xs
xsm
sm
md
lg

เพราะยังเป็น 2 มาตรฐาน เสื้อแดงจึงยังต้องรับใช้ “ทักษิณ” ?!?!

เผยแพร่:   โดย: ไทยทน

จากการติดตามทักษิณมาหลายปี สิ่งที่เชื่อได้คือ จะต้องมีการโกหก หรือปกปิด อยู่เสมอ ขณะนี้เริ่มมีกระแสใหม่คือ การโวยวายเรื่อง “2 มาตรฐาน” ซึ่งแม้เรื่อง 2 มาตรฐานนี้เอง สำหรับทักษิณ ก็ยังมี 2 มาตรฐาน คือ แบบที่ทักษิณรับได้ และแบบที่ทักษิณรับไม่ได้ ดังนี้

1. มาตรฐานของวิธีการต่อสู้เพื่อประชาชนและประชาธิปไตย : มาตรฐานที่ 1 สำหรับประชาชนรากหญ้า ชาวมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ในกรุงเทพฯ ทุกคนต่อสู้แบบเดินเท้า คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าไปถึงพัทยานั้น ตั้งใจไปล้มการประชุมระดับนานาชาติ หลายคนไม่รู้ว่า การเข้าใกล้ผู้นำระดับโลกเช่น จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฯลฯ ผู้อารักขาย่อมมีสิทธิป้องกันตัวด้วยอาวุธ หลายคนอาจไม่รู้ว่า ประเทศไทยในฐานะผู้นำอาเซียน มีหน้าที่สำคัญยิ่งยวดที่จะต้องอารักขาผู้นำนานาชาติเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีประเทศ แม้อาจต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดรุนแรง

การที่ผู้นำม็อบอย่าง นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง กลับมาโอ้อวดบนเวทีที่กรุงเทพฯ ว่า “เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของคนเสื้อแดง” และถือเป็นความภูมิใจที่ได้อาสา เมื่อนายจักรภพต้องการผู้กล้าหาญไปทำงานชิ้นนี้ ก็เป็นความชอบธรรมที่ภาครัฐจะสลายการชุมนุมเพื่อยุติการก่อความไม่สงบ และการทำร้ายประเทศชาติ

การนำม็อบสร้างความโกลาหลอีกมากมาย ด้วยการก่อกวนที่ชุมชนนางเลิ้ง จนประชาชนถูกยิงตายจากผู้ชุมนุมเสื้อแดง 2 ศพ ก่อกวนบริเวณมัสยิดที่เพชรบุรี ซอย 5 และ ซอย 7 การใช้รถแก๊สบริเวณดินแดง จนประชาชนเดือดร้อนว่า เอาพวกเขาเป็นตัวประกัน การปิดการจราจรบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สร้างปัญหาให้ผู้ป่วยหลายโรงพยาบาล ฯลฯ การเผายางรถยนต์ การเผารถเมล์ เป็นการก่อการจลาจล ที่หาเหตุผลยาก และกระแสสังคมต้องการกดดันให้รัฐบาลใช้ความรุนแรงมากขึ้น เพื่อปราบปรามให้ยุติปัญหาของชาวบ้านเสียที

และหากนึกถึงมาตรฐานของรัฐบาลนอมินีทักษิณ เช่น รัฐบาลสมชาย แม้กระทั่งการเดินขบวนโดยที่ยังมิได้มีการเผาใดๆ โดยกลุ่มคนเสื้อเหลือง ก็ถูกยิงด้วยแก๊สน้ำตาขาขาด และบางคนก็ถูกระเบิดเสียชีวิต รัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ใช้มาตรฐานเดียวกับรัฐบาลนอมินีทักษิณ ก็คงมีการปราบปรามด้วยความรุนแรง อาจมีการใช้อาวุธจริงจนผู้คนเสียชีวิต และนำไปสู่ความแตกแยกปั่นป่วนในบ้านเมืองเป็นสงครามกลางเมืองได้ และคนที่มีความเสี่ยงมากที่สุด คือ พี่น้องชาวเสื้อแดงผู้ที่อยู่ในสถานการณ์จลาจลมือเปล่า

แต่มาตรฐานที่ 2 คือ ในเวลาที่วุ่นวายที่สุด ผู้นำม็อบกลับไม่อยู่ในที่ชุมนุม จตุพรไปไหน จักรภพไปไหน ปล่อยให้ประชาชนเสื้อแดงที่มาด้วยหัวใจใสๆ เผชิญสถานการณ์ที่น่าใช้ความรุนแรงยุติจลาจล และกำลังทหารตำรวจและทหารกำลังต้องใช้อำนาจรัฐที่จริงจัง

ยิ่งดูมาตรฐานผู้นำความคิดของม็อบ คืออดีตนายกฯ ทักษิณ เจ้านายเหนือของผู้นำม็อบทุกคน ซึ่งล้วนแต่เป็นพวกในพรรค ทรท. พปช. และ พท. ของท่าน ท่านปลอดจากภัยใดๆ ด้วยการโฟนลิงก์เข้ามาจากต่างประเทศอย่างดุเดือด ท่าทีที่ถ่ายทอดผ่านทีวีช่องต่างๆ เห็นชัดถึงการกระตุ้นอารมณ์โกรธ ยั่วยุให้ใช้ความรุนแรง เช่น “มากันเยอะๆ” “เราจะได้ชัยชนะแน่นอน” “เราจะไม่กลับไปมือเปล่า” “ถ้าเมื่อไรเสียงปืนแตก ทหารยิงประชาชน ผมจะเข้าไปเจอกับพี่น้องที่กรุงเทพฯ ทันที” (ก่อนเสื้อแดงไปถล่มงานประชุมอาเซียนไม่นาน) แต่ก่อนความปั่นป่วน ครอบครัวก็ได้บินออกไปต่างประเทศกันเสียก่อนแล้ว !?!? จนบัดนี้เสียงปืนแตกหลายครั้ง แต่ท่านอยู่ไหน?

และหากวิเคราะห์การเตรียมฉากต่อๆ มา คือ “ความกระหายศพ” เพื่อจะใช้สร้างความปั่นป่วน ยุยงให้แตกแยกเพิ่มเติม ถึงกับเอาศพใครก็ตาม มาสวมกรณีว่าถูกทหารทำร้าย แต่ก็ดีที่หลักฐานชัดเจนว่าเป็นความเท็จ ซึ่งหากมองลึกไปถึงจิตใจ ก็จะอ่านเกมออกว่า สิ่งที่เป็นขั้นต่อไป ก็คือคาดว่า จะมีการใช้กำลังรุนแรง จะมีการปราบปรามจนพี่น้องเสื้อแดงเสียชีวิต (มาตรฐานเดียวกับรัฐบาลนอมินี “สมชาย” ใช้ปราบปรามกลุ่มเสื้อเหลือง) ซึ่งเห็นแล้วหดหู่ใจว่า ทำไมจึงได้โหดร้ายเลือดเย็นกันเช่นนี้ หลอกให้คนที่รักตัว ออกมาช่วยปกป้องตัว แต่จัดฉาก สร้างสถานการณ์เตรียมให้เกิดการปราบปรามกันรุนแรง แล้วคนเสื้อแดงยังจะยอมให้หลอกใช้กันต่อไปอีกหรือ ?

2. มาตรฐานของการต่อต้านเผด็จการ : ทักษิณกล่าวอ้างอุดมการณ์รักประชาธิปไตยอย่างเข้มข้นว่า “อย่าบอกใครว่าเราเป็นประชาธิปไตยและเรามาจากการเลือกตั้ง อันนี้เป็นความจริงครึ่งเดียว เพราะไม่ได้บอกว่ามีงูเห่า เอาทหารไปข่มขู่เขามา”

แต่เวลาที่บ้านเมืองต้องต่อต้านเผด็จการรัฐบาลทหารแท้ๆ เช่น ช่วงตุลาคม 2516 หรือ 2519 ไม่เคยมีชื่อทักษิณปรากฏในการต่อสู้อำนาจรัฐเผด็จการ ที่แข็งแกร่ง

สมัย รสช. ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งประชาชนต่อต้าน กลับปรากฏทักษิณไปพบทำความใกล้ชิด เพื่อปรับปรุงผลประโยชน์จากสัมปทานมือถือ และเพื่อขอสัมปทานดาวเทียม

เมื่อทักษิณเผชิญปัญหาจะถูกสภาซักฟอก กรณีขายหุ้นกิจการผูกขาดด้านสื่อสารและดาวเทียมให้เทมาเส็ก และเรื่องการซุกซ่อนสมบัติรอฟอกเงินผ่านกองทุนวินมาร์ค ทักษิณก็ไปหารือกับ พลเอกสุจินดา คราประยูร อดีตเผด็จการซึ่งอาศัยรัฐประหารเข้ายึดอำนาจรัฐที่ประชาชนต่อต้านอย่างกว้างขวาง และใช้วิธีเดียวกันคือ ยุบสภา หนีการอภิปราย

แต่เมื่อรัฐบาลขิงแก่เข้ามา โดยไม่ได้หวังผลประโยชน์ส่วนตัว อยู่ในตำแหน่งเพียงปีเดียวก็เตรียมจัดให้กลับมาเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยต่อไป บริหารงานอย่างเศรษฐกิจพอเพียงจนไทยไม่ติดกับดักวิกฤตการเงินโลกในครั้งนี้ และก็หมดอำนาจไปแล้ว ทักษิณกลับนำขบวนลูกน้องเก่าในพรรค ทรท. พปช. หรือ พท. เพื่อนำประชาชนให้ต่อต้านเผด็จการอย่างน่าขำกลิ้ง เพราะเขาก็ลงจากอำนาจไปแล้ว

อ้างว่าเข้ามากลั่นแกล้ง แต่ไม่เคยสามารถโต้แย้งหลักฐานที่เขาหาได้ เช่น 1 วันก่อนโอนหุ้นชินฯ ให้ลูก ทำไมลูกต้องทำหนังสือสัญญาใช้เงิน 4.5 พันล้านบาทให้แม่ด้วย หนี้อะไรหรือ? ด้วยมันเป็นหลักฐานของการ “ซุกหุ้น” ซึ่งผิดรัฐธรรมนูญที่ห้ามรัฐมนตรีมีหุ้น โดยเฉพาะกิจการสัมปทานผูกขาด ซึ่งเป็นช่องทางให้มีความขัดกันทางผลประโยชน์ และทำให้ภาครัฐเสียเปรียบ ซึ่งก็เกิดขึ้นแล้ว เช่น การลดส่วนแบ่งรายได้ภาครัฐของมือถือระบบพรีเพด การให้ ทศท. รับภาระภาษีสรรพสามิตแทนเอกชน ฯลฯ ทำให้รัฐเสียประโยชน์นับแสนล้านบาท

เมื่อฟังทักษิณว่า “ตนได้กลับบ้านหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เรื่องสำคัญคือพี่น้องได้ประชาธิปไตยเต็มใบ” จึงน่าใคร่ครวญว่าจริงแค่ไหน? รัฐบาลก็มาตามรัฐธรรมนูญ ส.ส. ก็เลือกนายกฯ ตามสิทธิและอำนาจที่มีตามกฎหมาย เลือกสมัครก็แล้ว เลือกสมชายก็แล้ว เลือกอภิสิทธิ์ก็ด้วยรัฐธรรมนูญเดียวกัน (แม้รัฐธรรมนูญปี 40 ส่วนนี้ก็เหมือนกัน) ทำไมจังหวะในการต่อสู้จึงไม่สอดคล้องกับประเด็นต่อต้านอำนาจเผด็จการทหาร หรืออำมาตย์ แต่สอดคล้องกับการที่ท่านกำลังต้องจำนนกับหลักฐานแห่งคดีต่างๆ มากกว่า คนเสื้อแดงไม่น้อยมีหัวใจบริสุทธิ์เพื่อชาติ จะถูกหลอกให้รับใช้ปกปิดบิดเบือนคดีต่อไปอีกหรือ ?

3. มาตรฐานของการต่อสู้เพื่อประโยชน์ประเทศชาติ : ทักษิณมีมาตรฐานหนึ่งในการพูด โดยกล่าวหลอกคนที่รักชาติและตั้งใจสู้เพื่อชาติว่า “พี่น้องก็ต้องอดทน สิ่งที่ทำวันนี้ถ้าสำเร็จมันเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งแผ่นดิน คนเสื้อสีใดๆ ก็ได้ประโยชน์” หลายคนที่มีหัวใจเพื่อชาติก็อาจเคลิ้มตามได้

แต่ทักษิณและพวกกลับใช้อีกมาตรฐานในการกระทำ โดยมีการจงใจล้มการประชุมนานาชาติด้วยกำลังรุนแรง มีการให้ลูกน้องเก่าในพรรค กระตุ้นให้เกิดความวุ่นวาย จนจราจรเป็นอัมพาตทั่วเมืองหลวง คนป่วยจะไปกลับจากโรงพยาบาลก็ไม่ได้ มีการเผารถหลายจุด มีการเผารถเมล์หน้าพระที่นั่งสร้างภาพสัญลักษณ์ที่น่ากลัวของประเทศ เป็นการจงใจทำลายความสุขคนไทยในเทศกาลสำคัญคือสงกรานต์ หากรักชาติจริง จะทำเช่นนั้นหรือ ?? ในสภาวะที่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังทรุดอย่างรุนแรง คนที่เคยเป็นถึงอดีตผู้นำชาติ อ้างว่ารักชาติ กลับนำไปสู่การทำร้ายเศรษฐกิจของประเทศ แล้วคนเสื้อแดงหลายคนที่สู้เพื่อชาติ ทั้งนักรบไซเบอร์ที่มีความรู้ความคิด และสื่อมวลชนผู้มีจิตสำนึกเพื่อชาติ ยังจะทนรับใช้ต่อไปหรือ?

ลูกน้องทักษิณทั้งหลาย ยังมีความพยายามยิ่งแบบ “กระหายหาศพ” เพื่อจุดประกาย “2 มาตรฐาน” และ “ความยุติธรรมไม่มี ความสามัคคีไม่ปรากฏ” ไทยทนเชื่อว่า สื่อมวลชนมีศักดิ์ศรี ไม่เคยยอมก้มหัวให้อำนาจทหารและอำนาจรัฐมาแต่ไหนแต่ไร หากมีการใช้ความรุนแรงจริง สื่อมวลชนไทยไม่ยอมหรอกครับ และคนเสื้อแดงก็มีกล้องมากมาย กลับไม่สามารถหาหลักฐานใดๆได้

และเมื่อสื่อเป็นกลาง และเห็นชัดกับตาว่า มิได้มีการใช้ความรุนแรงกับประชาชนจนทำให้ประชาชนต้องเสียชีวิตจากการปราบปราม ก็น่ารักษา “ศักดิ์ศรี” ที่จะระมัดระวังอย่างเป็นกระบอกเสียงให้คนพูดเท็จเรื่องคนตาย เช่น การทำบุญคนตายจากการสลายการชุมนุมต่อไป เพราะกำลังตกเป็นเครื่องมือถ่ายทอด “ความเท็จ” ที่อาจนำไปสู่การใช้สร้างความรุนแรงเพื่อทำร้ายประเทศชาติต่อไป แล้วสื่อฯจะยอมมีส่วนร่วมทำร้ายชาติด้วยทำไม?

... ชาวบ้านถูกรีดภาษี แต่ตัวเองหนีภาษี ภรรยาก็ซื้อขายหุ้นอำพรางเพื่อหนีภาษี นี่ก็ 2 มาตรฐาน

... ชาวบ้านทั่วไปถูกพิพากษา ก็สู้คดีในศาล ไม่ผิดก็ไม่ติดคุก ผิดก็ติดคุก แต่ทักษิณเมื่อถูกจับได้ว่าโกงชาติหนีคุกไปต่างประเทศ นี่จึงเป็นแบบ 2 มาตรฐาน

กฎหมายเดียวกัน คนทำถูกกับคนทำผิดจะตัดสินแบบเดียวกันได้อย่างไร?

การตัดสินถูกผิดแบบตรงไปตรงมา ไม่เรียกว่า “2 มาตรฐาน” หรอกครับ มันเป็น “มาตรฐานเดียว” แต่ “ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด” จึงเป็นความเป็นธรรมในบ้านเมืองต่างหากครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น