เอกรัฐวิศวกรรม เผยเอกรัฐโซล่าร์ ถูกธนาคารทหารไทยฟ้องเหตุไม่ชำระหนี้ตามกำหนดและบังคับจำนองให้ชำระหนี้ ไม่สำเร็จ โดยยื่นต่อศาลเพื่อให้ชำระเงิน 933,450,754.15 บาท พร้อมดอกเบี้ย 15.50 % ต่อปี จนกว่าการชำระหนี้แล้วเสร็จ ขณะบริษัทแจงไม่อาจระดมทุนได้ตามแผนหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ และผลการดำเนินงานยังขาดทุน ชี้อยู่ระหว่างพิจารณาหาแนวทางแก้ไขและปรับโครงสร้างหนี้
นายวิวัฒน์ แสงเทียน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด ( มหาชน) ( AKR ) แจ้งว่าตามที่บริษัท เอกรัฐโซล่าร์ จำกัด (บริษัทย่อย) ซึ่งถือหุ้นโดยบริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด ( มหาชน ) ( บริษัทฯ ) ร้อยละ 99.99 ได้ทำการกู้ยืมเงินกับธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคาร) เพื่อดำเนินธุรกิจโรงงานผลิตเซลล์และผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์นั้น แต่เนื่องจากความล่าช้าในการนำหลักทรัพย์ของบริษัท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยในการทำธุรกิจจึงทําให้บริษัทย่อยไม่สามารถจ่ายชําระหนี้คืนให้แก่ ธนาคารทหารไทย จํากัด ( มหาชน ) ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ และบริษัทฯ มีการดำเนินการเจรจา และแก้ไขสัญญาการใช้วงเงินสินเชื่อกับทางธนาคารหลายครั้ง
โดยเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552 ทางธนาคารได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาการใช้วงเงินสินเชื่อของทางธนาคาร และขอบอกกล่าวบังคับจำนองให้บริษัทย่อย ในฐานะลูกหนี้และบริษัทฯในฐานะผู้ค้ำประกัน ชำระหนี้จำนวน 901,813,879.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน ซึ่งทางบริษัทย่อยได้มีการเจรจาในเรื่องดังกล่าว และได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับทางธนาคาร แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทำให้บริษัทย่อยไม่สามารถดำเนินการชำระหนี้ตามที่ได้ตกลงกันไว้ได้ทันตามกำหนด
ดังนั้น เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2552 บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ ได้รับสำเนาคำฟ้องคดีผู้บริโภค ศาลจังหวัดพระโขนง ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2552 ความแพ่ง โดยสรุปรายละเอียดสำคัญ ดังนี้คดีหมายเลขดำที่ ผบ.2824/2552 ระหว่าง ธนาคาร ทหารไทย จำกัด ( มหาชน ) (โจทก์) บริษัท เอกรัฐโซล่าร์ จำกัด (จำเลยที่ 1) บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด ( มหาชน) (จำเลยที่ 2 ) เรื่อง ผิดสัญญากู้เงิน, สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี, ตั๋วสัญญาใช้เงิน, ค้ำประกันและบังคับจำนองจำนวนทุนทรัพย์ 933,450,754.15 บาท
โดยโจทก์ได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกจําเลยมาพิจารณาคดีโดยมีคําขอท้ายฟ้องดังต่อไปนี้
1. ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 933,450,754.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี ของเงินต้นจำนวน 885,731,137.05 บาท นับแต่วันฟ้อง ( ฟ้องวันที่ 3 มิถุนายน 2552 ) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นภายใน
2. หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามข้อ 1. ให้ยึดทรัพย์จำนวน คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 9887, 9888, 9985, 9986 ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ มีอยู่แล้วและที่จะมีต่อไปในภายหน้า และเครื่องจักร, เครื่องเชื่อม, เครื่องประกอบ, เครื่องล้าง ฯลฯ หมายเลขทะเบียน (48-309-404) 0001 ถึง 0007 รวม 7 เครื่องและเครื่องจักร, เครื่องตรวจสอบ, เครื่องกัดผิว, เครื่องลำเลียง, เครื่องเคลือบ, เครื่องล้าง , เครื่องพิมพ์ ฯลฯ หมายเลขทะเบียน (51-314-403) 0001 ถึง 0030 จำนวน 30 เครื่อง และยึดทรัพย์จำนำของจําเลยที่ 1 รวมตลอดทั้งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินอื่น ๆ ของจําเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
3. ให้จําเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชําระฤชาธรรมเนียมศาลและค่าทนายความในอัตราสูงสุดแทนโจทก์ด้วย
บริษัทแจ้งว่าในงบการเงินไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวัน 31 มี.ค. 52 ของบริษัท เอกรัฐโซล่าร์ พบว่ามีรายได้จากการดำเนินงาน กําไร (ขาดทุน) สุทธิและสินทรัพย์รวมคิดเป็นร้อยละ 7.13, ( 256.13 ) และ 26.56 ของงบการเงินรวม ทั้งนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างการพิจารณาหาแนวทางแก้ไข และปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทย่อย โดยจะมีการนำเสนอให้แก่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันที่ 17 มิถุนายน 2552 หากบริษัทฯ ได้มติในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จะแจ้งให้นักลงทุนทราบโดยทั่วกัน
นายวิวัฒน์ แสงเทียน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด ( มหาชน) ( AKR ) แจ้งว่าตามที่บริษัท เอกรัฐโซล่าร์ จำกัด (บริษัทย่อย) ซึ่งถือหุ้นโดยบริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด ( มหาชน ) ( บริษัทฯ ) ร้อยละ 99.99 ได้ทำการกู้ยืมเงินกับธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคาร) เพื่อดำเนินธุรกิจโรงงานผลิตเซลล์และผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์นั้น แต่เนื่องจากความล่าช้าในการนำหลักทรัพย์ของบริษัท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยในการทำธุรกิจจึงทําให้บริษัทย่อยไม่สามารถจ่ายชําระหนี้คืนให้แก่ ธนาคารทหารไทย จํากัด ( มหาชน ) ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ และบริษัทฯ มีการดำเนินการเจรจา และแก้ไขสัญญาการใช้วงเงินสินเชื่อกับทางธนาคารหลายครั้ง
โดยเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552 ทางธนาคารได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาการใช้วงเงินสินเชื่อของทางธนาคาร และขอบอกกล่าวบังคับจำนองให้บริษัทย่อย ในฐานะลูกหนี้และบริษัทฯในฐานะผู้ค้ำประกัน ชำระหนี้จำนวน 901,813,879.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน ซึ่งทางบริษัทย่อยได้มีการเจรจาในเรื่องดังกล่าว และได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับทางธนาคาร แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทำให้บริษัทย่อยไม่สามารถดำเนินการชำระหนี้ตามที่ได้ตกลงกันไว้ได้ทันตามกำหนด
ดังนั้น เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2552 บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ ได้รับสำเนาคำฟ้องคดีผู้บริโภค ศาลจังหวัดพระโขนง ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2552 ความแพ่ง โดยสรุปรายละเอียดสำคัญ ดังนี้คดีหมายเลขดำที่ ผบ.2824/2552 ระหว่าง ธนาคาร ทหารไทย จำกัด ( มหาชน ) (โจทก์) บริษัท เอกรัฐโซล่าร์ จำกัด (จำเลยที่ 1) บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด ( มหาชน) (จำเลยที่ 2 ) เรื่อง ผิดสัญญากู้เงิน, สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี, ตั๋วสัญญาใช้เงิน, ค้ำประกันและบังคับจำนองจำนวนทุนทรัพย์ 933,450,754.15 บาท
โดยโจทก์ได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกจําเลยมาพิจารณาคดีโดยมีคําขอท้ายฟ้องดังต่อไปนี้
1. ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 933,450,754.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15.50 ต่อปี ของเงินต้นจำนวน 885,731,137.05 บาท นับแต่วันฟ้อง ( ฟ้องวันที่ 3 มิถุนายน 2552 ) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นภายใน
2. หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามข้อ 1. ให้ยึดทรัพย์จำนวน คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 9887, 9888, 9985, 9986 ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ มีอยู่แล้วและที่จะมีต่อไปในภายหน้า และเครื่องจักร, เครื่องเชื่อม, เครื่องประกอบ, เครื่องล้าง ฯลฯ หมายเลขทะเบียน (48-309-404) 0001 ถึง 0007 รวม 7 เครื่องและเครื่องจักร, เครื่องตรวจสอบ, เครื่องกัดผิว, เครื่องลำเลียง, เครื่องเคลือบ, เครื่องล้าง , เครื่องพิมพ์ ฯลฯ หมายเลขทะเบียน (51-314-403) 0001 ถึง 0030 จำนวน 30 เครื่อง และยึดทรัพย์จำนำของจําเลยที่ 1 รวมตลอดทั้งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินอื่น ๆ ของจําเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
3. ให้จําเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชําระฤชาธรรมเนียมศาลและค่าทนายความในอัตราสูงสุดแทนโจทก์ด้วย
บริษัทแจ้งว่าในงบการเงินไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวัน 31 มี.ค. 52 ของบริษัท เอกรัฐโซล่าร์ พบว่ามีรายได้จากการดำเนินงาน กําไร (ขาดทุน) สุทธิและสินทรัพย์รวมคิดเป็นร้อยละ 7.13, ( 256.13 ) และ 26.56 ของงบการเงินรวม ทั้งนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างการพิจารณาหาแนวทางแก้ไข และปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทย่อย โดยจะมีการนำเสนอให้แก่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันที่ 17 มิถุนายน 2552 หากบริษัทฯ ได้มติในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จะแจ้งให้นักลงทุนทราบโดยทั่วกัน