ASTVผู้จัดการรายวัน - แบงก์ทหารไทยบรรลุข้อตกลงการขายเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอให้บสก. มูลค่า 19,800 ล้านบาท กดหนี้เน่าเหลือ 13.2% ส่วนเอ็นพีเอเหลือ 2.1% ระบุยังสนใจซื้อไฮบริดเทียร์ 1 เพิ่มอีกหลังล็อตแรกซื้อคืนแล้วได้กำไร 2,800 ล้านบาท
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB เปิดเผยว่า ธนาคารได้บรรลุข้อตกลงในการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพ (เอ็นพีแอล) และทรัพย์สินรอการขาย (เอ็นพีเอ) ของธนาคารและบริษัท บริหารสินทรัพย์พญาไท จำกัด (PAMC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย มูลค่ารวม 19,800 ล้านบาท ให้แก่ บริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) โดยจำแนกเป็นยอดเงินต้นคงค้างของสินเชื่อรายใหญ่ประมาณ 6,000 ล้านบาท สินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อมประมาณ 6,500 ล้านบาท สินเชื่อรายย่อยประมาณ 2,000 ล้านบาท และเอ็นพีเอที่มีราคาประเมินรวมประมาณ 5,300 ล้านบาท
ทั้งนี้หากหักยอดสินเชื่อด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายที่ตกลงขายครั้งนี้ออก อัตราส่วนของ เอ็นพีแอลของธนาคารตามงบการเงินรวม (Consolidated) จะคงเหลือ 13.2% เทียบจาก 16% ของไตรมาสแรกปี 2552 และอัตราส่วนของทรัพย์สินรอการขายต่อสินทรัพย์รวมจะคงเหลือ 2.1% จาก 2.8% ของไตรมาสแรกปี 2552 โดยธนาคารมีเป้าหมายที่จะลดสัดส่วนของเอ็นพีแอลให้เป็นตัวเลขหลักเดียวในอนาคต
นายบุญทักษ์ กล่าวว่า ในขณะนี้ธนาคารยังคงมีความสนใจที่จะทำการซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ที่มีลักษณะคล้ายทุน (ไฮบริดเทียร์ 1 ) ที่จำหน่ายให้กับนักลงทุนต่างชาติในส่วนที่เหลืออีก 68.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,400 ล้านบาท) หากได้รับราคาที่เหมาะสม หรือในราคาไม่เกิน 57 % ของมูลค่าที่เสนอขาย โดยที่ผ่านมาธนาคารได้ทำการซื้อคืนหุ้นกู้ดังกล่าวไปแล้ว 131 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4,585 ล้านบาท) ส่งผลให้มีกำไร 2,800 ล้านบาท
"เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(บีไอเอส) ของธนาคารที่ปรับลดลง หลังจากมีการไถ่ถอนไฮบริดเทียร์ 1 ธนาคารได้ออกหุ้นกู้คล้ายทุน (TMB IT – ONE) จำนวน 4,000 ล้านบาทมาแทน ส่วนกำไรที่ได้รับจากการไถ่ถอนไฮบริดเทียร์ 1 ประมาณ 2,800 ล้านบาท โดยบางส่วนจะนำมาเตรียมไว้สำหรับการสำรองหนี้จัดชั้น"
ด้านนายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) กล่าวว่า ภายหลังจากที่ บสก. รับซื้อรับโอนเอ็นพีแอล และเอ็นพีเอ ของธนาคารทหารไทยเข้ามาบริหารจัดการแล้ว ในขั้นตอนต่อไป บสก.จะมีหนังสือแจ้งให้ลูกค้ารับทราบ เพื่อเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ โดยพิจารณาจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าเป็นหลัก และมุ่งเน้นวิธีการเจรจาประนีประนอมเพื่อหาข้อยุติที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย แม้จะเป็นหนี้ที่อยู่ในระหว่างการฟ้องร้องบังคับคดี บสก. ก็เปิดโอกาสให้ลูกค้ากลับมาเจรจาประนอมหนี้ได้ใหม่ โดยมีเป้าหมายช่วยลูกหนี้ให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ และส่งกลับคืนระบบเศรษฐกิจตามปกติต่อไป
ขณะที่ทางด้านเอ็นพีเอเมื่อได้รับโอนมาเป็นกรรมสิทธิ์แล้ว บสก.จะเร่งดำเนินการในเรื่องการจัดทำรายการและทะเบียนควบคุมทรัพย์สินรอการขาย พร้อมทั้งออกสำรวจ ตรวจสอบสภาพทรัพย์ และติดป้ายประกาศ รวมทั้งมีการปรับปรุงและพัฒนาทรัพย์ที่มีศักยภาพให้เป็นบ้านพร้อมอยู่ ที่ดินพร้อมใช้ เพื่อให้เป็นทรัพย์มีคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาด
ปัจจุบัน บสก. มีเอ็นพีแอล จำนวน 225,042 ล้านบาท หรือคิดเป็น 97.65% เมื่อเทียบกับสถาบันการเงินที่มีอยู่จำนวน 230,451 ล้านบาท และมีเอ็นพีเอที่อยู่ในความดูแลจำนวน 37,150 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25.17% เมื่อเทียบกับสถาบันการเงินที่มีอยู่จำนวน 147,572 ล้านบาท โดยในปีนี้ บสก. พร้อมที่จะรับซื้อรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารจัดการอีก 50,000 ล้านบาท
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB เปิดเผยว่า ธนาคารได้บรรลุข้อตกลงในการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพ (เอ็นพีแอล) และทรัพย์สินรอการขาย (เอ็นพีเอ) ของธนาคารและบริษัท บริหารสินทรัพย์พญาไท จำกัด (PAMC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย มูลค่ารวม 19,800 ล้านบาท ให้แก่ บริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) โดยจำแนกเป็นยอดเงินต้นคงค้างของสินเชื่อรายใหญ่ประมาณ 6,000 ล้านบาท สินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อมประมาณ 6,500 ล้านบาท สินเชื่อรายย่อยประมาณ 2,000 ล้านบาท และเอ็นพีเอที่มีราคาประเมินรวมประมาณ 5,300 ล้านบาท
ทั้งนี้หากหักยอดสินเชื่อด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายที่ตกลงขายครั้งนี้ออก อัตราส่วนของ เอ็นพีแอลของธนาคารตามงบการเงินรวม (Consolidated) จะคงเหลือ 13.2% เทียบจาก 16% ของไตรมาสแรกปี 2552 และอัตราส่วนของทรัพย์สินรอการขายต่อสินทรัพย์รวมจะคงเหลือ 2.1% จาก 2.8% ของไตรมาสแรกปี 2552 โดยธนาคารมีเป้าหมายที่จะลดสัดส่วนของเอ็นพีแอลให้เป็นตัวเลขหลักเดียวในอนาคต
นายบุญทักษ์ กล่าวว่า ในขณะนี้ธนาคารยังคงมีความสนใจที่จะทำการซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ที่มีลักษณะคล้ายทุน (ไฮบริดเทียร์ 1 ) ที่จำหน่ายให้กับนักลงทุนต่างชาติในส่วนที่เหลืออีก 68.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,400 ล้านบาท) หากได้รับราคาที่เหมาะสม หรือในราคาไม่เกิน 57 % ของมูลค่าที่เสนอขาย โดยที่ผ่านมาธนาคารได้ทำการซื้อคืนหุ้นกู้ดังกล่าวไปแล้ว 131 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4,585 ล้านบาท) ส่งผลให้มีกำไร 2,800 ล้านบาท
"เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(บีไอเอส) ของธนาคารที่ปรับลดลง หลังจากมีการไถ่ถอนไฮบริดเทียร์ 1 ธนาคารได้ออกหุ้นกู้คล้ายทุน (TMB IT – ONE) จำนวน 4,000 ล้านบาทมาแทน ส่วนกำไรที่ได้รับจากการไถ่ถอนไฮบริดเทียร์ 1 ประมาณ 2,800 ล้านบาท โดยบางส่วนจะนำมาเตรียมไว้สำหรับการสำรองหนี้จัดชั้น"
ด้านนายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) กล่าวว่า ภายหลังจากที่ บสก. รับซื้อรับโอนเอ็นพีแอล และเอ็นพีเอ ของธนาคารทหารไทยเข้ามาบริหารจัดการแล้ว ในขั้นตอนต่อไป บสก.จะมีหนังสือแจ้งให้ลูกค้ารับทราบ เพื่อเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ โดยพิจารณาจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าเป็นหลัก และมุ่งเน้นวิธีการเจรจาประนีประนอมเพื่อหาข้อยุติที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย แม้จะเป็นหนี้ที่อยู่ในระหว่างการฟ้องร้องบังคับคดี บสก. ก็เปิดโอกาสให้ลูกค้ากลับมาเจรจาประนอมหนี้ได้ใหม่ โดยมีเป้าหมายช่วยลูกหนี้ให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ และส่งกลับคืนระบบเศรษฐกิจตามปกติต่อไป
ขณะที่ทางด้านเอ็นพีเอเมื่อได้รับโอนมาเป็นกรรมสิทธิ์แล้ว บสก.จะเร่งดำเนินการในเรื่องการจัดทำรายการและทะเบียนควบคุมทรัพย์สินรอการขาย พร้อมทั้งออกสำรวจ ตรวจสอบสภาพทรัพย์ และติดป้ายประกาศ รวมทั้งมีการปรับปรุงและพัฒนาทรัพย์ที่มีศักยภาพให้เป็นบ้านพร้อมอยู่ ที่ดินพร้อมใช้ เพื่อให้เป็นทรัพย์มีคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาด
ปัจจุบัน บสก. มีเอ็นพีแอล จำนวน 225,042 ล้านบาท หรือคิดเป็น 97.65% เมื่อเทียบกับสถาบันการเงินที่มีอยู่จำนวน 230,451 ล้านบาท และมีเอ็นพีเอที่อยู่ในความดูแลจำนวน 37,150 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25.17% เมื่อเทียบกับสถาบันการเงินที่มีอยู่จำนวน 147,572 ล้านบาท โดยในปีนี้ บสก. พร้อมที่จะรับซื้อรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารจัดการอีก 50,000 ล้านบาท