ASTVผู้จัดการรายวัน- แบงก์ชาติเกียร์ว่างก่อนโวยคลัง สั่งทางวาจาให้ใช้อำนาจฟันผู้บริหารคดีพนักงาน ธอส.ปล้น 400 ล้าน เผยมีอำนาจตรวจสอบแบงก์เฉพาะกิจจริง แต่ทำได้เพียงการตรวจสอบฐานะและการบริหารความเสี่ยง เพราะเป็นเรื่องภายในองค์กร-กรมบัญชีกลาง แต่ยอมรับแบงก์เฉพาะกิจมาตรฐานต่ำกว่าแบงก์พาณิชย์ ทั้งเรื่องเทคโนโลยีและบุคลากร
นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยวานนี้ (12 พ.ค.) ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังได้ประสานงานเบื้องต้นด้วยวาจาให้ ธปท.เข้าไปตรวจสอบธนาคารเฉพาะกิจ โดยเฉพาะกรณีพิเศษของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แล้ว แต่ยังไม่ได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการ ธปท.จึงไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบภายในได้ตอนนี้
อย่างไรก็ตาม หากได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการ ธปท.จะใช้มาตรฐานในการตรวจสอบธนาคารพาณิชย์เข้าไปตรวจสอบสถาบันการเงินเหล่านี้ ซึ่งให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารความเสี่ยง ความมั่นคง และฐานะการดำเนินงาน เพื่อกำหนดเป็นนโยบายให้คลังใช้ในการกำกับดูแลต่อไป
“ยอมรับธนาคารเฉพาะกิจยังมีจุดอ่อนกว่าธนาคารพาณิชย์อยู่เห็นได้ชัด คือ บุคคลากรและเทคโนโลยี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ในอดีตแบงก์พาณิชย์เคยมีประสบการณ์มาก่อน ทำให้ในปัจจุบันการทุจริตในแบงก์พาณิชย์ไม่มี เพราะมีระบบที่ดีและมีประสบการณ์เยอะกว่า โดยแบงก์ชาติจะเข้าไปดูในแต่ละด้านของธนาคารเฉพาะกิจทุกแห่งทั้งจุดอ่อนและจุดแข็ง โดยประเมินว่าเมื่อนำมาตรฐานการกำกับดูแลแบงก์พาณิชย์ไปใช้กับธนาคารเฉพาะกิจแล้วจะมีผลให้ฐานะ การจัดชั้นหนี้ คุณภาพสินทรัพย์ รวมถึงส่งผลต่อเงินกองทุนอย่างไรบ้าง"
นายสรสิทธิ์ย้ำว่า กรณีพนักงาน ธอส.ทุจริตเงินกว่า 400 ล้านบาทนั้น เป็นเรื่องภายในที่ธนาคารแต่ละแห่งต้องตรวจสอบเอง ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐมีการปฏิบัติตามมาตรฐานของกรมบัญชีกลาง ซึ่งกระทรวงการคลังกำกับดูแล ปัจจุบันระบบการตรวจสอบที่มีดีอยู่แล้ว แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการไม่ดำเนินการมากกว่า และขณะนี้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา จึงไม่เกี่ยวว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้เกิดจากธนาคารเฉพาะกิจไม่ได้มาตรฐาน ฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่ธนาคารเฉพาะกิจควรมีการแก้ไข คือ การเคลีย์เงินในงบการเงินให้เสร็จสิ้นในทุกงวด โดยพยายามลดปัญหาเงินค้างอยู่ในบัญชีอื่นออกไป
เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ซึ่งกำกับดูแล ธอส. ได้เรียกนายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธอส. เข้าชี้แจงหลังจาก ธอส.เกิดความเสียหายจากการทุจริตของนายสมเกียรติ ปัญญาวรคุณเดช พนักงานสาขาเซ็นหลุยส์ มูลค่า 400 ล้านบาท โดยนายประดิษฐ์ซึ่งไม่พอใจผลงาน ธอส.ในช่วงที่ผ่านมามากนัก ได้สั่งให้ผู้บริหาร ธอส.ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อชี้แจงรายละเอียดของความเสียหายต่อสาธารณะชนภายใน 15 วัน ช่วงเดียวกันนี้นายประดิษฐ์ยังได้ประสานให้ ธปท.ช่วยตรวจสอบอีกด้วย
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนายขรรค์เปิดเผยว่า ได้ให้คณะกรรมการธนาคารทั้งหมด ยกเว้นประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) เป็นคณะกรรมการตรวจสอบและแก้ปัญหา และจะมีการประชุมบอร์ดในวันที่ 14 พ.ค.หลังจากนั้นจะรายงานความเสียหายและแนวทางการแก้ไขปัญหาให้นายประดิษฐ์ต่อไป โดยขณะนี้นายขรรค์อยู่ระหว่างการปฏิบัติภาระกิจในต่างประเทศ
คลังขายหุ้นสินเอเชียเปิดทางง่ายขึ้น
นายสรสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีการซื้อขายหุ้นของธนาคารสินเอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือ ACL ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังถือหุ้น 30.61% และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 19.26% ว่า ขณะนี้ ธปท.ยังไม่ได้รับรายงานว่าธนาคารอินดัสเทรียลแอนด์คอมเมอร์เชียลแบงก์ออฟไชน่า (ICBC) จะเข้าไปซื้อหุ้นจากคลัง แต่ในส่วนของธนาคารกรุงเทพต้องขายหุ้นที่ถืออยู่ออกไปตามกฎของแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ฉบับแรก กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถถือหุ้นในอีกธนาคารพาณิชย์อีกแห่งได้
ขณะที่หุ้นที่คลังถืออยู่ ในส่วนตัวมองว่านักลงทุนต่างชาติคงต้องการซื้อหุ้นในสัดส่วนที่มาก เพื่อให้มีอำนาจบริหารจัดการธุรกิจได้ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จึงทำให้ข้อตกลงต่างๆ ง่ายขึ้น ถือเป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนต้องเจรจากับคลัง เพื่อเจรจาซื้อหุ้นในฐานะเจ้าของหุ้นและขออนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นได้เกิน 49%
ส่วนธปท.มีหน้าที่รับเรื่องแล้วเสนอตามขั้นตอนแล้วให้คลังพิจารณาต่อไป
ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวจากกระทรวงการคลังว่า ทาง ICBC ได้เจรจาซื้อหุ้นจากกระทรวงการคลังในราคา 4-5 บาทต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาตลาด 2-3 เท่า ซึ่งธนาคารกรุงเทพตกลงขายหุ้นในราคาเดียวกัน ขณะที่แหล่งข่าวจาก ธปท.ระบุเหตุผลว่า ICBC ต้องการได้หุ้นสินเอเซียมากกว่าที่ถืออยู่ด้วย จึงได้ตั้งโต๊ะเจรจาซื้อหุ้นกับคลังเพิ่มเติม
นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยวานนี้ (12 พ.ค.) ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังได้ประสานงานเบื้องต้นด้วยวาจาให้ ธปท.เข้าไปตรวจสอบธนาคารเฉพาะกิจ โดยเฉพาะกรณีพิเศษของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แล้ว แต่ยังไม่ได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการ ธปท.จึงไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบภายในได้ตอนนี้
อย่างไรก็ตาม หากได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการ ธปท.จะใช้มาตรฐานในการตรวจสอบธนาคารพาณิชย์เข้าไปตรวจสอบสถาบันการเงินเหล่านี้ ซึ่งให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารความเสี่ยง ความมั่นคง และฐานะการดำเนินงาน เพื่อกำหนดเป็นนโยบายให้คลังใช้ในการกำกับดูแลต่อไป
“ยอมรับธนาคารเฉพาะกิจยังมีจุดอ่อนกว่าธนาคารพาณิชย์อยู่เห็นได้ชัด คือ บุคคลากรและเทคโนโลยี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ในอดีตแบงก์พาณิชย์เคยมีประสบการณ์มาก่อน ทำให้ในปัจจุบันการทุจริตในแบงก์พาณิชย์ไม่มี เพราะมีระบบที่ดีและมีประสบการณ์เยอะกว่า โดยแบงก์ชาติจะเข้าไปดูในแต่ละด้านของธนาคารเฉพาะกิจทุกแห่งทั้งจุดอ่อนและจุดแข็ง โดยประเมินว่าเมื่อนำมาตรฐานการกำกับดูแลแบงก์พาณิชย์ไปใช้กับธนาคารเฉพาะกิจแล้วจะมีผลให้ฐานะ การจัดชั้นหนี้ คุณภาพสินทรัพย์ รวมถึงส่งผลต่อเงินกองทุนอย่างไรบ้าง"
นายสรสิทธิ์ย้ำว่า กรณีพนักงาน ธอส.ทุจริตเงินกว่า 400 ล้านบาทนั้น เป็นเรื่องภายในที่ธนาคารแต่ละแห่งต้องตรวจสอบเอง ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐมีการปฏิบัติตามมาตรฐานของกรมบัญชีกลาง ซึ่งกระทรวงการคลังกำกับดูแล ปัจจุบันระบบการตรวจสอบที่มีดีอยู่แล้ว แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการไม่ดำเนินการมากกว่า และขณะนี้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา จึงไม่เกี่ยวว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้เกิดจากธนาคารเฉพาะกิจไม่ได้มาตรฐาน ฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่ธนาคารเฉพาะกิจควรมีการแก้ไข คือ การเคลีย์เงินในงบการเงินให้เสร็จสิ้นในทุกงวด โดยพยายามลดปัญหาเงินค้างอยู่ในบัญชีอื่นออกไป
เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ซึ่งกำกับดูแล ธอส. ได้เรียกนายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธอส. เข้าชี้แจงหลังจาก ธอส.เกิดความเสียหายจากการทุจริตของนายสมเกียรติ ปัญญาวรคุณเดช พนักงานสาขาเซ็นหลุยส์ มูลค่า 400 ล้านบาท โดยนายประดิษฐ์ซึ่งไม่พอใจผลงาน ธอส.ในช่วงที่ผ่านมามากนัก ได้สั่งให้ผู้บริหาร ธอส.ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อชี้แจงรายละเอียดของความเสียหายต่อสาธารณะชนภายใน 15 วัน ช่วงเดียวกันนี้นายประดิษฐ์ยังได้ประสานให้ ธปท.ช่วยตรวจสอบอีกด้วย
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนายขรรค์เปิดเผยว่า ได้ให้คณะกรรมการธนาคารทั้งหมด ยกเว้นประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) เป็นคณะกรรมการตรวจสอบและแก้ปัญหา และจะมีการประชุมบอร์ดในวันที่ 14 พ.ค.หลังจากนั้นจะรายงานความเสียหายและแนวทางการแก้ไขปัญหาให้นายประดิษฐ์ต่อไป โดยขณะนี้นายขรรค์อยู่ระหว่างการปฏิบัติภาระกิจในต่างประเทศ
คลังขายหุ้นสินเอเชียเปิดทางง่ายขึ้น
นายสรสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีการซื้อขายหุ้นของธนาคารสินเอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือ ACL ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังถือหุ้น 30.61% และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 19.26% ว่า ขณะนี้ ธปท.ยังไม่ได้รับรายงานว่าธนาคารอินดัสเทรียลแอนด์คอมเมอร์เชียลแบงก์ออฟไชน่า (ICBC) จะเข้าไปซื้อหุ้นจากคลัง แต่ในส่วนของธนาคารกรุงเทพต้องขายหุ้นที่ถืออยู่ออกไปตามกฎของแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ฉบับแรก กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถถือหุ้นในอีกธนาคารพาณิชย์อีกแห่งได้
ขณะที่หุ้นที่คลังถืออยู่ ในส่วนตัวมองว่านักลงทุนต่างชาติคงต้องการซื้อหุ้นในสัดส่วนที่มาก เพื่อให้มีอำนาจบริหารจัดการธุรกิจได้ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จึงทำให้ข้อตกลงต่างๆ ง่ายขึ้น ถือเป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนต้องเจรจากับคลัง เพื่อเจรจาซื้อหุ้นในฐานะเจ้าของหุ้นและขออนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นได้เกิน 49%
ส่วนธปท.มีหน้าที่รับเรื่องแล้วเสนอตามขั้นตอนแล้วให้คลังพิจารณาต่อไป
ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวจากกระทรวงการคลังว่า ทาง ICBC ได้เจรจาซื้อหุ้นจากกระทรวงการคลังในราคา 4-5 บาทต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาตลาด 2-3 เท่า ซึ่งธนาคารกรุงเทพตกลงขายหุ้นในราคาเดียวกัน ขณะที่แหล่งข่าวจาก ธปท.ระบุเหตุผลว่า ICBC ต้องการได้หุ้นสินเอเซียมากกว่าที่ถืออยู่ด้วย จึงได้ตั้งโต๊ะเจรจาซื้อหุ้นกับคลังเพิ่มเติม