพล็กซ์หรือศูนย์ค้าส่งของจีนบนถนนบางนา-ตราด ด้วยว่า ถือเป็นการดี เพราะจะยิ่งทำให้ย่านดังกล่าว เป็นพื้นที่ของการชอปปิ้งสมบูรณ์แบบมากขึ้น รองรับความต้องการระดับภูมิภาค และเป็นเหมือนราชประสงค์ที่ 2 ซึ่งย่านบางนาจะเน้นกลุ่มทั่วไป ขณะที่ราชประสงค์เน้นกลุ่มสินค้าที่หรูกว่า
ส่วนพื้นที่ค้าปลีกนั้น ขณะนี้สามรถปล่อยเช่าแล้ว 70% จากพื้นที่ค้าปลีกรวม 180,000 ตารางเมตร และที่เหลือคาดว่าจะสามารถสรุปได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยใช้ระบบการปล่อยเช่าระยะสั้น 3 ปีสำหรับรายเล็ก เพื่อที่จะได้มีโอกาสปรับเปลี่ยนร้านค้าเพื่อความเหมาะสม แต่รายใหญ่จะเน้นเช่าระยะยาว ราคาค่าเช่าร้านค้าเริ่มตั้งแต่ 1,500 – 3,000 บาท
ทั้งนี้ร้านค้าช่าจะประกอบด้วย แฟชั่นมากกว่า 200 แบรนด์ สถานบันความงามมากกว่า 40 ร้าน สถาบันการเงินกว่า 15 แบรนด์ ร้านอาหารมากกว่า 100 ร้าน สินค้าตกแต่งบ้านกว่า 15 ร้านค้า และอื่นๆอีกมากว่า 50 ร้านค้า
บริษัทฯมั่นใจว่าโครงการเมกาบางนา ที่ร่วมทุนกับทางกลุ่มอิเกียนั้นจะสามารถคืนทุนได้ภายในเวลา 10 ปี คาดว่าปีแรกจะมีรายได้จากค่าเช่าพื้นที่มากกว่า 1,500 ล้านบาท
ในอนาคตมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ๆของเมกา ซึ่งจะต้องห่างจากสาขาแรกมากกว่า 50 กิโลเมตรขึ้นไป ซึ่งอาจจะเป็นไปได้โซนเหนือและโซนใต้ของกรุงเทพฯ เนื่องจากทำเลที่เป็นถนนประธานตัดกับถนนวงแหวนเป็นทำเลที่มีศักยภาพอย่างมาก และปัจจุบันในต่างประเทศก็เป็นไปในเทรนด์นี้เช่นกันที่จะผุดโครงการขนาดใหญ่อยู่ใกล้ๆกับถนนวงแหวนรอบนอกกับถนนหลัก
ล่าสุดบริษัทฯ บริษัทได้วางแผนสร้างสถานีเชื่อมต่อกับบระบบขนส่งสาธารณะ และมีบริการเพิ่มเส้นทางรถตู้โดยสารมาถึงบริเวณโครงการอีก 15 เส้นทาง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้ามาในโครงการและรองรับระบบขนส่งในอนาคต โดยคาดว่าภายหลังการเปิดให้บริการจะมีคนเข้ามาใช้บริการผ่านระบบขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบ 25,000 คนต่อวัน ซึ่งจะช่วยทำให้ทั้งโครงการมีคนเข้าใช้บริการมากกว่า 40 ล้านคนต่อปี
นายวิฑูรกล่าวให้ความเห็นของโครงการไชน่าคอมเพล็กซ์หรือศูนย์ค้าส่งของจีนบนถนนบางนา-ตราด ด้วยว่า ถือเป็นการดี เพราะจะยิ่งทำให้ย่านดังกล่าว เป็นพื้นที่ของการชอปปิ้งสมบูรณ์แบบมากขึ้น รองรับความต้องการระดับภูมิภาค และเป็นเหมือนราชประสงค์ที่ 2 ซึ่งย่านบางนาจะเน้นกลุ่มทั่วไป ขณะที่ราชประสงค์เน้นกลุ่มสินค้าที่หรูกว่า