ASTV ผู้จัดการรายวัน – ดัชนีหุ้นไทยวิ่งตามตลาดหุ้นเอเชีย บวกเพิ่มกว่า 10 จุด เหตุนักลงทุนเริ่มมั่นใจผลงานบจ.ไตรมาสแรกดีกว่าคาดการณ์ไว้ หลัง “ปูนใหญ่” โชว์ผลงานแม้กำไรสุทธิจะลดลงจากปีก่อน บวกกับคลายความกังวลจากสถาบันการเงินสหรัฐฯ ไม่ต้องขอรับความช่วยเหลือเพิ่มอีก ด้านโบรกเกอร์ แนะจับตาทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก-ราคาน้ำมัน
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (29 เม.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวสอดคล้องกับตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า โดยมีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่นในหุ้นกลุ่มพลังงาน ผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถยื่นเหนือระดับ 480 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับสูงสุดที่ 483.50 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 10.78 จุด คิดเป็น 2.28% มูลค่าการซื้อขายรวม 14,543.94 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 141.83 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 805.24 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 663.42 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 185 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 4 บาท หรือคิดเป็น 2.21% มูลค่าการซื้อขาย 1,488.41 ล้านบาท บมจ.บ้านปู (BANPU) ปิดที่ 282 บาท เพิ่มขึ้น 14 บาท หรือ 5.22% มูลค่าการซื้อขาย 1,357.45 ล้านบาท และบมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 101 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท หรือ 2.80% มูลค่าการซื้อขาย 1,137.98 ล้านบาท
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวนการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโฮบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH กล่าวว่า วานนี้ (29 เม.ย) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวอยู่ในแดนบวกตลอดวัน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค หลังจากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลจากกรณีที่สถาบันการเงินในสหรัฐฯ ไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากทางการเพิ่ม
ส่วนปัจจัยด้านการเมืองในประเทศนั้น คงไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยมากนัก แม้จะมีกระแสต่อต้านรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ น่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบ โดยนักลงทุนควรจับตาราคาน้ำมันโลก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเอเชีย ดังนั้นจึงแนะนำให้ควรเทขายทำไรเมื่อดัชนีเข้าใกล้ระดับ 484 จุด ขณะที่กรอบแนวรับอยู่ที่ 473-475 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 484-486 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS กล่าวว่า ตลาดหุ้นเริ่มมีแรงซื้อเข้ามาหลังจากนักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจ จากการที่บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/52 ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้จะมีกำไรสุทธิลดลง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
“วันนี้ตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะปรับขึ้นลงมาก เพราะเป็นวันสุดท้ายการเปิดซื้อขาย แต่จะต้องติดตามการประกาศตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ราคาน้ำมันโลก และปัจจัยในประเทศ ทั้งนี้หากเป็นไปได้ แนะนำให้ชะลอการลงทุนออกไปเพื่อรอดูสถานการณ์ โดยมีแนวรับที่ 472-475 จุด และแนวต้านที่ 488 จุด” นายชัย กล่าว
นายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่า ทิศทางการซื้อขายหุ้นไทย ค่อนข้างสดใส สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์อย่างหนาแน่นจนปิดตลาด
ขณะที่ตัวเลขผลประกอบของ SCC ที่ออกมาดีกว่าความคาดหมายนักลงทุนได้กลายตัวที่สะท้อนถึงศักยภาพของบริษัทจดเทียนไทยว่ายังค่อนข้างแข็งแกร่ง จึงทำให้มีแรงซื้อคืนจากนักลงทุนสถาบันกลับเข้ามา
ส่วนบรรยากาศการซื้อขายหลักทรัพย์วันนี้ คาดว่าซบเซา เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายการซื้อขายในสัปดาห์นี้ แต่นักลงทุนควรสังเกตทิศทางดัชนีดาวโจนส์ และนโยบายที่จะช่วยเหลือสถาบันการเงินบางแห่งที่ยังประสบปัญหาของรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะฉะนั้นการต้องการลงทุนแนะนำให้ลงทุนในหุ้น BAY, DTAC, CPN เพราะยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (29 เม.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวสอดคล้องกับตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า โดยมีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่นในหุ้นกลุ่มพลังงาน ผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถยื่นเหนือระดับ 480 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับสูงสุดที่ 483.50 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 10.78 จุด คิดเป็น 2.28% มูลค่าการซื้อขายรวม 14,543.94 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 141.83 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 805.24 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 663.42 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 185 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 4 บาท หรือคิดเป็น 2.21% มูลค่าการซื้อขาย 1,488.41 ล้านบาท บมจ.บ้านปู (BANPU) ปิดที่ 282 บาท เพิ่มขึ้น 14 บาท หรือ 5.22% มูลค่าการซื้อขาย 1,357.45 ล้านบาท และบมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 101 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท หรือ 2.80% มูลค่าการซื้อขาย 1,137.98 ล้านบาท
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวนการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโฮบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH กล่าวว่า วานนี้ (29 เม.ย) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวอยู่ในแดนบวกตลอดวัน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค หลังจากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลจากกรณีที่สถาบันการเงินในสหรัฐฯ ไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากทางการเพิ่ม
ส่วนปัจจัยด้านการเมืองในประเทศนั้น คงไม่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยมากนัก แม้จะมีกระแสต่อต้านรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ น่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบ โดยนักลงทุนควรจับตาราคาน้ำมันโลก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเอเชีย ดังนั้นจึงแนะนำให้ควรเทขายทำไรเมื่อดัชนีเข้าใกล้ระดับ 484 จุด ขณะที่กรอบแนวรับอยู่ที่ 473-475 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 484-486 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS กล่าวว่า ตลาดหุ้นเริ่มมีแรงซื้อเข้ามาหลังจากนักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจ จากการที่บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/52 ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้จะมีกำไรสุทธิลดลง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
“วันนี้ตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะปรับขึ้นลงมาก เพราะเป็นวันสุดท้ายการเปิดซื้อขาย แต่จะต้องติดตามการประกาศตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ราคาน้ำมันโลก และปัจจัยในประเทศ ทั้งนี้หากเป็นไปได้ แนะนำให้ชะลอการลงทุนออกไปเพื่อรอดูสถานการณ์ โดยมีแนวรับที่ 472-475 จุด และแนวต้านที่ 488 จุด” นายชัย กล่าว
นายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่า ทิศทางการซื้อขายหุ้นไทย ค่อนข้างสดใส สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์อย่างหนาแน่นจนปิดตลาด
ขณะที่ตัวเลขผลประกอบของ SCC ที่ออกมาดีกว่าความคาดหมายนักลงทุนได้กลายตัวที่สะท้อนถึงศักยภาพของบริษัทจดเทียนไทยว่ายังค่อนข้างแข็งแกร่ง จึงทำให้มีแรงซื้อคืนจากนักลงทุนสถาบันกลับเข้ามา
ส่วนบรรยากาศการซื้อขายหลักทรัพย์วันนี้ คาดว่าซบเซา เนื่องจากเป็นวันสุดท้ายการซื้อขายในสัปดาห์นี้ แต่นักลงทุนควรสังเกตทิศทางดัชนีดาวโจนส์ และนโยบายที่จะช่วยเหลือสถาบันการเงินบางแห่งที่ยังประสบปัญหาของรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะฉะนั้นการต้องการลงทุนแนะนำให้ลงทุนในหุ้น BAY, DTAC, CPN เพราะยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี