ASTVผู้จัดการรายวัน - นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารสินเอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือ ACL เปิดเผยว่า การปล่อยสินเชื่อในปีนี้ธนาคารยังคงเป้าหมายการขยายตัวไว้ที่ 10% หรือ เป็นเม็ดเงินประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท เหมือนเดิม แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้จะยังไม่ฟื้นตัวก็ตาม ทั้งนี้การขยายตัวของสินเชื่อในไตรมาส 2 นี้น่าจะอยู่ในระดับที่พอไปได้ และจะเริ่มมีการขยายตัวที่ชัดเจนในช่วงปลายไตรมาส 3 หรือต้นไตรมาส 4 โดยสาเหตุที่ธนาคารยังคงมั่นใจว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ตามเป้าหมายเนื่องจากจะเน้นลูกค้า 2-3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มโรงแรมในภูเก็ตและกระบี่ โดยพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษและในช่วงที่เกิดความวุ่นวายทางการเมือง รวมถึงการปิดสนามบินนั้นถือว่าได้รับผลกระทบน้อยมาก รวมถึงลูกค้าที่มีพื้นฐานการส่งออกดียังมีการเติบโตได้ดี และกระแสเงินสดยังไปได้ดี เช่น กลุ่มเกษตร อาหาร เป็นต้น และมองว่าในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันจะมีบริษัทที่เคยระดมเงินจากตลาดทุนหันมาใช้การกู้เงินจากธนาคารมากขึ้น
"เราเชื่อว่าการท่องเที่ยวของไทยยังคงเติบโตได้ดี และผลกระทบที่ผ่านมาก็เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น และโชคดีอย่างหนึ่งก็คือ การชุมนุมทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมานั้นเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่ใช่ฤดูการท่องเที่ยว ส่วนการระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้นเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อไทยมากนัก โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าอาจกระทบเพียงระยะสั้นเท่านั้น"
ส่วนการแข่งขันด้านเงินฝากนั้นมองว่าจะไม่รุนแรงมากนัก และจะเริ่มทรงตัวในไตรมาส 2 ถึง 3 เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายค่อนข้างทรงตัวหรืออาจปรับลดลงได้อีกเล็กน้อย หลังจากนั้นการระดมเงินฝากจะเป็นรูปแบบของเงินฝากระยะยาวมากขึ้น โดยฐานลูกค้าเงินฝากปัจจุบันของธนาคารสินเอเซีย มีอยู่ประมาณ 50,000 ล้านบาทนั้น จะเป็นส่วนของตั๋วแลกเงิน (บีอี) ประมาณ 20,000 ล้านบาทและจะเป็นลูกค้าเงินฝากออมทรัพย์ 15-20% และมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 25-30% แต่จะสามารถทำได้ในช่วงใดนั้นขึ้นอยู่กับภาวะอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ธนาคารยังไม่มีความจำเป็นในการออกหุ้นกู้เนื่องจากมีการบริหารจัดการสภาพคล่องค่อนข้างดี และมีฐานเงินฝากระยะยาวค่อนข้างมาก ทำให้การขยายตัวของธุรกิจจะใช้ส่วนของเงินฝากเป็นตัวระดมทุนไปก่อน
"ตอนนี้บีอีไม่ค่อยเพิ่ม เพราะลูกค้ามีความเข้าใจมากขึ้น อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยของบีอีกับเงินฝากก็มีระดับที่ใกล้เคียงกันมาก ส่วนเงินฝากคงไม่แข่งกันเท่าไหร่ แต่ในช่วงต้นไตรมาส 3 คงจะมีการระดมเงินฝากระยะยาวกันมากขึ้น"
สำหรับแนวโน้มของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณที่น่ากังวลจนต้องมีการตั้งสำรองเพิ่ม โดยปัจจุบันเอ็นพีแอลของธนาคารอยู่ที่กว่า 2% โดยในภาพรวมของตลาดแล้วส่วนที่น่าเป็นห่วงจะเป็นลูกค้าในกลุ่มระดับกลางและรายย่อย ขณะที่ลูกค้าของธนาคารจะเป็นกลุ่มรายกลางถึงรายใหญ่
นายอภิชาติ กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วมองว่าสิ่งที่เป็นห่วงที่สุดในขณะนี้ คือเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่สามารถประเมินได้ว่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงใด ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในด้านของการส่งออก ส่วนการอัดฉีดเงินของภาครัฐเข้าระบบนั้นถือว่าสามารถทำได้ดี แต่ในด้านการลงทุนยังมีค่อนข้างน้อย ส่วนเรื่องของเงินทุนที่ไหลออกไปนั้นน่าจะเป็นส่วนของกลุ่มที่ต้องการเข้ามาชั่วคราวอยู่แล้วดังนั้นเงินที่อยู่ในประเทศตอนนี้จึงเป็นส่วนที่ต้องการลงทุนในไทยจริง ๆ
"เราเชื่อว่าการท่องเที่ยวของไทยยังคงเติบโตได้ดี และผลกระทบที่ผ่านมาก็เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น และโชคดีอย่างหนึ่งก็คือ การชุมนุมทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมานั้นเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่ใช่ฤดูการท่องเที่ยว ส่วนการระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้นเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อไทยมากนัก โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าอาจกระทบเพียงระยะสั้นเท่านั้น"
ส่วนการแข่งขันด้านเงินฝากนั้นมองว่าจะไม่รุนแรงมากนัก และจะเริ่มทรงตัวในไตรมาส 2 ถึง 3 เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายค่อนข้างทรงตัวหรืออาจปรับลดลงได้อีกเล็กน้อย หลังจากนั้นการระดมเงินฝากจะเป็นรูปแบบของเงินฝากระยะยาวมากขึ้น โดยฐานลูกค้าเงินฝากปัจจุบันของธนาคารสินเอเซีย มีอยู่ประมาณ 50,000 ล้านบาทนั้น จะเป็นส่วนของตั๋วแลกเงิน (บีอี) ประมาณ 20,000 ล้านบาทและจะเป็นลูกค้าเงินฝากออมทรัพย์ 15-20% และมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 25-30% แต่จะสามารถทำได้ในช่วงใดนั้นขึ้นอยู่กับภาวะอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ธนาคารยังไม่มีความจำเป็นในการออกหุ้นกู้เนื่องจากมีการบริหารจัดการสภาพคล่องค่อนข้างดี และมีฐานเงินฝากระยะยาวค่อนข้างมาก ทำให้การขยายตัวของธุรกิจจะใช้ส่วนของเงินฝากเป็นตัวระดมทุนไปก่อน
"ตอนนี้บีอีไม่ค่อยเพิ่ม เพราะลูกค้ามีความเข้าใจมากขึ้น อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยของบีอีกับเงินฝากก็มีระดับที่ใกล้เคียงกันมาก ส่วนเงินฝากคงไม่แข่งกันเท่าไหร่ แต่ในช่วงต้นไตรมาส 3 คงจะมีการระดมเงินฝากระยะยาวกันมากขึ้น"
สำหรับแนวโน้มของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณที่น่ากังวลจนต้องมีการตั้งสำรองเพิ่ม โดยปัจจุบันเอ็นพีแอลของธนาคารอยู่ที่กว่า 2% โดยในภาพรวมของตลาดแล้วส่วนที่น่าเป็นห่วงจะเป็นลูกค้าในกลุ่มระดับกลางและรายย่อย ขณะที่ลูกค้าของธนาคารจะเป็นกลุ่มรายกลางถึงรายใหญ่
นายอภิชาติ กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วมองว่าสิ่งที่เป็นห่วงที่สุดในขณะนี้ คือเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่สามารถประเมินได้ว่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงใด ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในด้านของการส่งออก ส่วนการอัดฉีดเงินของภาครัฐเข้าระบบนั้นถือว่าสามารถทำได้ดี แต่ในด้านการลงทุนยังมีค่อนข้างน้อย ส่วนเรื่องของเงินทุนที่ไหลออกไปนั้นน่าจะเป็นส่วนของกลุ่มที่ต้องการเข้ามาชั่วคราวอยู่แล้วดังนั้นเงินที่อยู่ในประเทศตอนนี้จึงเป็นส่วนที่ต้องการลงทุนในไทยจริง ๆ