หลังเหตุการณ์ป่วนเมืองของคนเสื้อแดง ก่อนและช่วงหลังสงกรานต์ที่ผ่านมา เสียงเรียกหาความสมานฉันท์ก็ค่อยๆ กระหึ่มขึ้น โดยเนื้อหาสาระหรือวิธีที่จะก่อให้เกิดความสมานฉันท์นั้นพุ่งไปที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีการนิรโทษกรรมแก่นักการเมืองที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินลงโทษไม่ให้เกี่ยวข้องกับการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ทั้งชุดพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน
เป็นเสียงเรียกร้องและพยายามอย่างยิ่งของนักการเมืองที่เป็นบริษัทบริวารของทักษิณ ชินวัตร ในช่วงที่นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะประชาชนที่รักชาติ รักประชาธิปไตย โดยการนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขัดขวางเอาไว้อย่างแข็งขัน
จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะประหลาดเอามากๆ ที่มีการนำเรื่องนี้มาพูดกันอีก ทั้งที่ไม่ควรจะพูดถึงหรือควรที่จะทำความเข้าใจให้เป็นที่ยุติว่า เรื่องนี้จบไปแล้ว
ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีทางสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะพรรคประชาธิปัตย์เต็มไปด้วยนักการเมืองที่มีเขี้ยวเล็บ รู้เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงของนักการเมืองด้วยกันเป็นอย่างดี
รู้ว่าเป้าหมายที่สำคัญยิ่งของขบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็คือ ช่วยให้ทักษิณและบริษัทบริวารของเขากลับมามีสิทธิในทางการเมืองอีกครั้งหนึ่งก่อนเวลา 5 ปี และเพื่อนิรโทษกรรมให้ทักษิณพ้นผิดจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ตัดสินจำคุกทักษิณไปแล้ว 2 ปี ในคดีซื้อที่ดินที่รัชดาฯ และพ้นจากคดีอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
แม้กระทั่งเงิน 7 หมื่นกว่าล้านบาทที่ทางการอายัดไว้ ก็จะต้องคืนให้ทักษิณ ถ้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพวกเขาสำเร็จ
ไม่เช่นนั้นความสมานฉันท์จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งก็คือ ฝ่ายทักษิณจะต้องดิ้นรนต่อไปอีก โดยอ้างประชาธิปไตยขึ้นมาบังหน้า ทั้งๆ ที่ทักษิณซึ่งเป็นหัวหอกของการเรียกร้องประชาธิปไตย ไม่เคยแสดงออกให้เห็นความเป็นประชาธิปไตยเลย นอกจากการเทกโอเวอร์พรรคการเมืองต่างๆ การต้อนนักการเมืองคนแล้วคนเล่า กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้าพรรคของเขา โดยเอาเงิน เอาตำแหน่งเข้าล่อ หรือไม่ก็ใช้วิธีแบล็กเมล์ หาจุดอ่อนจุดบกพร่องของนักการเมือง ถ้าหากไม่วิ่งมาซบ ไม่วิ่งมาเป็นพวกก็ใช้กฎหมายเล่นงาน
หลังจากที่ถูกยึดอำนาจ ทักษิณคิดว่าหนทางที่เขาจะกลับมามีอำนาจได้อีกก็คือ ผ่านวิธีการประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง เขายังเชื่อว่าประชาชนคนยากคนจนยังรักเขา ซึ่งก็มีส่วนจริงอยู่ตรงที่พรรคการเมืองที่เขาสนับสนุน เขาอยู่เบื้องหลังชนะการเลือกตั้ง บริษัทบริวารของเขาได้จัดตั้งรัฐบาล
แต่เมื่อรัฐบาลที่ทักษิณอยู่เบื้องหลังคิดจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงได้ถูกประชาชนต่อต้าน
เพราะประชาชนรู้ทันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่แก้เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย แต่เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อบริษัทบริวารของทักษิณ และตัวของทักษิณเอง
ตรงนี้พรรคประชาธิปัตย์น่าจะต้องตระหนัก
มิใช่เพราะต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องการเป็นรัฐบาลแล้วจะต้องรับปากพรรคการเมืองอื่นที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ให้จัดตั้งรัฐบาลไปเสียทุกเรื่อง
เข้าใจว่าเรื่องอย่างนี้นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายมารุต บุนนาค และผู้อาวุโสท่านอื่นๆ ต้องมองออกและมองเห็น
และจะต้องเป็นหลักให้พรรคประชาธิปัตย์เดินไปให้ถูกทาง
ความสมานฉันท์ที่พูดกันอยู่เสมอในสังคมไทยขณะนี้แก้ไม่ได้หรอกครับด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญในสาระดังกล่าว หากความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้ก็โดยการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นกฎหมาย คนผิดก็ต้องถูกลงโทษ
มิใช่การยกโทษให้คนผิด
เราเขียนรัฐธรรมนูญให้มีการยุบพรรคก็ดี ให้ลงโทษนักการเมืองที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งก็ดี ก็เพราะเราเห็นอันตรายของการเข้าสู่อำนาจรัฐด้วยการชนะการเลือกตั้งด้วยวิธีที่ไม่สุจริต ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสิทธิขายเสียงที่เราพูดกันมาตั้งแต่ปี 2534, 2535 เพราะเราเห็นการทำธุรกิจการเมืองของนักการเมืองจนร่ำรวยเป็นร้อยล้านพันล้าน แล้วก็ใช้เงินดังกล่าวซื้อสิทธิขายเสียงเพื่อที่จะมีอำนาจรัฐแล้วก็ทุจริตกันต่อไป หรือการใช้เงินเทกโอเวอร์พรรคการเมือง นักการเมืองของทักษิณ ชินวัตร นับตั้งแต่ที่เขาจัดตั้งพรรคไทยรักไทย หลังจากที่เขาล้มเหลวจากพรรคพลังธรรมที่เขาไม่สามารถที่จะใช้เงินเข้าสู่อำนาจได้ เพราะพรรคพลังธรรมมีกฎเกณฑ์มากมาย (เขาต้องมาตั้งพรรคใหม่)
เมื่อมีการเขียนรัฐธรรมนูญให้ลงโทษพรรคการเมือง นักการเมืองที่อยากได้อำนาจรัฐแล้วทำผิดกฎหมาย และก็สามารถลงโทษได้แล้วมายกโทษให้ โดยอ้างความสมานฉันท์ ต่อไปเราก็ยิ่งจะมีแต่นักการเมืองชั่ว นักการเมืองเลวเต็มบ้านเต็มเมือง
ทำไมเราต้องแก้รัฐธรรมนูญ โดยที่ไม่คิดแก้นักการเมือง ให้นักการเมืองชั่วหมดโอกาสที่จะมามีอำนาจ หมดโอกาสที่จะเข้ามาแสวงหาประโยชน์สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอย่างที่เห็นกันอยู่
นักการเมืองที่ถูกลงโทษขณะนี้มิใช่หรือที่เป็นผู้รับเหมาร่ำรวยจากการผูกขาด การประมูลงานของรัฐ นักการเมืองเหล่านี้มิใช่หรือที่รวยจากการซื้อการขายให้กับรัฐ จะต้องให้โอกาสหรือเปิดทางให้มันเข้ามามีอำนาจทำไมอีก
เป็นเสียงเรียกร้องและพยายามอย่างยิ่งของนักการเมืองที่เป็นบริษัทบริวารของทักษิณ ชินวัตร ในช่วงที่นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะประชาชนที่รักชาติ รักประชาธิปไตย โดยการนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขัดขวางเอาไว้อย่างแข็งขัน
จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะประหลาดเอามากๆ ที่มีการนำเรื่องนี้มาพูดกันอีก ทั้งที่ไม่ควรจะพูดถึงหรือควรที่จะทำความเข้าใจให้เป็นที่ยุติว่า เรื่องนี้จบไปแล้ว
ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีทางสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะพรรคประชาธิปัตย์เต็มไปด้วยนักการเมืองที่มีเขี้ยวเล็บ รู้เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงของนักการเมืองด้วยกันเป็นอย่างดี
รู้ว่าเป้าหมายที่สำคัญยิ่งของขบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็คือ ช่วยให้ทักษิณและบริษัทบริวารของเขากลับมามีสิทธิในทางการเมืองอีกครั้งหนึ่งก่อนเวลา 5 ปี และเพื่อนิรโทษกรรมให้ทักษิณพ้นผิดจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ตัดสินจำคุกทักษิณไปแล้ว 2 ปี ในคดีซื้อที่ดินที่รัชดาฯ และพ้นจากคดีอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
แม้กระทั่งเงิน 7 หมื่นกว่าล้านบาทที่ทางการอายัดไว้ ก็จะต้องคืนให้ทักษิณ ถ้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพวกเขาสำเร็จ
ไม่เช่นนั้นความสมานฉันท์จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งก็คือ ฝ่ายทักษิณจะต้องดิ้นรนต่อไปอีก โดยอ้างประชาธิปไตยขึ้นมาบังหน้า ทั้งๆ ที่ทักษิณซึ่งเป็นหัวหอกของการเรียกร้องประชาธิปไตย ไม่เคยแสดงออกให้เห็นความเป็นประชาธิปไตยเลย นอกจากการเทกโอเวอร์พรรคการเมืองต่างๆ การต้อนนักการเมืองคนแล้วคนเล่า กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้าพรรคของเขา โดยเอาเงิน เอาตำแหน่งเข้าล่อ หรือไม่ก็ใช้วิธีแบล็กเมล์ หาจุดอ่อนจุดบกพร่องของนักการเมือง ถ้าหากไม่วิ่งมาซบ ไม่วิ่งมาเป็นพวกก็ใช้กฎหมายเล่นงาน
หลังจากที่ถูกยึดอำนาจ ทักษิณคิดว่าหนทางที่เขาจะกลับมามีอำนาจได้อีกก็คือ ผ่านวิธีการประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง เขายังเชื่อว่าประชาชนคนยากคนจนยังรักเขา ซึ่งก็มีส่วนจริงอยู่ตรงที่พรรคการเมืองที่เขาสนับสนุน เขาอยู่เบื้องหลังชนะการเลือกตั้ง บริษัทบริวารของเขาได้จัดตั้งรัฐบาล
แต่เมื่อรัฐบาลที่ทักษิณอยู่เบื้องหลังคิดจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงได้ถูกประชาชนต่อต้าน
เพราะประชาชนรู้ทันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่แก้เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย แต่เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อบริษัทบริวารของทักษิณ และตัวของทักษิณเอง
ตรงนี้พรรคประชาธิปัตย์น่าจะต้องตระหนัก
มิใช่เพราะต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องการเป็นรัฐบาลแล้วจะต้องรับปากพรรคการเมืองอื่นที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ให้จัดตั้งรัฐบาลไปเสียทุกเรื่อง
เข้าใจว่าเรื่องอย่างนี้นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายมารุต บุนนาค และผู้อาวุโสท่านอื่นๆ ต้องมองออกและมองเห็น
และจะต้องเป็นหลักให้พรรคประชาธิปัตย์เดินไปให้ถูกทาง
ความสมานฉันท์ที่พูดกันอยู่เสมอในสังคมไทยขณะนี้แก้ไม่ได้หรอกครับด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญในสาระดังกล่าว หากความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้ก็โดยการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นกฎหมาย คนผิดก็ต้องถูกลงโทษ
มิใช่การยกโทษให้คนผิด
เราเขียนรัฐธรรมนูญให้มีการยุบพรรคก็ดี ให้ลงโทษนักการเมืองที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งก็ดี ก็เพราะเราเห็นอันตรายของการเข้าสู่อำนาจรัฐด้วยการชนะการเลือกตั้งด้วยวิธีที่ไม่สุจริต ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสิทธิขายเสียงที่เราพูดกันมาตั้งแต่ปี 2534, 2535 เพราะเราเห็นการทำธุรกิจการเมืองของนักการเมืองจนร่ำรวยเป็นร้อยล้านพันล้าน แล้วก็ใช้เงินดังกล่าวซื้อสิทธิขายเสียงเพื่อที่จะมีอำนาจรัฐแล้วก็ทุจริตกันต่อไป หรือการใช้เงินเทกโอเวอร์พรรคการเมือง นักการเมืองของทักษิณ ชินวัตร นับตั้งแต่ที่เขาจัดตั้งพรรคไทยรักไทย หลังจากที่เขาล้มเหลวจากพรรคพลังธรรมที่เขาไม่สามารถที่จะใช้เงินเข้าสู่อำนาจได้ เพราะพรรคพลังธรรมมีกฎเกณฑ์มากมาย (เขาต้องมาตั้งพรรคใหม่)
เมื่อมีการเขียนรัฐธรรมนูญให้ลงโทษพรรคการเมือง นักการเมืองที่อยากได้อำนาจรัฐแล้วทำผิดกฎหมาย และก็สามารถลงโทษได้แล้วมายกโทษให้ โดยอ้างความสมานฉันท์ ต่อไปเราก็ยิ่งจะมีแต่นักการเมืองชั่ว นักการเมืองเลวเต็มบ้านเต็มเมือง
ทำไมเราต้องแก้รัฐธรรมนูญ โดยที่ไม่คิดแก้นักการเมือง ให้นักการเมืองชั่วหมดโอกาสที่จะมามีอำนาจ หมดโอกาสที่จะเข้ามาแสวงหาประโยชน์สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยอย่างที่เห็นกันอยู่
นักการเมืองที่ถูกลงโทษขณะนี้มิใช่หรือที่เป็นผู้รับเหมาร่ำรวยจากการผูกขาด การประมูลงานของรัฐ นักการเมืองเหล่านี้มิใช่หรือที่รวยจากการซื้อการขายให้กับรัฐ จะต้องให้โอกาสหรือเปิดทางให้มันเข้ามามีอำนาจทำไมอีก