ผมอยากให้ท่านผู้อ่านช่วยกันถามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย และส.ส.พรรคอื่นใดก็ได้รวมทั้งเสนาะ เทียนทองที่แปรพักตร์แต่ไม่ยอมกลายพันธุ์จากไทยลักไทย
ถามว่า พวกเขาจะมีปัญญา สมาธิ และความกล้าหาญพอที่จะพูดกันให้รู้เรื่องสมกับความเป็นคนไทยในยามวิกฤตหรือไม่ เรื่องคนไทยกลายเป็นคนป่าเที่ยวห้ำหั่นฆ่าฟันกัน ทำลายภาพลักษณ์ประเทศ ล้มการประชุมสุดยอดคุกคามชีวิตนายกฯ และเลขาธิการนายกฯ ปิดทางจราจรกั้นอนุสาวรีย์ชัย ก่อจลาจลทำลายชีวิตชาวบ้าน และเกือบจะเผาผลาญกรุงเทพฯ และชีวิตคนไทยนับไม่ถ้วนโดยระเบิดรถบรรทุกแก๊ส เป็นต้น มีมูลเหตุเกี่ยวพันกับการที่พวกเขาและทักษิณติดยึดและดื้อดึงต้องการนิรโทษกรรม กลับมามีอำนาจใช่หรือไม่
ถ้าพวกเขาตอบว่ารู้แล้ว บัดนี้พวกเขาหูตาสว่างแล้ว ลำพังแต่พวกเขาที่เหลืออยู่ไม่มีปัญญาจะรับใช้บ้านเมืองได้เลยรึไง หากไม่มีทักษิณกับนักโทษ 111+109 แล้ว บ้านเมืองจะฉิบหายวายป่วงจริงก็ให้มันรู้ไป เขาจะบอกทักษิณกับเดนการเมืองพวกนั้นเองว่า หยุดได้แล้ว
แต่ความหวังเรื่องนี้ผมว่าชาติหน้าตอนบ่ายๆ เพราะพฤติกรรมอย่างต่อเนื่องของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่วันที่ 7-14 เมษายน 2552 นี้ได้ประจานตนเองจนล่อนจ้อนแล้ว ว่าต้องทำตามคำสั่ง ไม่ได้ด้วยเล่ห์เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์เอาด้วยคาถา ไม่ได้ด้วยศรัทธาเอาด้วยหลอกลวงโกหก บ้านเมืองจะเสียหาย ผู้คนจะล้มตาย เศรษฐกิจจะล้มละลาย ช่างหัวมัน
ที่น่าทุเรศที่สุด และพรรคประชาธิปัตย์ขานรับ โดยจะหวังอย่างสุจริตใจหรือจะซื้อเวลาก็มิทราบ ก็คือ การแต่งตั้งคณะกรรมการโดยนายชัย ชิดชอบ 2 คณะ คือ คณะกรรมการการตรวจสอบข้อเท็จจริง เหตุการณ์การเมืองระหว่างวันที่ 8-15 เมษายน และคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ผมเขียนถึงสภาผู้แทนฯ ชุดนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ล่าสุดใน ASTVผจก.และผจก.ออนไลน์อีก ดังนี้ สภาจกเปรต (22 มี.ค.) สภาผู้แทนในฝัน (26 , 29 มี.ค. 26, 30 เม.ย.) ปลดล็อก 111 ศพ (23 เม.ย.) สรุปรวมความว่า สังคมไทยหวังอะไรกับสภาผู้แทนฯ นี้ไม่ได้
สภาผู้แทนฯ ชุดนี้มีปัญหาหลักในด้านโครงสร้าง องค์ประกอบ และพฤติกรรม โดยย่อดังต่อไปนี้
ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ที่มีสภาพเป็นพรรคการเมืองครึ่งเป็นแก๊งเลือกตั้งครึ่ง ทุกพรรคเป็นแก๊งเลือกตั้งที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรับใช้หัวหน้า หรือเพื่อขายตัวขายหัวพรรคทั้งหมด ถึงแม้จะเคยรวมตัวกันอยู่ภายใต้ไทยลักไทย แต่สภาพก็เป็นเพียง “คนคุกบรรดาศักดิ์” อย่างที่ เสนาะ เทียนทอง บอก ซ้ำร้ายพรรคเหล่านี้เมื่อตั้งขึ้นหรือเปลี่ยนทะเบียนใหม่ ไม่มีพรรคใดปฏิบัติครบขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยพรรค ในเรื่องที่มิได้ยกเว้นไว้ในบทเฉพาะกาล เช่น เรื่องที่ว่าด้วยการรับบุคคลเข้าเป็นสมาชิกหรือส่งให้เข้าสมัครรับเลือกตั้ง การหย่อนความสามารถและบกพร่องในหน้าที่ของ กกต. เท่านั้นที่ช่วยให้แก๊งเหล่านี้ ดูเหมือนจะมีสภาพเป็นพรรคการเมืองขึ้นมาได้
ผมได้เตือนไว้แล้วว่าหากรีบเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2551 แทนที่จะเลื่อนให้พรรคต่างๆ จัดสภาพให้เรียบร้อย จะเกิดคดีความและการต่อสู้ระหว่างพรรค การกระทำผิดกฎหมายล่อแหลมต่อการถูกยุบพรรค การเติมเชื้อเพลิงให้เกิดการต่อสู้กันระหว่างพรรค โดยกลุ่มในระบอบทักษิณจะต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อปลดปล่อยตนเองให้หลุดพ้นความผิด อันจะนำไปสู่การต่อสู้เผชิญหน้ากันอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเกิดสงครามกลางเมือง
นอกจากนั้น พรรคการเมืองบรรดาที่แปรสภาพมาจากไทยลักไทย ทั้งๆ ที่มีเสียงข้างมาก และจัดตั้งรัฐบาลถึง 2 รัฐบาลคือ สมัคร และสมชาย แต่พรรคการเมืองดังกล่าวซึ่งมีเสียงข้างมากโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พลังประชาชน” ที่ถูกยุบเปลี่ยนหัวเป็น “เพื่อไทย” มีพฤติกรรมที่ทำลายสถาบันนิติบัญญัติอย่างเป็นระบบดังนี้
1. สภามิได้ทำหน้าที่ควบคุมฝ่ายบริหารในการบริหารราชการแผ่นดินเลย ดีแต่ทำตนเป็นเปรตขอส่วนบุญ แย่งกันแบ่งสรรตำแหน่ง งบประมาณละโครงการ
2. สภามิได้ทำหน้าที่นิติบัญญัติหรือการออกกฎหมายเลย ในการประชุมสภาสมัยสามัญทั้ง 2 สมัย สภาไม่ได้ผ่านพ.ร.บ.ใหม่ของตนเองหรือของรัฐบาลแม้แต่ฉบับเดียว
3. สภามิได้ทำหน้าที่ควบคุมฝ่ายบริหารในการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างประเทศ โดยปล่อยให้ฝ่ายบริหารไปลงนามข้อตกลง ซึ่งศาลวินิจฉัยว่ามีลักษณะเป็นสนธิสัญญาต้องผ่านความเห็นชอบสภาเสียก่อน การลงนามกับเขมรอาจทำให้ประเทศเสียบูรณภาพเหนือดินแดนในกรณีเขาพระวิหาร
4. ที่สำคัญที่สุด ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนหรือเพื่อไทยและพรรคบริวารไม่รักษาความเป็นอิสระ ทำตนเหนืออาณัติใดๆ กลับพากันวิ่งเต้นรับคำสั่งและเงินจากทักษิณ กลับมาปลุกระดมเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการแก้รัฐธรรมนูญเปิดทางให้ทักษิณกับเพื่อน 111 ศพ
5. ระบอบทักษิณก็ทิ้งไพ่ใบสุดท้ายระหว่างวันที่ 7 ถึง 14 เมษายน 2552 ประเทศไทยเกือบจะพังทั้งประเทศ และแม้นายกรัฐมนตรีก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ผลที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามกับความหวังของระบอบทักษิณโดยสิ้นเชิง ขณะนี้ขบวนการเสื้อแดงกำลังแพ้ในสมรภูมิสื่อและกับมวลชนทั่วโลกและทั่วประเทศ
6. ในการต่อสู้ตามข้อ 5 นั้น ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยจำนวนไม่น้อยได้ขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวคำอาฆาตมาดร้ายยุยงมวลชนให้ใช้กำลังฆ่าฟัน ทำลายล้างรัฐธรรมนูญ การปกครอง และรัฐบาลโดยกำลัง ตลอดจนเข้านำมวลชนปิดถนน ปิดสะพานข้ามแดนระหว่างประเทศ และบุกเข้ายึดโรงแรมทำลายการประชุมสุดยอดอาเซียน ตลอดจนการก่อจลาจลทำลายทรัพย์สินและชีวิตประชาชน อันเป็นความผิดทางอาญาร้ายแรงขึ้นไปจนถึงการเป็นกบฏ ซ้ำส.ส.พรรคนี้ยังมาเปิดอภิปรายใส่ร้ายทหารและรัฐบาลด้วยการโกหกและสร้างข้อมูลเท็จ ปลอมแปลงเอกสารและวัตถุพยานนานัปการ นับเป็นจุดด่างและทำลายภาพลักษณ์ของสภาฯ อย่างร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
7. การจัดตั้ง 2 คณะกรรมการประกอบด้วยบุคคลดังกล่าวนี้จึงเป็นความสมยอมที่น่าอัปยศที่สุดของสภาฯ เป็นการแก้เกี้ยวตลบหลังและตลบตะแลง เพื่อจะทำให้เกิดการนิรโทษกรรม สมานฉันท์และแก้รัฐธรรมนูญตามใบสั่งของทักษิณ เพื่อทักษิณ และซากศพ 111+109 อย่างแจ้งชัดโดยเอาความสามัคคีปรองดองในชาติมาอ้าง ในขณะที่คนพวกนี้ขาดความชอบธรรม ขาดจริยธรรม และขาดข้ออ้างใดๆ ทั้งสิ้นที่จะมาตั้งกรรมการ มาเป็นกรรมการเหมือนกับโจรที่ไปปล้นฆ่าหรือข่มขืนลูกเมียเขา แล้วกลับมาแอบอ้างศีลธรรม และอโหสิกรรมบังหน้า
8. สำหรับเหตุการณ์และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นระหว่าง 7-14 เมษายน เป็นเรื่องสาหัสเกินกว่าที่รัฐบาลจะปัดความรับผิดชอบได้ แทนที่จะไปหลบซุกอยู่ในผ้าคลุมเปื้อนเลือดของสภาฯ รัฐบาลจะต้องใช้อำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนและจับบุคคลที่กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ ไม่ต้องคอยพึ่งชัย ชิดชอบ
9. จากพฤติกรรมทั้งหมดของ ส.ส.กลุ่มใหญ่พรรคเพื่อไทยและการปลุกระดมในรูปแบบต่างๆ นอกสภาฯ ดังที่ปรากฏโจ่งแจ้งแล้ว กลลวงเรื่องการตั้งกรรมการจะมิใช่ความหวังครั้งสุดท้าย ผมเชื่อว่าหลายคนในกลุ่มนี้มีจิตใจอำมหิต และอาจจะฝันเงียบๆ คอยให้อะไรเกิดขึ้นก็ได้ที่จะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 วงเล็บ (1) ผู้สนใจโปรดไปอ่านเอาเอง เมื่อนั้นการซาวเสียงในสภาฯ ครั้งใหม่จะทำให้การกลับมาของระบอบทักษิณมีโอกาสสูงยิ่ง
ทั้งหมดที่ผมพูดมานี้มีทางแก้ และสามารถทำได้ในสภาฯ เอง ส.ส.ที่ดีๆ ของพรรคเพื่อไทยเองก็จะได้ประโยชน์ อานิสงส์จะตกทอดไปสู่ซากศพ 111+109 เป็นรายๆ ไป โดยไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญหรือนิรโทษกรรม นั่นก็คือ
(1) ให้ส.ส.นำมาตรา 271 และมาตรา 270 ในรธน.มาใช้เพื่อปลด ส.ส.ที่ “จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” นั่นก็คือ นิ้วไหนร้ายตัดทิ้งเสียเพื่อความอยู่รอดของสภาฯ และ
(2) แก้กฎหมายประกอบฯ เพื่อมิให้ผู้สมัครต้องสังกัดพรรค ซึ่งจะนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญมาตรานั้นๆ ซึ่งจะทำให้ข้ออ้างเรื่องการยุบพรรคตกไป วิญญาณของพวก 111+109 ก็อาจมีโอกาสไปผุดเกิด โดยไม่ต้องมาหลอกหลอนทวงบุญคุณจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างคนในพรรคเพื่อไทย
รายละเอียดเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านก็ช่วยกันคิดได้ หรือจะให้ผมอธิบายต่อก็ยินดี
ถามว่า พวกเขาจะมีปัญญา สมาธิ และความกล้าหาญพอที่จะพูดกันให้รู้เรื่องสมกับความเป็นคนไทยในยามวิกฤตหรือไม่ เรื่องคนไทยกลายเป็นคนป่าเที่ยวห้ำหั่นฆ่าฟันกัน ทำลายภาพลักษณ์ประเทศ ล้มการประชุมสุดยอดคุกคามชีวิตนายกฯ และเลขาธิการนายกฯ ปิดทางจราจรกั้นอนุสาวรีย์ชัย ก่อจลาจลทำลายชีวิตชาวบ้าน และเกือบจะเผาผลาญกรุงเทพฯ และชีวิตคนไทยนับไม่ถ้วนโดยระเบิดรถบรรทุกแก๊ส เป็นต้น มีมูลเหตุเกี่ยวพันกับการที่พวกเขาและทักษิณติดยึดและดื้อดึงต้องการนิรโทษกรรม กลับมามีอำนาจใช่หรือไม่
ถ้าพวกเขาตอบว่ารู้แล้ว บัดนี้พวกเขาหูตาสว่างแล้ว ลำพังแต่พวกเขาที่เหลืออยู่ไม่มีปัญญาจะรับใช้บ้านเมืองได้เลยรึไง หากไม่มีทักษิณกับนักโทษ 111+109 แล้ว บ้านเมืองจะฉิบหายวายป่วงจริงก็ให้มันรู้ไป เขาจะบอกทักษิณกับเดนการเมืองพวกนั้นเองว่า หยุดได้แล้ว
แต่ความหวังเรื่องนี้ผมว่าชาติหน้าตอนบ่ายๆ เพราะพฤติกรรมอย่างต่อเนื่องของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่วันที่ 7-14 เมษายน 2552 นี้ได้ประจานตนเองจนล่อนจ้อนแล้ว ว่าต้องทำตามคำสั่ง ไม่ได้ด้วยเล่ห์เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์เอาด้วยคาถา ไม่ได้ด้วยศรัทธาเอาด้วยหลอกลวงโกหก บ้านเมืองจะเสียหาย ผู้คนจะล้มตาย เศรษฐกิจจะล้มละลาย ช่างหัวมัน
ที่น่าทุเรศที่สุด และพรรคประชาธิปัตย์ขานรับ โดยจะหวังอย่างสุจริตใจหรือจะซื้อเวลาก็มิทราบ ก็คือ การแต่งตั้งคณะกรรมการโดยนายชัย ชิดชอบ 2 คณะ คือ คณะกรรมการการตรวจสอบข้อเท็จจริง เหตุการณ์การเมืองระหว่างวันที่ 8-15 เมษายน และคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ผมเขียนถึงสภาผู้แทนฯ ชุดนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ล่าสุดใน ASTVผจก.และผจก.ออนไลน์อีก ดังนี้ สภาจกเปรต (22 มี.ค.) สภาผู้แทนในฝัน (26 , 29 มี.ค. 26, 30 เม.ย.) ปลดล็อก 111 ศพ (23 เม.ย.) สรุปรวมความว่า สังคมไทยหวังอะไรกับสภาผู้แทนฯ นี้ไม่ได้
สภาผู้แทนฯ ชุดนี้มีปัญหาหลักในด้านโครงสร้าง องค์ประกอบ และพฤติกรรม โดยย่อดังต่อไปนี้
ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ที่มีสภาพเป็นพรรคการเมืองครึ่งเป็นแก๊งเลือกตั้งครึ่ง ทุกพรรคเป็นแก๊งเลือกตั้งที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรับใช้หัวหน้า หรือเพื่อขายตัวขายหัวพรรคทั้งหมด ถึงแม้จะเคยรวมตัวกันอยู่ภายใต้ไทยลักไทย แต่สภาพก็เป็นเพียง “คนคุกบรรดาศักดิ์” อย่างที่ เสนาะ เทียนทอง บอก ซ้ำร้ายพรรคเหล่านี้เมื่อตั้งขึ้นหรือเปลี่ยนทะเบียนใหม่ ไม่มีพรรคใดปฏิบัติครบขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยพรรค ในเรื่องที่มิได้ยกเว้นไว้ในบทเฉพาะกาล เช่น เรื่องที่ว่าด้วยการรับบุคคลเข้าเป็นสมาชิกหรือส่งให้เข้าสมัครรับเลือกตั้ง การหย่อนความสามารถและบกพร่องในหน้าที่ของ กกต. เท่านั้นที่ช่วยให้แก๊งเหล่านี้ ดูเหมือนจะมีสภาพเป็นพรรคการเมืองขึ้นมาได้
ผมได้เตือนไว้แล้วว่าหากรีบเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2551 แทนที่จะเลื่อนให้พรรคต่างๆ จัดสภาพให้เรียบร้อย จะเกิดคดีความและการต่อสู้ระหว่างพรรค การกระทำผิดกฎหมายล่อแหลมต่อการถูกยุบพรรค การเติมเชื้อเพลิงให้เกิดการต่อสู้กันระหว่างพรรค โดยกลุ่มในระบอบทักษิณจะต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อปลดปล่อยตนเองให้หลุดพ้นความผิด อันจะนำไปสู่การต่อสู้เผชิญหน้ากันอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเกิดสงครามกลางเมือง
นอกจากนั้น พรรคการเมืองบรรดาที่แปรสภาพมาจากไทยลักไทย ทั้งๆ ที่มีเสียงข้างมาก และจัดตั้งรัฐบาลถึง 2 รัฐบาลคือ สมัคร และสมชาย แต่พรรคการเมืองดังกล่าวซึ่งมีเสียงข้างมากโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พลังประชาชน” ที่ถูกยุบเปลี่ยนหัวเป็น “เพื่อไทย” มีพฤติกรรมที่ทำลายสถาบันนิติบัญญัติอย่างเป็นระบบดังนี้
1. สภามิได้ทำหน้าที่ควบคุมฝ่ายบริหารในการบริหารราชการแผ่นดินเลย ดีแต่ทำตนเป็นเปรตขอส่วนบุญ แย่งกันแบ่งสรรตำแหน่ง งบประมาณละโครงการ
2. สภามิได้ทำหน้าที่นิติบัญญัติหรือการออกกฎหมายเลย ในการประชุมสภาสมัยสามัญทั้ง 2 สมัย สภาไม่ได้ผ่านพ.ร.บ.ใหม่ของตนเองหรือของรัฐบาลแม้แต่ฉบับเดียว
3. สภามิได้ทำหน้าที่ควบคุมฝ่ายบริหารในการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างประเทศ โดยปล่อยให้ฝ่ายบริหารไปลงนามข้อตกลง ซึ่งศาลวินิจฉัยว่ามีลักษณะเป็นสนธิสัญญาต้องผ่านความเห็นชอบสภาเสียก่อน การลงนามกับเขมรอาจทำให้ประเทศเสียบูรณภาพเหนือดินแดนในกรณีเขาพระวิหาร
4. ที่สำคัญที่สุด ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนหรือเพื่อไทยและพรรคบริวารไม่รักษาความเป็นอิสระ ทำตนเหนืออาณัติใดๆ กลับพากันวิ่งเต้นรับคำสั่งและเงินจากทักษิณ กลับมาปลุกระดมเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการแก้รัฐธรรมนูญเปิดทางให้ทักษิณกับเพื่อน 111 ศพ
5. ระบอบทักษิณก็ทิ้งไพ่ใบสุดท้ายระหว่างวันที่ 7 ถึง 14 เมษายน 2552 ประเทศไทยเกือบจะพังทั้งประเทศ และแม้นายกรัฐมนตรีก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ผลที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามกับความหวังของระบอบทักษิณโดยสิ้นเชิง ขณะนี้ขบวนการเสื้อแดงกำลังแพ้ในสมรภูมิสื่อและกับมวลชนทั่วโลกและทั่วประเทศ
6. ในการต่อสู้ตามข้อ 5 นั้น ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยจำนวนไม่น้อยได้ขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวคำอาฆาตมาดร้ายยุยงมวลชนให้ใช้กำลังฆ่าฟัน ทำลายล้างรัฐธรรมนูญ การปกครอง และรัฐบาลโดยกำลัง ตลอดจนเข้านำมวลชนปิดถนน ปิดสะพานข้ามแดนระหว่างประเทศ และบุกเข้ายึดโรงแรมทำลายการประชุมสุดยอดอาเซียน ตลอดจนการก่อจลาจลทำลายทรัพย์สินและชีวิตประชาชน อันเป็นความผิดทางอาญาร้ายแรงขึ้นไปจนถึงการเป็นกบฏ ซ้ำส.ส.พรรคนี้ยังมาเปิดอภิปรายใส่ร้ายทหารและรัฐบาลด้วยการโกหกและสร้างข้อมูลเท็จ ปลอมแปลงเอกสารและวัตถุพยานนานัปการ นับเป็นจุดด่างและทำลายภาพลักษณ์ของสภาฯ อย่างร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
7. การจัดตั้ง 2 คณะกรรมการประกอบด้วยบุคคลดังกล่าวนี้จึงเป็นความสมยอมที่น่าอัปยศที่สุดของสภาฯ เป็นการแก้เกี้ยวตลบหลังและตลบตะแลง เพื่อจะทำให้เกิดการนิรโทษกรรม สมานฉันท์และแก้รัฐธรรมนูญตามใบสั่งของทักษิณ เพื่อทักษิณ และซากศพ 111+109 อย่างแจ้งชัดโดยเอาความสามัคคีปรองดองในชาติมาอ้าง ในขณะที่คนพวกนี้ขาดความชอบธรรม ขาดจริยธรรม และขาดข้ออ้างใดๆ ทั้งสิ้นที่จะมาตั้งกรรมการ มาเป็นกรรมการเหมือนกับโจรที่ไปปล้นฆ่าหรือข่มขืนลูกเมียเขา แล้วกลับมาแอบอ้างศีลธรรม และอโหสิกรรมบังหน้า
8. สำหรับเหตุการณ์และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นระหว่าง 7-14 เมษายน เป็นเรื่องสาหัสเกินกว่าที่รัฐบาลจะปัดความรับผิดชอบได้ แทนที่จะไปหลบซุกอยู่ในผ้าคลุมเปื้อนเลือดของสภาฯ รัฐบาลจะต้องใช้อำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนและจับบุคคลที่กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ ไม่ต้องคอยพึ่งชัย ชิดชอบ
9. จากพฤติกรรมทั้งหมดของ ส.ส.กลุ่มใหญ่พรรคเพื่อไทยและการปลุกระดมในรูปแบบต่างๆ นอกสภาฯ ดังที่ปรากฏโจ่งแจ้งแล้ว กลลวงเรื่องการตั้งกรรมการจะมิใช่ความหวังครั้งสุดท้าย ผมเชื่อว่าหลายคนในกลุ่มนี้มีจิตใจอำมหิต และอาจจะฝันเงียบๆ คอยให้อะไรเกิดขึ้นก็ได้ที่จะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 วงเล็บ (1) ผู้สนใจโปรดไปอ่านเอาเอง เมื่อนั้นการซาวเสียงในสภาฯ ครั้งใหม่จะทำให้การกลับมาของระบอบทักษิณมีโอกาสสูงยิ่ง
ทั้งหมดที่ผมพูดมานี้มีทางแก้ และสามารถทำได้ในสภาฯ เอง ส.ส.ที่ดีๆ ของพรรคเพื่อไทยเองก็จะได้ประโยชน์ อานิสงส์จะตกทอดไปสู่ซากศพ 111+109 เป็นรายๆ ไป โดยไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญหรือนิรโทษกรรม นั่นก็คือ
(1) ให้ส.ส.นำมาตรา 271 และมาตรา 270 ในรธน.มาใช้เพื่อปลด ส.ส.ที่ “จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” นั่นก็คือ นิ้วไหนร้ายตัดทิ้งเสียเพื่อความอยู่รอดของสภาฯ และ
(2) แก้กฎหมายประกอบฯ เพื่อมิให้ผู้สมัครต้องสังกัดพรรค ซึ่งจะนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญมาตรานั้นๆ ซึ่งจะทำให้ข้ออ้างเรื่องการยุบพรรคตกไป วิญญาณของพวก 111+109 ก็อาจมีโอกาสไปผุดเกิด โดยไม่ต้องมาหลอกหลอนทวงบุญคุณจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างคนในพรรคเพื่อไทย
รายละเอียดเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านก็ช่วยกันคิดได้ หรือจะให้ผมอธิบายต่อก็ยินดี