ASTVผู้จัดการรายวัน-แสนสิริฯชี้แนวโน้มรับรู้รายได้คอนโดฯสูงขึ้น ส่งผลไตรมาส1ปี 52 ทำกำไร 119 ล้านบาท เดินหน้าดูดเงินในระบบ เตรียมออกหุ้นกู้มิ.ย.ผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ฯวงเงิน 1,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี จูงใจดอกเบี้ย 6.25%ต่อปี ดึงเงินซื้อที่ดินและทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ ค่ายเมโทรสตาร์ฯแจงเหตุขาดทุนเพิ่มขึ้น 51.21% ส่วนลลิลฯมีกำไร 30.76 ล้านบาท
นายวันจักร์ บุรณศิริ กรรมการบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้รายงานผลการดำเนินงานของบริษัท ตามงบการเงินประจำไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.52 ปรากฏว่า เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 51 มีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่า 20% โดยมีผลกำไรสุทธิที่119 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมามีผลขาดทุน 254 ล้านบาท รายได้รวมเพิ่มขึ้นประมาณ 372 ล้านบาท จาก 2,578 ล้านบาท เป็น 2,950 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลของรายได้จากการขายโครงการที่เพิ่มจาก 2,382 ล้านบาท เป็น 2,757 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากการรับรู้รายได้ของโครงการคอนโดมิเนียมที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า รายจ่ายโดยรวมลดลงเล็กน้อยเป็น 2,831 ล้านบาทเมื่อเทียบกับ 2,832 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม รายจ่ายในไตรมาสที่ 1 ของปีที่ผ่านมามีมูลค่าสูง เนื่องจากการปรับเปลี่ยนแบบอาคารชุดพักอาศัยของกลุ่มโครงการคอนโดวัน เหตุดังกล่าวเป็นประเด็นที่สำคัญ อันส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยเปลี่ยนแปลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเกินกว่า 20%
ระดมทุนผ่านหุ้นกู้พันล้านจ่ายดบ.6.25%
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ ฯกล่าวว่า บริษัทได้แต่งตั้งให้ธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ของบริษัทฯ เพื่อเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปผ่านเครือข่ายสาขาของธนาคาร สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าวมีอายุ 3 ปี จำนวนรวม 1 ล้านหน่วย มูลค่าหุ้นกู้รวม 1,000 ล้านบาท โดยเงินทุนที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นกู้ครั้งนี้ จะนำไปซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการของบริษัท
สำหรับผลตอบแทนของหุ้นกู้ดังกล่าว คือ อัตราดอกเบี้ยประมาณ 6.25 % ต่อปี ตลอดอายุหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน คาดว่าจะเริ่มเสนอขายในช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้ โดยกำหนดวงเงินจองซื้อขั้นต่ำ 1 แสนบาท
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนธ.ค.51 บริษัทมีโครงการที่เปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการจำนวน 74 โครงการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 23 โครงการ คอนโดฯ 33 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 18 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 64,166 ล้านบาท โดยในปี 2551 บริษัทมีรายได้รวม 15,178 ล้านบาท กำไรสุทธิ 914 ล้านบาท
อนึ่ง ในช่วงที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในระบบค่อนข้างต่ำอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีสัญญาณของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ทำให้ผู้ฝากเงินต้องหาช่องทางในการหาผลตอบแทนที่สูง โดยการลงทุนซื้อตราสารหรือหุ้นกู้ น่าจะได้รับความต้องการ ซึ่งจะเห็นได้ว่า หุ้นกู้ของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทฯ ที่เสนอขายวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.25% ต่อปี สำหรับระยะเวลา 1 ปี 6 เดือนนับจากวันออกหุ้นกู้ และ5.75% ต่อปี สำหรับระยะเวลาหลังจาก 1 ปี 6 เดือนจนถึงวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ ซึ่งมียอดเสนอซื้อเกินวงเงินหลายเท่า
อีกทั้ง ยังมีบริษัทอสังหาฯหลายแห่งเตรียมออกหุ้นกู้ เช่น บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ฯ วงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ฯ 1,500 ล้านบาท และบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคฯ 2,000 ล้านบาท นี้ยังไม่นับรวมธุรกิจขนาดใหญ่อย่าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เตรียมออกหุ้นกู้ 10,000 ล้านบาท รองรับหุ้นกู้ที่ครบกำหนด เป็นต้น
เมโทรฯแจงขาดทุนเพิ่มขึ้น51%
นายธนเดช คุพวงศ์ กรรมการ บริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวชี้แจงถึงสาเหตุที่บริษัทฯมีผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ขาดทุนเพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสที่ 1/2551 มากกว่า 20 % โดยในไตรมาสนี้ ขาดทุนสุทธิ 37.84 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 25.02 ล้านบาท ซึ่งขาดทุนเพิ่มขึ้น 12.81 ล้านบาท หรือคิดเป็นขาดทุนเพิ่มขึ้น51.21 % เนื่องจากในไตรมาสนี้ บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 30.16 ล้านบาท และ จำนวน 17.55 ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่ายจากการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 12.61 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น71.84% ซึ่งเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการบริหารก่อนเริ่มดำเนินการ และการค่าเสื่อมราคาอาคารและค่าตกแต่งของ โครงการแมริออท เอ็กเซคคิวทีฟ อพาร์ทเม้นท์ สาทร วิสต้า กรุงเทพฯ ซึ่งแล้วเสร็จและเริ่มเปิดดำเนินการแล้วในไตรมาสที่ 1/2552
และมีภาษีเงินได้นิติบุคคล จำนวน 1.46 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสที่1ปี51 บริษัทไม่มีภาษีเงินได้นิติบุคคล เนื่องจากตามวิธีการคำนวณที่กำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร ซึ่งกำหนดให้รับรู้รายได้ตามอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จ ดังนั้นรายได้ค่างวดที่ครบกำหนดชำระในระหว่างไตรมาสสูงกว่ารายได้ทางบัญชีเนื่องจากมีการรับรู้รายได้ห้องชุดในโครงการเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์
อย่างไรก็ตามในงบการเงิน ทางบริษัทมีรายได้จากการขาย 114.56 ล้านบาท และ 30.52 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีรายได้รวม 119.43 ล้านบาท และ 31.125 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวม 143.88 ล้านบาท และ37.49 ล้านบาท
ด้านบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิ 30.76 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของไตรมาส 1 ปี 51 ที่มีกำไรสุทธิ 27.1 ล้านบาท
นายวันจักร์ บุรณศิริ กรรมการบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้รายงานผลการดำเนินงานของบริษัท ตามงบการเงินประจำไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.52 ปรากฏว่า เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 51 มีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่า 20% โดยมีผลกำไรสุทธิที่119 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมามีผลขาดทุน 254 ล้านบาท รายได้รวมเพิ่มขึ้นประมาณ 372 ล้านบาท จาก 2,578 ล้านบาท เป็น 2,950 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลของรายได้จากการขายโครงการที่เพิ่มจาก 2,382 ล้านบาท เป็น 2,757 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากการรับรู้รายได้ของโครงการคอนโดมิเนียมที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า รายจ่ายโดยรวมลดลงเล็กน้อยเป็น 2,831 ล้านบาทเมื่อเทียบกับ 2,832 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม รายจ่ายในไตรมาสที่ 1 ของปีที่ผ่านมามีมูลค่าสูง เนื่องจากการปรับเปลี่ยนแบบอาคารชุดพักอาศัยของกลุ่มโครงการคอนโดวัน เหตุดังกล่าวเป็นประเด็นที่สำคัญ อันส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยเปลี่ยนแปลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเกินกว่า 20%
ระดมทุนผ่านหุ้นกู้พันล้านจ่ายดบ.6.25%
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ ฯกล่าวว่า บริษัทได้แต่งตั้งให้ธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ของบริษัทฯ เพื่อเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปผ่านเครือข่ายสาขาของธนาคาร สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าวมีอายุ 3 ปี จำนวนรวม 1 ล้านหน่วย มูลค่าหุ้นกู้รวม 1,000 ล้านบาท โดยเงินทุนที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นกู้ครั้งนี้ จะนำไปซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการของบริษัท
สำหรับผลตอบแทนของหุ้นกู้ดังกล่าว คือ อัตราดอกเบี้ยประมาณ 6.25 % ต่อปี ตลอดอายุหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน คาดว่าจะเริ่มเสนอขายในช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้ โดยกำหนดวงเงินจองซื้อขั้นต่ำ 1 แสนบาท
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนธ.ค.51 บริษัทมีโครงการที่เปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการจำนวน 74 โครงการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 23 โครงการ คอนโดฯ 33 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 18 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 64,166 ล้านบาท โดยในปี 2551 บริษัทมีรายได้รวม 15,178 ล้านบาท กำไรสุทธิ 914 ล้านบาท
อนึ่ง ในช่วงที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในระบบค่อนข้างต่ำอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีสัญญาณของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ทำให้ผู้ฝากเงินต้องหาช่องทางในการหาผลตอบแทนที่สูง โดยการลงทุนซื้อตราสารหรือหุ้นกู้ น่าจะได้รับความต้องการ ซึ่งจะเห็นได้ว่า หุ้นกู้ของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทฯ ที่เสนอขายวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.25% ต่อปี สำหรับระยะเวลา 1 ปี 6 เดือนนับจากวันออกหุ้นกู้ และ5.75% ต่อปี สำหรับระยะเวลาหลังจาก 1 ปี 6 เดือนจนถึงวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ ซึ่งมียอดเสนอซื้อเกินวงเงินหลายเท่า
อีกทั้ง ยังมีบริษัทอสังหาฯหลายแห่งเตรียมออกหุ้นกู้ เช่น บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ฯ วงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ฯ 1,500 ล้านบาท และบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคฯ 2,000 ล้านบาท นี้ยังไม่นับรวมธุรกิจขนาดใหญ่อย่าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เตรียมออกหุ้นกู้ 10,000 ล้านบาท รองรับหุ้นกู้ที่ครบกำหนด เป็นต้น
เมโทรฯแจงขาดทุนเพิ่มขึ้น51%
นายธนเดช คุพวงศ์ กรรมการ บริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวชี้แจงถึงสาเหตุที่บริษัทฯมีผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ขาดทุนเพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสที่ 1/2551 มากกว่า 20 % โดยในไตรมาสนี้ ขาดทุนสุทธิ 37.84 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 25.02 ล้านบาท ซึ่งขาดทุนเพิ่มขึ้น 12.81 ล้านบาท หรือคิดเป็นขาดทุนเพิ่มขึ้น51.21 % เนื่องจากในไตรมาสนี้ บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 30.16 ล้านบาท และ จำนวน 17.55 ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่ายจากการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 12.61 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น71.84% ซึ่งเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการบริหารก่อนเริ่มดำเนินการ และการค่าเสื่อมราคาอาคารและค่าตกแต่งของ โครงการแมริออท เอ็กเซคคิวทีฟ อพาร์ทเม้นท์ สาทร วิสต้า กรุงเทพฯ ซึ่งแล้วเสร็จและเริ่มเปิดดำเนินการแล้วในไตรมาสที่ 1/2552
และมีภาษีเงินได้นิติบุคคล จำนวน 1.46 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสที่1ปี51 บริษัทไม่มีภาษีเงินได้นิติบุคคล เนื่องจากตามวิธีการคำนวณที่กำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร ซึ่งกำหนดให้รับรู้รายได้ตามอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จ ดังนั้นรายได้ค่างวดที่ครบกำหนดชำระในระหว่างไตรมาสสูงกว่ารายได้ทางบัญชีเนื่องจากมีการรับรู้รายได้ห้องชุดในโครงการเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์
อย่างไรก็ตามในงบการเงิน ทางบริษัทมีรายได้จากการขาย 114.56 ล้านบาท และ 30.52 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีรายได้รวม 119.43 ล้านบาท และ 31.125 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวม 143.88 ล้านบาท และ37.49 ล้านบาท
ด้านบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิ 30.76 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของไตรมาส 1 ปี 51 ที่มีกำไรสุทธิ 27.1 ล้านบาท