ASTVผู้จัดการรายวัน – รัฐสภาผ่านกรอบเงินกู้ 1.9 หมื่นล้าน หลังฝ่ายค้านรุมสับไร้ประโยชน์ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการกระจุกตัวในเมืองหลวง ไม่ลงสู่รากหญ้า ชี้โครงการส่วนใหญ่ของภูมิใจไทย ขณะที่ส.ว.เตือนระวังนักการเมืองรุมกินโต๊ะงบประมาณ ด้าน “กรณ์” ยืนยันรัฐบาลกู้ในช่วงเวลาเหมาะสมที่สุด มั่นใจ 4 โครงการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ชัวร์ “โสภณ” อ้างโครงการเรื้อรังจากรัฐบาลคมช. พร้อมทำให้โปร่งใส หากเสียหายพร้อมรับผิดชอบ
วานนี้ (14 พ.ค.) ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้มีการพิจารณากรอบการเจรจากู้เงินจากต่างประเทศตามแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศประจำปีงบประมาณ 2552 ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี 2552 วงเงิน 600.43 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 19,814.19 ล้านบาท แยกเป็น 4 โครงการคือ 1.โครงการก่อสร้างทางสายหลักให้เป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่2) ของกรมทางหลวง ที่จะขอกู้จากธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเชีย ประมาณ 170.30 ล้านเหรียญสหรัฐ
2.โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนนนทบุรี 1 ของกรมทางหลวงชนบท ที่จะขอกู้จากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่นหรือไจก้า จำนวนประมาณ 80.52 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 3.โครงการปรับปรุงกิจการประปาแผนหลักครั้งที่ 8 ของการประปานครหลวง ที่จะขอกู้จากไจก้าประมาณ 60.61 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 4. โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเส้นทางบางซื่อ-ท่าพระและหัวลำโพง บางแค จำนวน 289 ล้านเหรียญสหรัฐ
**กังขาโครงการภูมิใจไทยล้วน
โดยสมาชิกรัฐสภาได้อภิปรายโดยตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ใช่เป็นโครงการที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เนื่องจากทุกโครงการเป็นโครงการระยะยาวผูกพันหลายปี ที่สำคัญทุกโครงการล้วนเป็นโครงการภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยทั้งสิ้น จึงอยากรู้ว่าเหตุใดต้องรีบดำเนินการ
ขณะเดียวกันก็แสดงความกังวลถึงยอดการกู้เงินจากต่างประเทศว่ามีจำนวนเท่าใดกันแน่ เพราะรัฐบาลยังไม่มีนโยบายที่จะหารายได้เข้าประเทศนอกจากการขึ้นภาษีต่างๆกับประชาชน และมีบางโครงการที่สามารถกู้เงินภายในประเทศไทยได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินตราต่างประเทศ เพราะขณะนี้สภาพได้เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่บางโครงดูเหมือนข้อตกลงที่ทำไว้จะเสียเปรียบสถาบันที่ปล่อยเงินกู้ เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสีน้ำเงินที่จะต้องซื้ออุปกรณ์จากญี่ปุ่น
ส่วนส.ส.พรรคเพื่อไทย ต่างลุกขึ้นโจมตีไม่เห็นด้วยกับกรอบดังกล่าว และว่ารัฐบาลไม่ควรทำการกู้เงินจากต่างประเทศอีก เพราะที่ผ่านมาก็มีการกู้เงินต่างประเทศมามาก จนทำให้ประชาชนมีหนี้รายหัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเห็นว่าโครงการส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่กทม. ไม่ได้กระจายไปที่ชนบท จึงไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริงในระยะอันสั้นนี้ อีกทั้งรัฐบาลยังยอมรับว่าการจัดเก็บรายได้ในปี 53 จะต่ำกว่าเป้าถึง 2 แสนล้านบาท และยังมีการปรับลดงบประมาณลงไปอีก แล้วยังจะมาขอกู้เพื่อปล่อยทิ้งให้เป็นภาระของประชาชนรวมถึงไม่สามารถชี้แจงถึงความคุ้มค่าในแต่ละโครงการได้
**ไม่กลัวเป็นหนี้แต่กลัวโกง
ขณะที่ส.ว.บางส่วนแสดงความเห็นว่า ทำไมต้องรีบทำในเมื่อประเทศยังไม่มีเงิน เพราะทราบว่า 4 โครงการที่เสนอมานี้ล้วนโกงง่ายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างถนน สะพาน และระบบสาธารณูปโภค ประชาชนไม่กลัวการกู้เงินไม่กลัวเป็นหนี้แต่กลัวคนโกงกินมากกว่า จึงขอให้รัฐบาลดูแลอย่างใกล้ชิดอย่าให้รัฐมนตรีที่ดูแลโครงการนี้อย่าให้มีการโกงกิน และมีการเบิกใช้อย่างรอบคอบและเอาใส่ใจ รวมถึงมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลอย่างทั่วถึง
ขณะที่นางสาวรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลทบทวนว่าหากตัวเองเป็นฝ่ายค้านจะคัดค้านการกู้เงินเพื่อดำเนินการในโครงการต่างๆเหล่านี้หรือไม่ เพราะการจะกู้เงินในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศมีปัญหาควรต้องทบทวนโครงการที่จะดำเนินการอย่างรอบคอบว่าทำแล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมให้ประชาชนมีรายได้จริงหรือไม่
** “กรณ์”ยันต้องกู้ตปท.
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ชี้แจงว่า การพิจารณากรอบเจรจาเงินกู้ต่างประเทศเป็นไปตามพรบ.หนี้สาธารณะที่รัฐบาลได้เสนอขอกู้เงินใน 4 โครงการ ซึ่งเป็นการกู้ยืมที่ทำมาโดยตลอดทุกปีทุกรัฐบาล ดังนั้นเม็ดเงินรวมที่รัฐบาลสามารถกู้ได้ตามกฎหมายอยู่ที่ 1.8 แสนล้านบาท แต่รัฐบาลได้ขอยื่นกู้เพิ่มอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท เพราะไม่ต้องการเพิ่มภาระให้ประเทศชาติ
โดยทั้ง 4 โครงการมีความสำคัญต่อการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องกู้จากต่างประเทศ โดยแหล่งเงินกู้ในต่างประเทศจะมีระยะเวลาผ่อนชำระคืนค่อนข้างยาว อยู่ที่ 20-25 ปี มากกว่าการขอกู้ในประเทศด้วยการออกพันธบัตรที่ใช้ระยะเวลาคืนภายใน 3-5 ปี และได้ประเมินในแง่ดอกเบี้ยว่าการกู้ผ่านองค์กรระหว่างประเทศ อัตราดอกเบี้ยจะต่างกว่าการกู้ภายในประเทศ
“ยืนยันว่าการเสนอทั้ง 4 โครงการอยู่ในช่วงภาวะปัจจุบันเงินทุนต่ำกว่าปกติ จึงถือเป็นโอกาส และเวลาที่เหมาะสมในการที่จะลงทุนโครงการต่างๆในระบบเศรษฐกิจที่จะส่งผลต่อการจ้างงาน เนื่องจากขณะนี้ภาคเอกชนลดกำลังการผลิต ส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน การเดินหน้าโครงการเหล่านี้ถือว่ารัฐบาลเข้ามารับช่วงแทนเอกชน”
นายกรณ์กล่าวว่า ขณะนี้ยอดรวมทั้งหมดที่รัฐบาลขอกู้อยู่ที่ 4 แสนล้านบาท ยืนยันว่ารัฐบาลสามารถรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด จะเห็นได้จากการประเมินรายได้ของรัฐบาลในปี 53 ที่จะลดลงและได้เสนอกรอบงบใหม่ลดเม็ดเงินลง 2 แสนล้านบาท จากเดิม 1.9 ล้านล้านบาท เหลือ 1.7 ล้านล้านบาท ตนมั่นใจว่าแนวทางที่เดินมามีความเหมาะสมทั้งต่อโครงการ จังหวะเวลา การลงทุน
อย่างไรก็ตามหลังจากกรอบนี้ผ่านสภาแล้วจะสามารถเจรจาและนำรายละเอียดกลับมาชี้แจงต่อสภาอีกครั้งโดยโครงการประปา และการสร้างถนน 4ช่องทางจะนำรายละเอียดมาแจ้งในเดือนกันยายนส่วนโครงการสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาจะนำรายละเอียดนำเสนอสภาในเดือนมีนาคม 53
ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสีน้ำเงิน เดิมที่รัฐบาลชุดที่แล้วได้เจรจาเงินกู้กับญี่ปุ่นแล้ว แต่รัฐบาลนี้ได้เห็นว่ามีเงื่อนไขบางส่วนที่อาจทำให้ไทยเสียเปรียบ เช่น ที่ต้องซื้อสินค้าและอุปกรณ์จากญี่ปุ่น เราจึงได้ปรับเงื่อนไขและเสนอให้ขอเจรจาใหม่ ดังนั้นเพื่อความโปร่งใส จึงนำโครงการนี้เข้าสู่สภาพิจารณาใหม่
**ลุ้นต่อรองญี่ปุ่นใหม่
ทั้งนี้หากญี่ปุ่นไม่พร้อมที่จะปล่อยกู้ตามเงื่อนไขใหม่ ทางรัฐบาลก็มีแผนรองรับที่จะเดินหน้ากู้ภายในประเทศ และในวันจันทร์ที่ 18 พ.ค. รัฐสภาจะพิจารณา พรก.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท และพ.ร.บ.แผนไทยเข้มแข็งอีก 4 แสนล้านบาท รวม 8 แสนล้านบาท โดยจะมีการชี้แจงในเรื่องของแผนงานโครงการว่าเป็นประเภทใด และประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างใด
ด้านนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ชี้แจงว่า โครงการทั้งหมดเป็นโครงการที่รัฐบาลชุดก่อนๆคิด แต่มาสำเร็จในรัฐบาลชุดนี้ ส่วนข้อกังวลเรื่องความโปร่งใสในโครงการก่อสร้างถนนสายหลัก 4 ช่องทางจราจรนั้นเริ่มมาตั้งแต่รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งมีดำริที่จะให้ใช้เงินกู้ ถ้ารัฐบาลชุดนี้ไม่ดำเนินโครงการต่อสิ่งที่สร้างมาในอดีตก็จะไม่มีประโยชน์จึงจำเป็นต้องทำให้ถนนทั้งแปดเส้นทางครบสมบูรณ์
รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ได้มีการยื่นซองประกวดราคามาตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อน แต่มาเปิดซองในรัฐบาลชุดนี้ ขอให้ติดตามทุกโครงการของกระทรวงคมนาคมเพราะตนไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ส่วนเรื่องค่าเคก็มีกันทุกประเทศ ทุกโครงการการจะคาดการณ์ไปต่างๆนานาไม่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง ยืนยันว่ากระทรวงคมนาคมมีความโปร่งใส หากมีอะไรตนพร้อมรับผิดชอบทั้งทางสังคมและทางกฎหมาย
จากนั้นที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามกรอบดังกล่าว ด้วยคะแนนเสียง 285 เสียง ไม่เห็นด้วย 50 เสียง งดออกเสียง 19 ไม่ลงคะแนน 17 เสียง โดยมีส.ส.เพื่อไทยบางส่วน นำโดยนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส. นครสวรรค์ ได้เดินออกจากห้องประชุมไป
------------------------------------------------ ----------------------
วานนี้ (14 พ.ค.) ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้มีการพิจารณากรอบการเจรจากู้เงินจากต่างประเทศตามแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศประจำปีงบประมาณ 2552 ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี 2552 วงเงิน 600.43 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 19,814.19 ล้านบาท แยกเป็น 4 โครงการคือ 1.โครงการก่อสร้างทางสายหลักให้เป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่2) ของกรมทางหลวง ที่จะขอกู้จากธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเชีย ประมาณ 170.30 ล้านเหรียญสหรัฐ
2.โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนนนทบุรี 1 ของกรมทางหลวงชนบท ที่จะขอกู้จากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่นหรือไจก้า จำนวนประมาณ 80.52 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 3.โครงการปรับปรุงกิจการประปาแผนหลักครั้งที่ 8 ของการประปานครหลวง ที่จะขอกู้จากไจก้าประมาณ 60.61 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 4. โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเส้นทางบางซื่อ-ท่าพระและหัวลำโพง บางแค จำนวน 289 ล้านเหรียญสหรัฐ
**กังขาโครงการภูมิใจไทยล้วน
โดยสมาชิกรัฐสภาได้อภิปรายโดยตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ใช่เป็นโครงการที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เนื่องจากทุกโครงการเป็นโครงการระยะยาวผูกพันหลายปี ที่สำคัญทุกโครงการล้วนเป็นโครงการภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยทั้งสิ้น จึงอยากรู้ว่าเหตุใดต้องรีบดำเนินการ
ขณะเดียวกันก็แสดงความกังวลถึงยอดการกู้เงินจากต่างประเทศว่ามีจำนวนเท่าใดกันแน่ เพราะรัฐบาลยังไม่มีนโยบายที่จะหารายได้เข้าประเทศนอกจากการขึ้นภาษีต่างๆกับประชาชน และมีบางโครงการที่สามารถกู้เงินภายในประเทศไทยได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินตราต่างประเทศ เพราะขณะนี้สภาพได้เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่บางโครงดูเหมือนข้อตกลงที่ทำไว้จะเสียเปรียบสถาบันที่ปล่อยเงินกู้ เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสีน้ำเงินที่จะต้องซื้ออุปกรณ์จากญี่ปุ่น
ส่วนส.ส.พรรคเพื่อไทย ต่างลุกขึ้นโจมตีไม่เห็นด้วยกับกรอบดังกล่าว และว่ารัฐบาลไม่ควรทำการกู้เงินจากต่างประเทศอีก เพราะที่ผ่านมาก็มีการกู้เงินต่างประเทศมามาก จนทำให้ประชาชนมีหนี้รายหัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเห็นว่าโครงการส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่กทม. ไม่ได้กระจายไปที่ชนบท จึงไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริงในระยะอันสั้นนี้ อีกทั้งรัฐบาลยังยอมรับว่าการจัดเก็บรายได้ในปี 53 จะต่ำกว่าเป้าถึง 2 แสนล้านบาท และยังมีการปรับลดงบประมาณลงไปอีก แล้วยังจะมาขอกู้เพื่อปล่อยทิ้งให้เป็นภาระของประชาชนรวมถึงไม่สามารถชี้แจงถึงความคุ้มค่าในแต่ละโครงการได้
**ไม่กลัวเป็นหนี้แต่กลัวโกง
ขณะที่ส.ว.บางส่วนแสดงความเห็นว่า ทำไมต้องรีบทำในเมื่อประเทศยังไม่มีเงิน เพราะทราบว่า 4 โครงการที่เสนอมานี้ล้วนโกงง่ายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างถนน สะพาน และระบบสาธารณูปโภค ประชาชนไม่กลัวการกู้เงินไม่กลัวเป็นหนี้แต่กลัวคนโกงกินมากกว่า จึงขอให้รัฐบาลดูแลอย่างใกล้ชิดอย่าให้รัฐมนตรีที่ดูแลโครงการนี้อย่าให้มีการโกงกิน และมีการเบิกใช้อย่างรอบคอบและเอาใส่ใจ รวมถึงมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลอย่างทั่วถึง
ขณะที่นางสาวรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลทบทวนว่าหากตัวเองเป็นฝ่ายค้านจะคัดค้านการกู้เงินเพื่อดำเนินการในโครงการต่างๆเหล่านี้หรือไม่ เพราะการจะกู้เงินในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศมีปัญหาควรต้องทบทวนโครงการที่จะดำเนินการอย่างรอบคอบว่าทำแล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมให้ประชาชนมีรายได้จริงหรือไม่
** “กรณ์”ยันต้องกู้ตปท.
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ชี้แจงว่า การพิจารณากรอบเจรจาเงินกู้ต่างประเทศเป็นไปตามพรบ.หนี้สาธารณะที่รัฐบาลได้เสนอขอกู้เงินใน 4 โครงการ ซึ่งเป็นการกู้ยืมที่ทำมาโดยตลอดทุกปีทุกรัฐบาล ดังนั้นเม็ดเงินรวมที่รัฐบาลสามารถกู้ได้ตามกฎหมายอยู่ที่ 1.8 แสนล้านบาท แต่รัฐบาลได้ขอยื่นกู้เพิ่มอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท เพราะไม่ต้องการเพิ่มภาระให้ประเทศชาติ
โดยทั้ง 4 โครงการมีความสำคัญต่อการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องกู้จากต่างประเทศ โดยแหล่งเงินกู้ในต่างประเทศจะมีระยะเวลาผ่อนชำระคืนค่อนข้างยาว อยู่ที่ 20-25 ปี มากกว่าการขอกู้ในประเทศด้วยการออกพันธบัตรที่ใช้ระยะเวลาคืนภายใน 3-5 ปี และได้ประเมินในแง่ดอกเบี้ยว่าการกู้ผ่านองค์กรระหว่างประเทศ อัตราดอกเบี้ยจะต่างกว่าการกู้ภายในประเทศ
“ยืนยันว่าการเสนอทั้ง 4 โครงการอยู่ในช่วงภาวะปัจจุบันเงินทุนต่ำกว่าปกติ จึงถือเป็นโอกาส และเวลาที่เหมาะสมในการที่จะลงทุนโครงการต่างๆในระบบเศรษฐกิจที่จะส่งผลต่อการจ้างงาน เนื่องจากขณะนี้ภาคเอกชนลดกำลังการผลิต ส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน การเดินหน้าโครงการเหล่านี้ถือว่ารัฐบาลเข้ามารับช่วงแทนเอกชน”
นายกรณ์กล่าวว่า ขณะนี้ยอดรวมทั้งหมดที่รัฐบาลขอกู้อยู่ที่ 4 แสนล้านบาท ยืนยันว่ารัฐบาลสามารถรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด จะเห็นได้จากการประเมินรายได้ของรัฐบาลในปี 53 ที่จะลดลงและได้เสนอกรอบงบใหม่ลดเม็ดเงินลง 2 แสนล้านบาท จากเดิม 1.9 ล้านล้านบาท เหลือ 1.7 ล้านล้านบาท ตนมั่นใจว่าแนวทางที่เดินมามีความเหมาะสมทั้งต่อโครงการ จังหวะเวลา การลงทุน
อย่างไรก็ตามหลังจากกรอบนี้ผ่านสภาแล้วจะสามารถเจรจาและนำรายละเอียดกลับมาชี้แจงต่อสภาอีกครั้งโดยโครงการประปา และการสร้างถนน 4ช่องทางจะนำรายละเอียดมาแจ้งในเดือนกันยายนส่วนโครงการสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาจะนำรายละเอียดนำเสนอสภาในเดือนมีนาคม 53
ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสีน้ำเงิน เดิมที่รัฐบาลชุดที่แล้วได้เจรจาเงินกู้กับญี่ปุ่นแล้ว แต่รัฐบาลนี้ได้เห็นว่ามีเงื่อนไขบางส่วนที่อาจทำให้ไทยเสียเปรียบ เช่น ที่ต้องซื้อสินค้าและอุปกรณ์จากญี่ปุ่น เราจึงได้ปรับเงื่อนไขและเสนอให้ขอเจรจาใหม่ ดังนั้นเพื่อความโปร่งใส จึงนำโครงการนี้เข้าสู่สภาพิจารณาใหม่
**ลุ้นต่อรองญี่ปุ่นใหม่
ทั้งนี้หากญี่ปุ่นไม่พร้อมที่จะปล่อยกู้ตามเงื่อนไขใหม่ ทางรัฐบาลก็มีแผนรองรับที่จะเดินหน้ากู้ภายในประเทศ และในวันจันทร์ที่ 18 พ.ค. รัฐสภาจะพิจารณา พรก.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท และพ.ร.บ.แผนไทยเข้มแข็งอีก 4 แสนล้านบาท รวม 8 แสนล้านบาท โดยจะมีการชี้แจงในเรื่องของแผนงานโครงการว่าเป็นประเภทใด และประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างใด
ด้านนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ชี้แจงว่า โครงการทั้งหมดเป็นโครงการที่รัฐบาลชุดก่อนๆคิด แต่มาสำเร็จในรัฐบาลชุดนี้ ส่วนข้อกังวลเรื่องความโปร่งใสในโครงการก่อสร้างถนนสายหลัก 4 ช่องทางจราจรนั้นเริ่มมาตั้งแต่รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งมีดำริที่จะให้ใช้เงินกู้ ถ้ารัฐบาลชุดนี้ไม่ดำเนินโครงการต่อสิ่งที่สร้างมาในอดีตก็จะไม่มีประโยชน์จึงจำเป็นต้องทำให้ถนนทั้งแปดเส้นทางครบสมบูรณ์
รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ได้มีการยื่นซองประกวดราคามาตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อน แต่มาเปิดซองในรัฐบาลชุดนี้ ขอให้ติดตามทุกโครงการของกระทรวงคมนาคมเพราะตนไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ส่วนเรื่องค่าเคก็มีกันทุกประเทศ ทุกโครงการการจะคาดการณ์ไปต่างๆนานาไม่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง ยืนยันว่ากระทรวงคมนาคมมีความโปร่งใส หากมีอะไรตนพร้อมรับผิดชอบทั้งทางสังคมและทางกฎหมาย
จากนั้นที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามกรอบดังกล่าว ด้วยคะแนนเสียง 285 เสียง ไม่เห็นด้วย 50 เสียง งดออกเสียง 19 ไม่ลงคะแนน 17 เสียง โดยมีส.ส.เพื่อไทยบางส่วน นำโดยนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส. นครสวรรค์ ได้เดินออกจากห้องประชุมไป
------------------------------------------------ ----------------------