xs
xsm
sm
md
lg

เครือLHไตรมาส1รายได้ลด พฤกษาสวนกระแสกำไรพุ่งลั่นขึ้นเบอร์หนึ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – ธุรกิจอสังหาฯในเครือแลนด์ฯรายได้ไตรมาส1 ลดลง คาดปัจจัยทางการเมือง-เศรษฐกิจตัวแปรหลัก ค่ายคิวเฮ้าส์คุมก่อหนี้ เบรกซื้อที่ดินเพิ่ม เผยทำรายได้รวม 2,233 ล้านบาท ลดลง 6% ด้านพฤกษาฯ เดินหน้าสู่ผู้นำตลาด ปรับแผนเปิดโครงการเพิ่มปีนี้ 27 โครงการ จากเดิม 22 โครงการ เผยไตรมาส 1 กวาดรายได้รวม 3,780 ล้านบาท กำไรพุ่ง123% เชื่อสิ้นปีขึ้นแท่นเบอร์หนึ่ง

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ต่างหลีกหนีไม่พ้นกับปัญหาทางการเมืองของไทย จนกลายเป็นอุปสรรคที่เป็นปัจจัยลบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศได้ แม้ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบัน จะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ การดูแลปัญหาค่าครองชีพของประชาชน รวมถึงการออกมาตรการทางภาษีในการเร่งรัดให้เศรษฐกิจในประเทศเกิดการขับเคลื่อน ซึ่งแน่นอน ผลกระทบดังกล่าวย่อมส่งผลถึงแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทอสังหาฯที่จะเริ่มประกาศตัวเลขออกมาในไตรมาส1ปี 2552 และอาจจะเป็นสัญญาณสะท้อนให้เห็นการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี52ด้วย

บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH เป็นผู้นำตลาดที่มีส่วนแบ่งค่อนข้างสูง เนื่องจากมีธุรกิจอสังหาฯในเครือที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ล่าสุด ทางบริษัทฯได้แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 52 โดยระบุว่า มีรายได้จากการขาย 2,962.85 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปี 51 ที่มีรายได้จากการขาย 3,678.21 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมของบริษัทฯในไตรมาสนี้ 3,120.51 ล้านบาท เทียบกับ 3,807.37 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 628.94 ล้านบาท และ 658.17 ล้านบาท ตามลำดับ

**QHคุมก่อหนี้เบรกซื้อที่ดินเพิ่ม

นางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH กล่าวว่าในไตรมาส1ปี 52 บริษัทฯมีรายได้รวมจำนวน 2,233 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 51 มีรายได้รวม 2,370 ล้านบาท ลดลง 137 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 6% สาเหตุเกิดจากรายได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดินลดลงจำนวน 119 ล้านบาท หรือลดลง 6% เนื่องจากการชะลอตัวลงของตลาดขายอสังหาฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายใน ประเทศ

ขณะที่รายได้จากค่าเช่าพื้นที่ในอาคารสำนักงานและค่าบริการที่เกี่ยวข้อง ในไตรมาส 1 ลดลง จำนวน 4 ล้านบาท หรือลดลง 5 % เนื่องจากบริษัทมีลูกค้าเช่าพื้นที่รายใหญ่ของโครงการคิวเฮ้าส์ สาทร สัญญาเช่าครบกำหนดและย้ายออกจากโครงการดังกล่าว เช่นเดียวกับรายได้จากค่าเช่าพื้นที่ในอาคารพักอาศัยและค่าบริการที่เกี่ยวข้อง ลดลงจำนวน 19 ล้านบาท หรือลดลง 8 % เนื่องจากสภาพตลาดโดยรวมของอาคารพักอาศัยให้เช่ายังคงชะลอตัว ทั้งนี้ ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศไทยและทั่วโลก

แต่ในส่วนรายได้จากการแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมนั้น ในไตรมาส 1 ปี 52 มีจำนวน 97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 18 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19 % แยกเป็นบริษัทร่วม 4 แห่ง ที่เพิ่มขึ้น คือ ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เพิ่มขึ้นจำนวน 15 ล้านบาท , บริษัท ควอลิตี้ คอนสตรัคชั่น โปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) เพิ่มขึ้น 5 ล้านบาท ,ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อยจำกัด (มหาชน) ลดลง 5 ล้านบาท และจากกองทุนรวมอสังหาฯควอลิตี้ เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 3 ล้านบาท

ดังนั้น ในส่วนกำไรสุทธิงวดไตรมาส1ปี 52 อยู่ที่ 292 ล้านบาท ลดลง 15 ล้านบาท หรือ 5% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 51 ที่ 307 ล้านบาท ด้านสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวมลดลงจากปี 51 (ณ วันที่ 31 ธ.ค. 51) โดยสินทรัพย์รวมสิ้นเดือนมี.ค.52 อยู่ที่ 28,784 ล้านบาท ลดลง 27 ล้านบาท ส่วนหนี้สินรวม 17,014 ล้านบาท ลดลง 300 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทชะลอการซื้อที่ดิน เพราะว่าบริษัทมีที่ดินเพียงพอที่จะรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจได้ชะลอตัวลง ดังนั้น จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนและรักษาฐานะการเงินของบริษัทให้มั่นคง

***PSปรับแผนเปิดโครงการเพิ่มรับยอดขาย

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS กล่าวถึงผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 52 ว่า เติบโตขึ้นมาก โดยมีรายได้ 3,780 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2551 ที่มีรายได้ที่ 2,230 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 687 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 308 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้มาจากโครงการทาวน์เฮาส์ 60% บ้านเดี่ยว 30% และโครงการคอนโดมิเนียม 10%
 
ทั้งนี้ ทางพฤกษาฯมียอดโอนกรรมสิทธิ์สูงถึง 2,467 ยูนิต โดยเฉพาะในเดือนมีนาคมสามารถทำยอดโอนสูงสุดถึง 1,393 ยูนิต ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในช่วงเวลาดังกล่าว รัฐบาลค่อนข้างล่าช้าในการประกาศขยายมาตรการลดภาษีค่าธรรมเนียม ค่าจดจำนอง เหลือ 0.01% ซึ่งจะสิ้นสุดมาตรการภายในวันที่ 28 มี.ค. 52 ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะประกาศต่ออายุมาตรการหรือไม่จึงเร่งโอนในช่วงเวลาดังกล่าว
 
" แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่เชื่อว่าหากมีการปรับตัวปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์จะสามารถผ่านวิกฤตในช่วงนี้ไปได้ รวมถึง การจัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยพยายามรักษาฐานตลาดระดับกลางจนถึงล่างไว้ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อ" นายทองมากล่าว
 
ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัทฯ กล่าวว่า ในปีนี้ บริษัทได้ปรับแผนพัฒนาโครงการใหม่ โดยได้ขยับเพิ่มจาก 22 โครงการ เป็น 27 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยว ในสัดส่วนสูงถึง 80% ที่เหลืออีก 20% เป็นคอนโดมิเนียม เพราะเห็นว่า ทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวมีรอบในการก่อสร้างเพียง 104 วัน ทำให้รอบของการใช้เงินเร็วขึ้น
 
อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างจะต้องสอดคล้องกับยอดขายด้วย เพราะหากสามารถสร้างบ้านได้เร็ว แต่ขายสินค้าได้ช้า ก็จะทำให้เกิดสินค้าคงค้าง(สต๊อก)ได้ และจากข้อมูลยอดขายในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงก่อการจลาจลพบว่า บริษัทมียอดขาย 1,020 ล้านบาท แต่พอเข้าสู่เดือนพฤษภาคม ปรากฏว่าสามารถทำยอดขายได้ 600 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไม่ได้ปรับลดลงไปมาก อีกทั้งยังมีกำลังซื้อของผู้บริโภคอยู่สูง
 
 “การกระจายพอร์ตการลงทุนไปในทุกตลาดของบริษัท ทำให้เมื่อมีปัญหาอะไรเข้ามากระทบกำลังซื้อ หรือเกิดการเคลื่อนไหวของตลาด เราก็ปรับไปที่ตลาดนั้นได้ทันที เพราะพฤกษามีสินค้าในตลาดดังกล่าวขาย และเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดทาวน์เฮาส์ระดับกลางและล่างไว้อย่างมั่นคง ขณะเดียวกัน พฤกษาจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์โดยมีสินค้าในกลุ่มใหม่ๆ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น บ้านภัสสร โครงการบ้านใหม่ย่านทางด่วนเอกมัย รามอินทราได้ปรับราคาลงมาเหลือประมาณ 2-3 ล้านบาท จากเดิมบ้านภัสสรจะอยู่นอกเมืองเป็นหลัก และมีราคาเฉลี่ยตั้งแต่ 1 ล้านไปถึง 10 ล้านบาท” นายประเสริฐกล่าว 
 
**ขอแจมโครงการบ้านยิ้มกทม.**

นอกจากนี้ ทางบริษัทพฤกษาฯยังมีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการบ้านยิ้มโครงการ 2  ซึ่งเป็นบ้านสวัสดิการข้าราชการและลูกจ้างประจำของกทม.ที่มีรายได้เกิน 13,500 บาท เพราะราคาทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวของโครงการดังกล่าว เป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกับบ้านของพฤกษา โดยได้เข้าไปหารือกับกทม. แล้วคาดว่าจะดำเนินการโครงการนี้ได้ประมาณเดือนมิถุนายน   
 
สำหรับนโยบายเช็คช่วยชาติ ที่พฤกษาฯทำแคมเปญเพิ่มมูลค่าเช็คช่วยชาติจาก 2,000 บาท เป็น 4,000 บาท ได้รับผลตอบรับที่ดี มียอดจองด้วยการใช้เช็คช่วยชาติ จำนวน 100 ยูนิต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการใช้เช็คช่วยชาติมาซื้อด้วยตัวเอง
 
**ลงทุนอินเดียเพิ่ม**
 
นายทองมา กล่าวถึงการลงทุนในต่างจังหวัดและต่างประเทศว่า โครงการที่เมืองบังกาลอ ประเทศอินเดียนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการโอนที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาโครงการ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณเดือนครึ่ง หลังจากนั้นก็จะเริ่มขออนุญาตก่อสร้างคาดว่าใช้เวลา 2-3 เดือน ซึ่งในระหว่างนั้นสามารถเปิดขายพรีเซลล์ได้เลย และลงมือออกแบบ โดยคาดว่าจะมีรายได้จากโครงการนี้ประมาณ 200-300 ล้านบาทในปีนี้ จากมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินอีก 1 แปลง มูลค่า 100 ล้านบาท พัฒนาโครงการมูลค่า 600 ล้านบาท โดยจะเปิดโครงการได้ในปีนี้ เงินลงทุนทั้ง 2 โครงการประมาณ 350 ล้านบาท
 
สำหรับการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศเวียดนามนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดซื้อที่ดิน ส่วนในต่างจังหวัดของไทย ได้แก่ ภูเก็ต และ พัทยานั้น ผลการศึกษาตลาดสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างซื้อทีดินเช่นกัน โดยการพัฒนาจะมีขนาดโครงการไม่ใหญ่มาก เนื้อที่ประมาณ 20-30 ไร่ เน้นเฉพาะกลุ่มลูกค้าซื้อเพื่ออยู่อาศัย คนทำงานในย่านนั้น เพราะเป็นกำลังซื้อที่แท้จริง แต่จะไม่ทำตลาดท่องเที่ยว

***เมเจอร์-ไรมอนแลนด์ฯกำไรลด

นายสุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในไตรมาสนี้ บริษัทมีรายได้รวม 626.57 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 1 ปี 51 ที่ 614.52 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 101.5 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับ 111.2 ล้านบาท

ด้านบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) ในไตรมาส 1 ตามงบการเงินเฉพาะกิจการมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 13.27 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปี 51 มีกำไรสุทธิตาม งบการเงินเฉพาะกิจการจำนวน 168.70 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักเกิดจากการที่ในไตรมาสที่ 1 ของปี52 บริษัทสามารถรับรู้รายได้จากการขายโครงการอสังหาฯได้น้อยกว่าปีก่อน ขณะที่งบการเงินรวม แม้ว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากการขายโครงการอสังหาฯได้มากกว่าไตรมาสที่ 1 ของปีก่อนจำนวน 109.41 ล้านบาทแต่บริษัทก็ยังมีผลกำไรสุทธิลดลงจำนวนประมาณ 47.92 ล้านบาท เพราะค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นจำนวน 77.23 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทและบริษัทย่อย มียอดขายที่ยังไม่รับรู้รายได้จากโครงการต่างๆ จำนวนประมาณ 8,423 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น