ผมคิดว่าปัญญาชนคนไทยที่สติสัมปชัญญะทั่วไปคงจะรู้สึกละอายใจต่อชาวโลกมากที่มีอดีตผู้นำประเทศที่เคยได้รับความไว้วางใจจากประชาชนคนไทย และชาวต่างชาติ ได้รับการพูดถึงแต่ในทางที่ดี แต่มาวันนี้ชาวโลกรู้เบื้องหลังทักษิณแล้วก็ไม่ได้ต่างกับอดีตผู้นำประเทศทั้งหลายที่ใช้เล่ห์กลหลอกลวงประชาชน ใช้อำนาจหรือความโหดร้ายเข้าปกครองประเทศแล้วคดโกง ทุจริต และใช้อำนาจในทางที่ผิด หรือการใช้อำนาจหน้าที่ในการทำร้ายประชาชน การฆ่าตัดตอน สมรู้ร่วมคิดในกระทำความชั่วร้ายทั้งปวงขณะที่มีอำนาจรัฐ และมาวันนี้กลับมาแก้ตัวกับชาวโลกว่าไม่ได้ทำร้ายชาติตัวเอง และเรียกร้องให้สาวกตนชุมนุมโดยสันติ
ทักษิณสิ้นอำนาจตามหลักการทางรัฐศาสตร์เรียกว่า De Facto Change หรือการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤตินัย เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงทักษิณเชิงนิตินัยกระทำได้ยาก มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่ในระบอบทักษิณมากจนไม่สามารถเอาชนะทางนิตินัยได้ และการฆ่าทักษิณก็ไม่ใช่ทางออกเพราะจะมีตัวตายตัวแทนระบอบทักษิณเกิดขึ้นทันที เช่น กรณีรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ การสังหารผู้นำก็เป็นการรัฐประหาร เช่น การสังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ เพราะหลังจากประธานาธิบดีเคนเนดี้ตาย นโยบายสำคัญๆ ที่ฝ่ายตรงข้ามต่อต้านก็ตายตามไปด้วย เช่น การญาติดีกับโซเวียตและนโยบายลดความเข้มข้นสงครามในเวียดนาม
เมื่อทักษิณสิ้นอำนาจลง ความชั่ว “คดในข้อ งอในกระดูก” ของทักษิณและครอบครัวก็ปรากฏ ทั้งๆ ที่กลไกของรัฐเกือบทั้งหมดตกอยู่ในอุ้งมือของระบอบทักษิณ แต่ด้วยอำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดิน ทำให้กระบวนการยุติธรรมอันบริสุทธิ์สามารถพิสูจน์ว่า ทักษิณและครอบครัวกระทำความผิด แต่ขบวนการเหล่านี้ทักษิณประกาศต่อชาวโลกว่า “เขาไม่ได้รับความยุติธรรม” แล้วทักษิณยังโจมตีหลักตุลาการภิวัตน์ ซึ่งเป็นหลักยึดเหนี่ยวอย่างเดียวของคนไทยหลังจากที่ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ในช่วง พ.ศ. 2544-2549 ถูกระบอบทักษิณครอบงำชนิดโงหัวไม่ขึ้น
ตลอดระยะเวลา 3 ปีของการหมดอำนาจ ทักษิณได้ทำสงครามสารสนเทศ สงครามการเมือง และสงครามจิตวิทยามาตลอด ด้วยการทุ่มเงินเข้ามา จนในการโฟนอินครั้งหนึ่ง ทักษิณหลุดปากมาว่า “ไม่ต้องต่อคิวรับเงิน 500 บาท” ในเนื้อหาจริงๆ ที่ทักษิณต้องการสื่อก็คือ หากเขาเป็นผู้นำแล้ว ทุกคนจะมีเงินใช้ไม่ต้องมาคอยรับเงินค่าจ้างเป็นม็อบครั้งละ 500 บาท สาธารณชนชาวไทยเห็นกันจะจะในอินเทอร์เน็ตที่แพร่คลิปนี้อย่างเปิดเผย
ทักษิณแก้ตัวกับชาวโลกว่า “ไม่ได้มีส่วนในการปลุกระดมกลุ่มเสื้อแดงให้ออกมาเผาบ้านเผาเมือง ยิงคนตาย และทำลายทรัพย์สินของสาธารณชน โดยเฉพาะการทำลายมัสยิดของคนไทยนับถือมุสลิมที่เพชรบุรีซอย 7 ซึ่งมีพยานหลักฐานเห็นกันชัดเจนไม่มีการตัดต่อ และชุมชนนี้ได้ร้องเรียนต่อรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปแล้ว
ทักษิณใช้ระบบโฟนอินสื่อสารกับกลุ่มชนเสื้อแดงตามวาระต่างๆ ที่มีการชุมนุมกัน ทั้งในต่างจังหวัด และที่กรุงเทพฯ หลายสิบครั้ง แต่ในห้วงวันที่ 6-13 เมษายน 2552 ซึ่งทักษิณวาดภาพให้เป็นห้วงสงครามปฏิวัติประชาชน ทักษิณทำการโฟนอินพูดคุยกับสาวกแกนนำเสื้อแดง และกลุ่มชนเสื้อแดงกว่า 10 ครั้ง และทุกครั้งในห้วงนี้มิใช่การอ้อนธรรมดา แต่เป็นการส่งสัญญาณให้กำลังใจและกำลังกายเพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาลให้ได้
หรืออีกนัยหนึ่งคือให้ประชาชนเสื้อแดงทำการปฏิวัติ ในแต่ละครั้งเนื้อหาของสัญญาณคำพูดจะมีวลียุยง เช่น “ผมแพ้ไม่ได้ เพราะผมแพ้ ประชาชนแพ้ ประเทศไทยแพ้ พี่น้องต้องอย่ายอมแพ้ ต้องอย่าให้ผมแพ้” หรือ “ต้องเปลี่ยนแปลงการเมืองให้ได้ และหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ผมจะกลับมาเมืองไทยทันที และต้องต่อต้านระบบอำมาตยาธิปไตยที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง” หรือ “เราจะต้องทำสงครามปฏิวัติประชาชน ถ้าพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ลาออก” หรือ “ผมขอขอบคุณผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงที่ช่วยขัดขวางการประชุมอาเซียน”
ข้อความเหล่านี้ ก็ไม่ต่างกับข้อความที่อุซามะห์ บิน ลาดิน ได้สื่อสารกับสมาชิกอัลกออิดะห์ที่เป็น “คนนอน” (Sleeper) อยู่ทั่วโลกให้ต่อต้านคนอเมริกัน และรัฐบาลอเมริกัน หรือคนตะวันตก มีหลายครั้งที่อุซามะห์ บิน ลาดิน พูดถึงสงครามครูเสด รวมทั้งการประกาศสงครามก่อการร้ายกับสหรัฐอเมริกา จนเกิดกรณี 9/11
เมื่อ “คนนอน” สมาชิกอัลกออิดะห์ 4 ชุดปฏิบัติการยึดเครื่องบินโดยสาร 4 ลำ บินชนตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ 2 ตึก ชนตึกเพนตากอนที่ตั้งกระทรวงกลาโหม สหรัฐฯ และอีกหนึ่งลำเกิดกลุ่มวีรชนแย่งการควบคุมเครื่องบินจนเครื่องบินชนพื้นดิน ผลคนตายกว่า 3,000 คน เป็นโศกนาฏกรรมที่โลกไม่เคยลืม แต่ทุกครั้งที่อุซามะห์ บิน ลาดิน ออกเทปวิดีทัศน์แล้วแพร่ภาพผ่านสถานีโทรทัศน์อัลจาซีรา และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็จะมีการปฏิบัติการของสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่งในโลกโดยเฉพาะซีกตะวันตก แต่ที่แน่ๆ ก็คือในอิรักหรืออัฟกานิสถาน
ปัจจุบันไม่มีใครทราบชะตากรรมของอุซามะห์ บิน ลาดิน อดีตมหาเศรษฐีชาวซาอุดีอาระเบีย อดีตวีรบุรุษสงครามรัสเซีย-อัฟกานิสถาน และเป็นผู้ส่งเสริมหลักการตอลิบัน (Taliban) และมีความเชื่อใน ลัทธิกุทบิทซึม (Qutbism) ที่ก่อตั้งโดยเซยิด กุทบะ (Sayyid Qutb) อดีตครู กวีและนักคิดชาวอียิปต์ที่ศรัทธาสงครามศักดิ์สิทธิ์ มีความเชื่อว่า ความรุนแรงจะเอาชนะลัทธิยิวและความชั่วร้ายตะวันตกได้ โดยทั่วไปลัทธิกุทบิทซึมคือการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์แบบก้าวร้าว และรุนแรง เซยิด กุทบะ ถูกตัดสินประหารชีวิตในสมัยประธานาธิบดีนัสเซอร์ (Nasser) แห่งอียิปต์ ในปี 1966 ข้อหาก่อการร้ายวางแผนสังหารประธานาธิบดี
คำประกาศของอุซามะห์ บิน ลาดิน ที่สำคัญได้แก่การประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาในเดือนสิงหาคม ปี 1996 โดยเรียกร้องให้มีการโจมตีเป้าหมายที่เป็นของกลุ่มชาวตะวันตกในซาอุดีอาระเบีย และตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2001 จนถึง 2009 อุซามะห์ บิน ลาดิน ได้ออกคำประกาศเป็นเทปวิดีทัศน์จำนวนประมาณ 21 ฉบับที่แพร่ออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์อัลจาซีรา และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นภาษาอาหรับ แต่ก็มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน
ถ้าเราจะพิจารณาเนื้อหาสำนวนคำประกาศของอุซามะห์ บิน ลาดิน กับคำกล่าวในโฟนอินของทักษิณแล้ว ก็มีลักษณะคล้ายกันคือปลุกระดมให้มีความเกลียดชังบุคคล เชื้อชาติหรือความเชื่อ เช่น พยายามเชื่อมโยงว่า การรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นั้น มีองคมนตรีอย่างน้อย 2 คน คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กับพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ร่วมวางแผนและรับรู้ด้วยแผนการรัฐประหารนี้ อันมีความหมายพาดพิงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับรู้ด้วย ซึ่งอยู่ในเนื้อหาโฟนอินก่อนเกิดเหตุการณ์กลุ่มเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง
ดังนั้น การที่ทักษิณเรียกร้องให้สังคมโลกผ่านสื่อต่างประเทศ โดยเฉพาะ CNN และ BBC เชื่อว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงขั้นจลาจลทำลายเมืองเลียนแบบการปฏิวัติประชาชนในรัสเซีย ค.ศ. 1905 และ 1917 นั้น หากปัญญาชนสากลพิจารณาดีๆ แล้ว โครงสร้างการกระทำ การเลียนแบบ และสำนวนการปลุกระดมไม่ต่างกันเท่าใดนักกับอุซามะห์ บิน ลาดิน
แต่อุดมการณ์แตกต่างกัน แรงกระตุ้นแตกต่างกัน และระดับความคิดแตกต่างกัน ทักษิณต้องการอำนาจการเมือง และเงินคืนเพื่อการดำรงรักษากิเลสของตัวเองเท่านั้น ความเห็นแก่ตัวแบบไร้อุดมการณ์ของทักษิณ น่าจะเป็นอันตรายต่อสังคมโลกไม่ยิ่งหย่อนกว่ากลุ่มก่อการร้ายที่มีอุดมการณ์เฉพาะ แต่ความโลภของทักษิณนั้น ทำลายสังคมโลกระยะยาวและที่แน่ๆ ทำลายโอกาสการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของอาเซียนเลยทีเดียว การกระทำครั้งนั้นถือว่าเป็นการก่อการร้ายหรือไม่ เราควรสอบถามผู้นำประเทศอาเซียน และกลุ่ม+3 และ +6 ครับ จึงจะรู้ว่าการชุมนุมประท้วงโดยสันติของสาวกทักษิณดังที่เห็นอยู่ในสารบบวิธีการประชาธิปไตยหรือไม่ หรืออยู่ในสารบบการก่อการร้าย
และอะไรเป็นตัวผลักดันให้สาวกทักษิณยกกันมาทั้งหมู่บ้าน ก็โครงการกองทุนหมู่บ้านละล้านบาท ยังไงครับ เพราะทุกคนเป็นหนี้กองทุนหมู่บ้าน
ธีมงานของอาจารย์วิชัย ตุรงคพันธ์ แห่งนิด้า กล่าวว่า “ชาวบ้านยังขาดความเข้าใจในเรื่องกองทุนหมู่บ้านอย่างแท้จริง เมื่อทีมงานลงพื้นที่สอบถามชาวบ้านพบว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่เข้าใจว่าเงิน 1 ล้านบาท เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากทำให้เชื่อเช่นนั้น”
เราคงจะต้องศึกษาเรื่องกองทุนหมู่บ้านๆ ละ 1 ล้านบาทกันเสียที และต้องมีการปรับปรุงกันใหม่ แม้เป็นนิติบุคคลแล้วก็ตาม เพราะมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) สรุปว่า โครงการนี้มีปัญหา โดยเฉพาะในเรื่องวินัยการควบคุมเงิน และคนที่ได้รับประโยชน์ไม่ใช่คนจนจริง ทำให้การกระจายรายได้แย่ลง หรือมีการเหลื่อมล้ำมากขึ้น
ในที่นี้ก็คือ หัวคะแนนพรรคการเมืองของทักษิณเป็นกลุ่มผู้บริหารเงินมาตั้งแต่ต้น และหาประโยชน์จากการให้กู้นอกระบบอีกด้วยทำให้คนจนเป็นทาสเงินกู้ที่รัฐบาลทักษิณเอาจากเงินภาษีของคนอย่างเราๆ ไปบำรุงหัวคะแนนท้องถิ่น ซึ่งมีฐานะดีในหมู่บ้านอยู่แล้ว แต่เอาเปรียบลูกบ้าน ลูกบ้านจึงเป็นหนี้ซ้ำซ้อน และเกือบทุกคนต้องตกอยู่ในอาณัติของกลุ่มหัวคะแนนจึงถูกปลุกระดมได้ง่ายไม่ต้องมีอุดมการณ์ใดๆ เลย
nidd.riddhagni@gmail.com
ทักษิณสิ้นอำนาจตามหลักการทางรัฐศาสตร์เรียกว่า De Facto Change หรือการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤตินัย เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงทักษิณเชิงนิตินัยกระทำได้ยาก มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่ในระบอบทักษิณมากจนไม่สามารถเอาชนะทางนิตินัยได้ และการฆ่าทักษิณก็ไม่ใช่ทางออกเพราะจะมีตัวตายตัวแทนระบอบทักษิณเกิดขึ้นทันที เช่น กรณีรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ การสังหารผู้นำก็เป็นการรัฐประหาร เช่น การสังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ เพราะหลังจากประธานาธิบดีเคนเนดี้ตาย นโยบายสำคัญๆ ที่ฝ่ายตรงข้ามต่อต้านก็ตายตามไปด้วย เช่น การญาติดีกับโซเวียตและนโยบายลดความเข้มข้นสงครามในเวียดนาม
เมื่อทักษิณสิ้นอำนาจลง ความชั่ว “คดในข้อ งอในกระดูก” ของทักษิณและครอบครัวก็ปรากฏ ทั้งๆ ที่กลไกของรัฐเกือบทั้งหมดตกอยู่ในอุ้งมือของระบอบทักษิณ แต่ด้วยอำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดิน ทำให้กระบวนการยุติธรรมอันบริสุทธิ์สามารถพิสูจน์ว่า ทักษิณและครอบครัวกระทำความผิด แต่ขบวนการเหล่านี้ทักษิณประกาศต่อชาวโลกว่า “เขาไม่ได้รับความยุติธรรม” แล้วทักษิณยังโจมตีหลักตุลาการภิวัตน์ ซึ่งเป็นหลักยึดเหนี่ยวอย่างเดียวของคนไทยหลังจากที่ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ในช่วง พ.ศ. 2544-2549 ถูกระบอบทักษิณครอบงำชนิดโงหัวไม่ขึ้น
ตลอดระยะเวลา 3 ปีของการหมดอำนาจ ทักษิณได้ทำสงครามสารสนเทศ สงครามการเมือง และสงครามจิตวิทยามาตลอด ด้วยการทุ่มเงินเข้ามา จนในการโฟนอินครั้งหนึ่ง ทักษิณหลุดปากมาว่า “ไม่ต้องต่อคิวรับเงิน 500 บาท” ในเนื้อหาจริงๆ ที่ทักษิณต้องการสื่อก็คือ หากเขาเป็นผู้นำแล้ว ทุกคนจะมีเงินใช้ไม่ต้องมาคอยรับเงินค่าจ้างเป็นม็อบครั้งละ 500 บาท สาธารณชนชาวไทยเห็นกันจะจะในอินเทอร์เน็ตที่แพร่คลิปนี้อย่างเปิดเผย
ทักษิณแก้ตัวกับชาวโลกว่า “ไม่ได้มีส่วนในการปลุกระดมกลุ่มเสื้อแดงให้ออกมาเผาบ้านเผาเมือง ยิงคนตาย และทำลายทรัพย์สินของสาธารณชน โดยเฉพาะการทำลายมัสยิดของคนไทยนับถือมุสลิมที่เพชรบุรีซอย 7 ซึ่งมีพยานหลักฐานเห็นกันชัดเจนไม่มีการตัดต่อ และชุมชนนี้ได้ร้องเรียนต่อรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปแล้ว
ทักษิณใช้ระบบโฟนอินสื่อสารกับกลุ่มชนเสื้อแดงตามวาระต่างๆ ที่มีการชุมนุมกัน ทั้งในต่างจังหวัด และที่กรุงเทพฯ หลายสิบครั้ง แต่ในห้วงวันที่ 6-13 เมษายน 2552 ซึ่งทักษิณวาดภาพให้เป็นห้วงสงครามปฏิวัติประชาชน ทักษิณทำการโฟนอินพูดคุยกับสาวกแกนนำเสื้อแดง และกลุ่มชนเสื้อแดงกว่า 10 ครั้ง และทุกครั้งในห้วงนี้มิใช่การอ้อนธรรมดา แต่เป็นการส่งสัญญาณให้กำลังใจและกำลังกายเพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาลให้ได้
หรืออีกนัยหนึ่งคือให้ประชาชนเสื้อแดงทำการปฏิวัติ ในแต่ละครั้งเนื้อหาของสัญญาณคำพูดจะมีวลียุยง เช่น “ผมแพ้ไม่ได้ เพราะผมแพ้ ประชาชนแพ้ ประเทศไทยแพ้ พี่น้องต้องอย่ายอมแพ้ ต้องอย่าให้ผมแพ้” หรือ “ต้องเปลี่ยนแปลงการเมืองให้ได้ และหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ผมจะกลับมาเมืองไทยทันที และต้องต่อต้านระบบอำมาตยาธิปไตยที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง” หรือ “เราจะต้องทำสงครามปฏิวัติประชาชน ถ้าพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ลาออก” หรือ “ผมขอขอบคุณผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงที่ช่วยขัดขวางการประชุมอาเซียน”
ข้อความเหล่านี้ ก็ไม่ต่างกับข้อความที่อุซามะห์ บิน ลาดิน ได้สื่อสารกับสมาชิกอัลกออิดะห์ที่เป็น “คนนอน” (Sleeper) อยู่ทั่วโลกให้ต่อต้านคนอเมริกัน และรัฐบาลอเมริกัน หรือคนตะวันตก มีหลายครั้งที่อุซามะห์ บิน ลาดิน พูดถึงสงครามครูเสด รวมทั้งการประกาศสงครามก่อการร้ายกับสหรัฐอเมริกา จนเกิดกรณี 9/11
เมื่อ “คนนอน” สมาชิกอัลกออิดะห์ 4 ชุดปฏิบัติการยึดเครื่องบินโดยสาร 4 ลำ บินชนตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ 2 ตึก ชนตึกเพนตากอนที่ตั้งกระทรวงกลาโหม สหรัฐฯ และอีกหนึ่งลำเกิดกลุ่มวีรชนแย่งการควบคุมเครื่องบินจนเครื่องบินชนพื้นดิน ผลคนตายกว่า 3,000 คน เป็นโศกนาฏกรรมที่โลกไม่เคยลืม แต่ทุกครั้งที่อุซามะห์ บิน ลาดิน ออกเทปวิดีทัศน์แล้วแพร่ภาพผ่านสถานีโทรทัศน์อัลจาซีรา และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็จะมีการปฏิบัติการของสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่งในโลกโดยเฉพาะซีกตะวันตก แต่ที่แน่ๆ ก็คือในอิรักหรืออัฟกานิสถาน
ปัจจุบันไม่มีใครทราบชะตากรรมของอุซามะห์ บิน ลาดิน อดีตมหาเศรษฐีชาวซาอุดีอาระเบีย อดีตวีรบุรุษสงครามรัสเซีย-อัฟกานิสถาน และเป็นผู้ส่งเสริมหลักการตอลิบัน (Taliban) และมีความเชื่อใน ลัทธิกุทบิทซึม (Qutbism) ที่ก่อตั้งโดยเซยิด กุทบะ (Sayyid Qutb) อดีตครู กวีและนักคิดชาวอียิปต์ที่ศรัทธาสงครามศักดิ์สิทธิ์ มีความเชื่อว่า ความรุนแรงจะเอาชนะลัทธิยิวและความชั่วร้ายตะวันตกได้ โดยทั่วไปลัทธิกุทบิทซึมคือการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์แบบก้าวร้าว และรุนแรง เซยิด กุทบะ ถูกตัดสินประหารชีวิตในสมัยประธานาธิบดีนัสเซอร์ (Nasser) แห่งอียิปต์ ในปี 1966 ข้อหาก่อการร้ายวางแผนสังหารประธานาธิบดี
คำประกาศของอุซามะห์ บิน ลาดิน ที่สำคัญได้แก่การประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาในเดือนสิงหาคม ปี 1996 โดยเรียกร้องให้มีการโจมตีเป้าหมายที่เป็นของกลุ่มชาวตะวันตกในซาอุดีอาระเบีย และตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2001 จนถึง 2009 อุซามะห์ บิน ลาดิน ได้ออกคำประกาศเป็นเทปวิดีทัศน์จำนวนประมาณ 21 ฉบับที่แพร่ออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์อัลจาซีรา และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นภาษาอาหรับ แต่ก็มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน
ถ้าเราจะพิจารณาเนื้อหาสำนวนคำประกาศของอุซามะห์ บิน ลาดิน กับคำกล่าวในโฟนอินของทักษิณแล้ว ก็มีลักษณะคล้ายกันคือปลุกระดมให้มีความเกลียดชังบุคคล เชื้อชาติหรือความเชื่อ เช่น พยายามเชื่อมโยงว่า การรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นั้น มีองคมนตรีอย่างน้อย 2 คน คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กับพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ร่วมวางแผนและรับรู้ด้วยแผนการรัฐประหารนี้ อันมีความหมายพาดพิงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับรู้ด้วย ซึ่งอยู่ในเนื้อหาโฟนอินก่อนเกิดเหตุการณ์กลุ่มเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง
ดังนั้น การที่ทักษิณเรียกร้องให้สังคมโลกผ่านสื่อต่างประเทศ โดยเฉพาะ CNN และ BBC เชื่อว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงขั้นจลาจลทำลายเมืองเลียนแบบการปฏิวัติประชาชนในรัสเซีย ค.ศ. 1905 และ 1917 นั้น หากปัญญาชนสากลพิจารณาดีๆ แล้ว โครงสร้างการกระทำ การเลียนแบบ และสำนวนการปลุกระดมไม่ต่างกันเท่าใดนักกับอุซามะห์ บิน ลาดิน
แต่อุดมการณ์แตกต่างกัน แรงกระตุ้นแตกต่างกัน และระดับความคิดแตกต่างกัน ทักษิณต้องการอำนาจการเมือง และเงินคืนเพื่อการดำรงรักษากิเลสของตัวเองเท่านั้น ความเห็นแก่ตัวแบบไร้อุดมการณ์ของทักษิณ น่าจะเป็นอันตรายต่อสังคมโลกไม่ยิ่งหย่อนกว่ากลุ่มก่อการร้ายที่มีอุดมการณ์เฉพาะ แต่ความโลภของทักษิณนั้น ทำลายสังคมโลกระยะยาวและที่แน่ๆ ทำลายโอกาสการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของอาเซียนเลยทีเดียว การกระทำครั้งนั้นถือว่าเป็นการก่อการร้ายหรือไม่ เราควรสอบถามผู้นำประเทศอาเซียน และกลุ่ม+3 และ +6 ครับ จึงจะรู้ว่าการชุมนุมประท้วงโดยสันติของสาวกทักษิณดังที่เห็นอยู่ในสารบบวิธีการประชาธิปไตยหรือไม่ หรืออยู่ในสารบบการก่อการร้าย
และอะไรเป็นตัวผลักดันให้สาวกทักษิณยกกันมาทั้งหมู่บ้าน ก็โครงการกองทุนหมู่บ้านละล้านบาท ยังไงครับ เพราะทุกคนเป็นหนี้กองทุนหมู่บ้าน
ธีมงานของอาจารย์วิชัย ตุรงคพันธ์ แห่งนิด้า กล่าวว่า “ชาวบ้านยังขาดความเข้าใจในเรื่องกองทุนหมู่บ้านอย่างแท้จริง เมื่อทีมงานลงพื้นที่สอบถามชาวบ้านพบว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่เข้าใจว่าเงิน 1 ล้านบาท เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากทำให้เชื่อเช่นนั้น”
เราคงจะต้องศึกษาเรื่องกองทุนหมู่บ้านๆ ละ 1 ล้านบาทกันเสียที และต้องมีการปรับปรุงกันใหม่ แม้เป็นนิติบุคคลแล้วก็ตาม เพราะมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) สรุปว่า โครงการนี้มีปัญหา โดยเฉพาะในเรื่องวินัยการควบคุมเงิน และคนที่ได้รับประโยชน์ไม่ใช่คนจนจริง ทำให้การกระจายรายได้แย่ลง หรือมีการเหลื่อมล้ำมากขึ้น
ในที่นี้ก็คือ หัวคะแนนพรรคการเมืองของทักษิณเป็นกลุ่มผู้บริหารเงินมาตั้งแต่ต้น และหาประโยชน์จากการให้กู้นอกระบบอีกด้วยทำให้คนจนเป็นทาสเงินกู้ที่รัฐบาลทักษิณเอาจากเงินภาษีของคนอย่างเราๆ ไปบำรุงหัวคะแนนท้องถิ่น ซึ่งมีฐานะดีในหมู่บ้านอยู่แล้ว แต่เอาเปรียบลูกบ้าน ลูกบ้านจึงเป็นหนี้ซ้ำซ้อน และเกือบทุกคนต้องตกอยู่ในอาณัติของกลุ่มหัวคะแนนจึงถูกปลุกระดมได้ง่ายไม่ต้องมีอุดมการณ์ใดๆ เลย
nidd.riddhagni@gmail.com