รมช.คลัง เรียกผู้บริหารธอส. ชี้แจงกรณีพนักงานโกงเงินธนาคาร 400 ล้าน สร้างความเสียหายต่อรัฐบาล และอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นสถาบันการเงินรัฐแห่งอื่น บี้ภายใน 15 วันต้องรายงานผล พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบ เพราะอาจไม่ได้ทำเพียงคนเดียว ด้าน”ขรรค์ ประจวบเหมาะ” สั่งเพิ่มมาตรการเข้มให้พนักงานระดับ 11 ผู้จัดการสาขาเข้าสู่ระบบบัญชีดอกเบี้ยจ่ายได้เท่านั้น จากเดิมให้ตั้งแต่ระดับ 7
รายงานข่าวแจ้งว่า นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เรียกนายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เข้าหารือ หลังจากธนาคารเกิดความเสียหายกรณี การทุจริตภายใน และมีการจับกุมพนักงานยักยอกทรัพย์มูลค่า 400 ล้านบาท
สำหรับสาเหตุการเรียกผู้บริหารธอส.เข้ามาชี้แจง เพราะเป็นธนาคารของรัฐ ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ด้วย 100 เปอร์เซ็นต์ และการที่พนักงานฉ้อโกงเงิน ทำให้รัฐเกิดความเสียหาย และความเชื่อมั่นต่อระบบสถาบันการเงิน จึงขอให้ธอส.ชี้แจงว่า การดำเนินการหรือแก้ไขปัญหาจะทำอย่างไรต่อไป
นอกจากนี้ นายประดิษฐ์ ได้สั่งให้ธนาคารชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้งภายใน 15 วัน เพราะเห็นว่าเป็นปัญหาที่มีความเสียหายมาก และไม่รู้ว่ามีผู้เกี่ยวข้องมากกว่า 1 คนหรือไม่ จึงได้เตรียมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ดึงบุคคลจากส่วนต่างๆ เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ เพื่อหาแนวทางป้องกัน และจะประสานไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ช่วยตรวจสอบธนาคารของรัฐ เพื่อดูแลระบบข้อบกพร่อง รวมถึงธนาคารรัฐรายอื่นๆ ก็ควรต้องตรวจสอบระบบของตัวเอง เพื่อป้องกันปัญหาลักษณะเดียวกัน
ผจก.สาขาเท่านั้นเข้าระบบบัญชีได้
ด้านนายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวว่า ธนาคารได้ตั้งคณะกรรมตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และทำรายงานสรุปภายใน 15 วันนั้น ขณะนี้ได้ให้คณะกรรมการธนาคารทั้งหมด ยกเว้นประธานคณะกรรมการ(บอร์ด) เป็นคณะกรรมการตรวจสอบและแก้ปัญหา ซึ่งตนได้เตรียมข้อมูลชี้แจงไว้หมดแล้วรอเพียงหนังสือจากกระทรวงการคลังเท่านั้น
ทั้งนี้ ภายหลังจากได้ประชุมหารือได้ข้อสรุปว่า ธนาคารจะเพิ่มความเข้มงวดสำหรับพนักงานที่จะสามารถเข้าสู่ระบบบัญชีดอกเบี้ยจ่ายของธนาคาร จากเดิมพนักงานระดับ 7 หรือตั้งแต่สมุห์บัญชีสามารถเข้าสู่ระบบดังกล่าวได้ เปลี่ยนเป็นระดับ 11 ขึ้นไปหรือตั้งแต่ผู้จัดการสาขา โดยจะให้สาขาละ 2 คนเพื่อตรวจสอบซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ ยังพบข้อบกพร่องของการตรวจสอบบัญชี ซึ่งที่ผ่านมาพนักงานตรวจสอบไม่ได้ทำการตรวจสอบ โดยกำหนดให้ตรวจสอบบัญชีธนาคารหลังปิดทำการสาขาในทุกวัน
ส่วนบรรยากาศที่ธอส.วานนี้(4 พ.ค.) ยังคงมีลูกค้าเข้ามาทำธุรกรรมทางการเงินตามปกติ ส่วนใหญ่ยังคงมั่นใจว่า ธนาคารจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เพราะกรณีที่เกิดขึ้นเป็นการยักยอกเงินดอกเบี้ยจากบัญชีธนาคาร ไม่ใช่จากบัญชีเงินฝากของลูกค้า โดยมีเพียงลูกค้าส่วนน้อยเท่านั้นที่เกรงว่า ดอกเบี้ยเงินฝากของตนเองจะหายไป และบางคนยังเข้าใจว่า เงินที่ถูกยักยอกไปนั้นเป็นดอกเบี้ยที่ลูกค้านำส่งแก่ธนาคารทุกเดือน ซึ่งพนักงานต้องช่วยกันอธิบายให้ลูกค้าได้เข้าใจว่า เป็นเงินของธนาคารไม่เกี่ยวกับลูกค้า
ทั้งนี้ ภายหลังจากจับกุมนายสมเกียรติ ปัญญาวรคุณเดช ในข้อหายักยอกเงินมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 52 และในวันที่ 2 พฤษภาคม ผู้บริหารธอส.ได้เรียกประชุมผู้จัดการสาขาทั่วประเทศเป็นการด่วน เพื่อหาทางป้องกัน และให้พนักงานสาขาทั่วประเทศชี้แจงให้ลูกค้าเข้าใจ
นอกจากนี้ ยังได้ให้ผู้จัดการสาขา มั่นไปดูความผิดปกติในการทำงานในสาขาของตนเองอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นมาอีก โดยเฉพาะควรตรวจสอบความผิดปกติในระดับต่างๆ และให้ตรวจตราไปถึงพฤติกรรมพนักงานของแต่ละคน เช่น มีลักษณะติดหนี้พนันฟุตบอล หรือมีการใช้จ่ายเกินรายได้หรือไม่ หากพบข้อสงสัยก็ให้มีการโยกย้าย ไม่ให้มีการทำงานเกี่ยวข้องกับบัญชีต่างๆ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม คดีที่เกิดขึ้นส่งผลต่อภาพลักษณ์ของธนาคารอย่างมาก และไม่ต้องป้อนกันให้เกิดขึ้นอีก ซึ่งที่ผ่านมา มีการตรวจสอบการดำเนินการบัญชีรายจ่ายดอกเบี้ยและส่วนต่างๆ ปีละ 1 ครั้ง โดยได้มีการตรวจสอบไปแล้วเมื่อกลางปี 2551 แต่ไม่พบความผิดปกติ
รายงานข่าวแจ้งว่า นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เรียกนายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เข้าหารือ หลังจากธนาคารเกิดความเสียหายกรณี การทุจริตภายใน และมีการจับกุมพนักงานยักยอกทรัพย์มูลค่า 400 ล้านบาท
สำหรับสาเหตุการเรียกผู้บริหารธอส.เข้ามาชี้แจง เพราะเป็นธนาคารของรัฐ ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ด้วย 100 เปอร์เซ็นต์ และการที่พนักงานฉ้อโกงเงิน ทำให้รัฐเกิดความเสียหาย และความเชื่อมั่นต่อระบบสถาบันการเงิน จึงขอให้ธอส.ชี้แจงว่า การดำเนินการหรือแก้ไขปัญหาจะทำอย่างไรต่อไป
นอกจากนี้ นายประดิษฐ์ ได้สั่งให้ธนาคารชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้งภายใน 15 วัน เพราะเห็นว่าเป็นปัญหาที่มีความเสียหายมาก และไม่รู้ว่ามีผู้เกี่ยวข้องมากกว่า 1 คนหรือไม่ จึงได้เตรียมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ดึงบุคคลจากส่วนต่างๆ เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ เพื่อหาแนวทางป้องกัน และจะประสานไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ช่วยตรวจสอบธนาคารของรัฐ เพื่อดูแลระบบข้อบกพร่อง รวมถึงธนาคารรัฐรายอื่นๆ ก็ควรต้องตรวจสอบระบบของตัวเอง เพื่อป้องกันปัญหาลักษณะเดียวกัน
ผจก.สาขาเท่านั้นเข้าระบบบัญชีได้
ด้านนายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวว่า ธนาคารได้ตั้งคณะกรรมตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และทำรายงานสรุปภายใน 15 วันนั้น ขณะนี้ได้ให้คณะกรรมการธนาคารทั้งหมด ยกเว้นประธานคณะกรรมการ(บอร์ด) เป็นคณะกรรมการตรวจสอบและแก้ปัญหา ซึ่งตนได้เตรียมข้อมูลชี้แจงไว้หมดแล้วรอเพียงหนังสือจากกระทรวงการคลังเท่านั้น
ทั้งนี้ ภายหลังจากได้ประชุมหารือได้ข้อสรุปว่า ธนาคารจะเพิ่มความเข้มงวดสำหรับพนักงานที่จะสามารถเข้าสู่ระบบบัญชีดอกเบี้ยจ่ายของธนาคาร จากเดิมพนักงานระดับ 7 หรือตั้งแต่สมุห์บัญชีสามารถเข้าสู่ระบบดังกล่าวได้ เปลี่ยนเป็นระดับ 11 ขึ้นไปหรือตั้งแต่ผู้จัดการสาขา โดยจะให้สาขาละ 2 คนเพื่อตรวจสอบซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ ยังพบข้อบกพร่องของการตรวจสอบบัญชี ซึ่งที่ผ่านมาพนักงานตรวจสอบไม่ได้ทำการตรวจสอบ โดยกำหนดให้ตรวจสอบบัญชีธนาคารหลังปิดทำการสาขาในทุกวัน
ส่วนบรรยากาศที่ธอส.วานนี้(4 พ.ค.) ยังคงมีลูกค้าเข้ามาทำธุรกรรมทางการเงินตามปกติ ส่วนใหญ่ยังคงมั่นใจว่า ธนาคารจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เพราะกรณีที่เกิดขึ้นเป็นการยักยอกเงินดอกเบี้ยจากบัญชีธนาคาร ไม่ใช่จากบัญชีเงินฝากของลูกค้า โดยมีเพียงลูกค้าส่วนน้อยเท่านั้นที่เกรงว่า ดอกเบี้ยเงินฝากของตนเองจะหายไป และบางคนยังเข้าใจว่า เงินที่ถูกยักยอกไปนั้นเป็นดอกเบี้ยที่ลูกค้านำส่งแก่ธนาคารทุกเดือน ซึ่งพนักงานต้องช่วยกันอธิบายให้ลูกค้าได้เข้าใจว่า เป็นเงินของธนาคารไม่เกี่ยวกับลูกค้า
ทั้งนี้ ภายหลังจากจับกุมนายสมเกียรติ ปัญญาวรคุณเดช ในข้อหายักยอกเงินมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 52 และในวันที่ 2 พฤษภาคม ผู้บริหารธอส.ได้เรียกประชุมผู้จัดการสาขาทั่วประเทศเป็นการด่วน เพื่อหาทางป้องกัน และให้พนักงานสาขาทั่วประเทศชี้แจงให้ลูกค้าเข้าใจ
นอกจากนี้ ยังได้ให้ผู้จัดการสาขา มั่นไปดูความผิดปกติในการทำงานในสาขาของตนเองอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นมาอีก โดยเฉพาะควรตรวจสอบความผิดปกติในระดับต่างๆ และให้ตรวจตราไปถึงพฤติกรรมพนักงานของแต่ละคน เช่น มีลักษณะติดหนี้พนันฟุตบอล หรือมีการใช้จ่ายเกินรายได้หรือไม่ หากพบข้อสงสัยก็ให้มีการโยกย้าย ไม่ให้มีการทำงานเกี่ยวข้องกับบัญชีต่างๆ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม คดีที่เกิดขึ้นส่งผลต่อภาพลักษณ์ของธนาคารอย่างมาก และไม่ต้องป้อนกันให้เกิดขึ้นอีก ซึ่งที่ผ่านมา มีการตรวจสอบการดำเนินการบัญชีรายจ่ายดอกเบี้ยและส่วนต่างๆ ปีละ 1 ครั้ง โดยได้มีการตรวจสอบไปแล้วเมื่อกลางปี 2551 แต่ไม่พบความผิดปกติ