xs
xsm
sm
md
lg

ฉายตัวตนคนมีสี-สุภาพสตรี เงื่อนงำคดีลอบสังหาร ‘สนธิ’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หลังจากที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาให้สัมภาษณ์คาดการณ์ถึงกลุ่มคนที่เกี่ยวพันกับการลอบสังหารตนเองเมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ผ่านมาว่าเป็นการลงขันกันของกลุ่มคนมีสี รวมไปถึง “สตรีคนหนึ่งคนใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท” ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ประธานกรรมการเลขาธิการมูลนิธิบำรุงขวัญทหาร ตำรวจ อาสาสมัครชายแดน ในพระบรมราชินูปถัมภ์ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไอเอ็นเอ็นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว หลังมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่าท่านผู้หญิงวิระยา คือ “สตรีคนหนึ่งคนใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท” คนนั้น ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านั้นพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหน่วยงานซึ่งต้องรับผิดชอบความมั่นคงได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเช่นกัน

“วิระยา” ร้อนตัว ปัดไม่เกี่ยวสังหาร “สนธิ”

คำถาม : รู้ตัวไหม ท่านถูกลือโยงฆ่าคุณสนธิ
คำตอบ : “โอ๊ยไม่ห่วงหรอกคะ ใครจะโยงก็โยงไป ความจริงก็คือความจริงวันยันค่ำ ดิฉันเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวไม่มีสามีที่จะมีอิทธิพล เหตุการณ์ที่เกิดกับคุณสนธิ คนอย่างดิฉันจะมีปัญญาไปทำอะไรได้ ดิฉันทำงานแต่การกุศลไม่มีความคิดแบบนี้ในสมอง”

คำถาม : เคยโกรธคุณสนธิบ้างไหม ท่านเองถูกโจมตีเยอะ ทั้งเรื่องการขายเสื้อฟ้าเฉลิมพระเกรียติ
คำตอบ : “จำได้ว่าว่าในหลวงเคยสอนดิฉันมา สมัยก่อนว่า พระพุทธรูปนี่ยังถูกนินทาเลย ดังนั้นดิฉันจะถือลัทธิว่า ถ้าใครเขาชอบเรา ถ้าเราจะทำดี หรือทำไม่ดี เขาก็จะชอบเรา เห็นว่าเราไม่ผิด คนไหนที่เขาไม่ชอบเรา ให้เราทำดีให้ตายก็จะเห็นว่าเราไม่ดี ดังนั้นดิฉันไม่สนหรอกใครจะวิพากวิจารณ์ เพราะดิฉันยืนอยู่บนความถูกต้อง คือทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความจริงที่จะพิสูจน์ตัวมันเองตลอด อย่างงานการกุศล ใครทำงานกันมาก็จะรู้ว่า งานทุกครั้งไม่เคยหักค่าใช้จ่าย ถ้ามีค่าใช้จ่ายจะใช้เงินส่วนตัว อย่างงานถวายสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ 300 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายบาทเดียวก็ไม่มี เพราะหลายส่วนช่วย หากเขาไม่ช่วย ดิฉันจะจ่ายเอง”

ดิฉันตัวคนเดียวพ่อแม่ทิ้งมรดกไว้ให้มากมายก่ายกอง ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แค่ที่ดินยังไม่ขายเลยซักแปลงที่แม่พ่อให้ไว้ ก็ยังไม่ใช้ไม่หมด เพราะเป็นมัธยัสถ์ ดิฉันเป็นคนไม่เคยซื้อของแพง สมัยก่อนอาจจะจริงชอบใช้ของมียี่ห้อ ตอนที่แม่มีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้ดิฉันจะเก็บเงินไว้ทำบุญอย่างเดียว”

คำถาม : มีการเชื่อว่า คดียิงคุณสนธิ มีทหารมาเกี่ยวข้อง ท่านทำงานกับทหารเยอะ จึงถูกตกเป็นเป้า
คำตอบ : “ก็ดิฉันทำงานให้กับมูลนิธิ ซึ่งต้องทำงานกับทหารอยู่แล้วตั้งแต่ปี 2519 ดังนั้นก็ต้องสนิทกับทหารโดยเฉพาะหน่วยรบ ตั้งแต่สมัยก่อนเลยสนิทกัน เพราะเป็นคนชอบช่วยคน ไปเยี่ยมทางภาคใต้และชายแดนบ่อยครั้ง ทหารหน่วยรบรู้จักดิฉันทุกคน อย่าง พล.อ.สุจินดา คราประยูร พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ พล.อ.สำเภา ชูศรี ใครต่อใครก็ต้องรู้จักหมด เพราะทำงานกับทหาร แต่การทำงานคือเยี่ยมบำรุงขวัญ”

คำถาม : เพราะทำงานกับหน่วยรบในอดีต ยิ่งตกเป็นเป้าหรือเปล่า ว่ามีอำนาจสั่งทหารได้ให้ทำอะไร

คำตอบ : “พูดเป็นเล่น มันจะเป็นไปได้อย่างไง โอ๊ยทหารที่รุ่นพี่สนิท ก็เกษียณกันแล้ว เอาละ ถ้าเผื่อจะมีใครชื่นชมพี่จริง ๆ ตอนนี้ก็แก่กันหมดแล้ว มันจะเอาน้ำยาที่ไหนมาทำอะไร คนพวกนี้ พี่เชื่อว่าเขาไม่รักพี่ขนาดยอมทำอะไรบ้า ๆ ได้หรอก มันเป็นได้หรือไงที่ใครมันจะมาพิศวาส โกรธ แค้นแทนเรา “

คำถาม : รู้จักกับนายทหารรุ่นใหญ่ ไม่คิดว่าเขาจะได้ประโยชน์จากท่านเลยหรือ ในการมาสนิทด้วย
คำตอบ : “เขาจะได้ประโยชน์อะไรจากเรา เราทำงานเพื่อสังคม และเราก็ไม่เคยทำอะไรให้เขา เขาจะลุกขึ้นมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทำอะไรให้เราขนาดนี้ได้หรอ บ้าแล้ว”

คำถาม : ปริศนาที่คุณสนธิย้ำ ว่าผู้หญิงคนหนึ่งใกล้เบื้องพระยุคลบาท เกี่ยวข้อง
คำตอบ : “ใครอยากจะพูดอะไรก็พูดไป เราห้ามปากคนไม่ได้ เหมือนข่าวลือโจมตี พี่เข้าวังไม่ได้ มีแต่คนมาถาม เพราะได้ยินคุณสนธิพูด มีคนถามด้วยว่าคุณสนธิท้าให้ฟ้องทำไมไม่ฟ้อง ก็เพราะกรณีของพี่มันลำบาก เพราะไม่จริง”

คำถาม : เสธแดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล) แฉเอง ท่านเป็นศัตรูกับคุณสนธิ
คำตอบ : “พี่ว่าบ้า สมมุติพี่เป็นศัตรูกับคุณสนธิ คนอย่างพี่จะมีน้ำยาอะไรไปทำคุณสนธิได้”

คำถาม : ทุกวันนี้ติดต่อทหารหน่วยรบอยู่ไหม
คำตอบ : “พี่ไม่ได้ติดต่อหน่วยรบที่ไหนเลยตอนนี้ นอกจากพี่ไปใต้ เดือนละครั้ง เพราะไปเยี่ยมทหาร ไปแล้วก็กลับ แล้วใครมันจะลุกขึ้นมาทำอะไรให้พี่ได้ขนาดที่ลือกัน”

คำถาม : คุณสนธิ พูดบ่อยครั้ง ไม่โกรธจริง ๆ หรือ เพราะบางคนฟังอาจคิดว่า มันเกี่ยวกับท่าน
คำตอบ : “ไม่โกรธ เพราะเห็นเขาด่าคนมาเยอะมาก”

คำถาม : มีคนถามท่านไหม เรื่องสังหารคุณสนธิ
คำตอบ : “เมื่อวานเพิ่งไปอยุธยามาก็มีคนมาเล่าให้ฟัง แล้วเขาถามเราว่า ใครเป็นคุณสุภาพสตรี ที่คุณสนธิพูดถึง คนอื่นเห็นพี่ยังบอก เออหน้าตาน่ารักดี จะฆ่าคนลงหรือ คนพยามยามตีอะไรต่างๆ ให้เกิดความเสียหาย พี่ไม่เคยโกรธเขา เพราะพี่เชื่อกฎแห่งกรรม ใครทำอะไรย่อมได้อย่างนั้น”

คำถาม : รู้หัวอกคนถูกลอบฆ่า เพราะท่านเองก็เคยถูกเหมือนกัน
คำตอบ : “ใช่ พี่รู้หัวอก เพราะพี่ถูกซุ่มโจมตี ตอนลงพื้นที่ภาคใต้ ถูกวางกำลังกลุ่มก่อความไม่สงบไล่ล่า พี่รู้ดีว่าการถูกไล่ยิง มันมีความรู้สึกอย่างไร พอคุณสนธิถูกยิงพี่สงสาร มีคนมาบอกพี่ด้วยว่า นี่รู้ไหม คุณสนธิด่าท่านผู้หญิงไม่กี่วัน ถูกลอบฆ่าแล้วนะ”

คำถาม : ท่านคิดอยากแจงให้สังคมเข้าใจบ้างไหม ปล่อยข่าวลือสะพัดแบบนี้ ไม่ห่วงว่าคนจะมองท่านไม่ดีหรือ
คำตอบ : “จะให้ทำอย่างไงได้ พี่ไม่โกรธ จะให้ทำไงได้ คนเขาอย่างด่าเรา ให้เขาด่าไป ถ้าเราผิดจริงก็ให้เขาด่า ถ้าเราไม่ผิด คนเขาด่า แล้วเขาอยากเชื่อ พี่ก็ไม่เดือดร้อน”

คำถาม : ข่าวลือแม้ไม่จริง แต่ลือทุกวัน ชาวบ้านอาจคิดว่าท่านทำจริงนะ
คำตอบ : “พี่จะไปทำอะไรได้ พี่แคร์กับคนที่ชอบพี่ ใครอยากคบพี่ก็คบ ใครไม่อยากคบก็ไม่ต้องคบ เพราะทั้งชีวิตพี่ไม่ได้พึ่งใคร”

คำถาม : ถ้าไม่จริงอย่างที่บอก คิดบ้างไหม ทำไมผู้หญิงคนนั้น ที่สั่งฆ่าคุณสนธิ ทำไมเป้ามาตกที่ท่าน
คำตอบ : “เป็นไปได้ไหม ที่เขาอยากดิสเครดิตพี่ เพราะพี่เป็นคนไปการันตีคุณทักษิณ ชินวัตร มีความจงรักภักดี ก็พี่เชื่ออย่างนี้ จะให้พี่ไปขึ้นศาลพี่ก็จะพูดอย่างนี้ ก็เชื่อแบบนี้นี่ ความคิดของแต่ละคนมันมี จะมาบังคับให้เปลี่ยนใจได้อย่างไร คงโกรธตรงนี้ เลยจะดิสเครดิตพี่ เพื่อให้คนไม่เชื่อ และไม่คล้อยตาม”

คำถาม : ดิสเครดิตครั้งนี้ เล่นแรงเลยนะ
คำตอบ : “ช่างปะไร สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ รู้ว่าพี่เป็นอย่างไร และไม่ไล่พี่ออกจากวังตามที่คุณสนธิพูดด้วย รวมทั้งเงินจัดทำเสื้อฟ้า พี่ไม่เคยโกงแม้แต่บาทเดียว

คำถาม : ท้อไหมเจอสถานการณ์หนักมากคราวนี้
คำตอบ : “ไม่ ท้อทำไม ตอนนี้ตั้งใจทำโครงการช่วยเหลือคนในพื้นที่ภาคใต้ เดือนหน้าจะเปิดโรงงาน สร้างงานให้คนภาคใต้ จะมีเยาวชนมาร่วมทำงานด้วย ใครอยากพูดอะไรก็พูดไป ทุกวันนี้ถ้ามีใครมาถามเรื่องการเมือง พี่ไม่กลัว คิดอย่างไรพี่ก็จะตอบอย่างนั้น เพราะพูดบนพื้นฐานความจริง คุณถามฉัน คุณก็ต้องการความจริงจากฉันไม่ใช่หรือ”

‘อนุพงษ์’ : ฤาจะเป็นแต่คำคนบนใบบอน!

ตั้งแต่เกิดเหตุกระทั่งหลังนายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวถึง คนที่ลอบทำร้ายและพยานวัตถุเกี่ยวโยงกับทหาร พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะกองทัพผู้ดูแลรับผิดชอบความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ดังนี้
วันศุกร์ที่ 2 พ.ค. 2552 (หลังนายสนธิเปิดใจครั้งแรกโดยวิเคราะห์ภาพรวมของคดีว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับคนมีสี) : พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า “ โดยหลักการแล้วสังคมของเราไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใด หรือสีใดก็แล้วแต่ ไม่ว่าใครทั้งสิ้นถ้าทำผิดกฎหมาย ก็ต้องถูกดำเนินคดี ถ้าผลการสืบสวนถึงใคร ไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่ในเครื่องแบบใดตามที่กล่าวอ้าง ก็จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย”

วันที่ 30 เม.ย.2552 (กรณีความคืบหน้าในการตรวจาสอบปลอกกระสุนเอ็ม16ที่พล.อ อนุพงษ์เคยระบุว่า มาจากกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) ) : “ จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับเอกสารจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้ว่าตำรวจจะบอกว่า ได้ส่งมาให้แล้ว อย่างไรก็ตาม ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่กรมสรรพาวุธ ทหารบกหารายละเอียดว่า มีกระสุนล็อตใด แม้ตัวอักษรตัว “D” และ “A” จะไม่แน่ชัดก็สั่งให้หาข้อมูลให้หมดว่า ตัว “D” และ “A” แจกจ่ายไปหน่วยใดบ้าง หากมีตัวเรื่องมา เราจะได้ตอบไปว่า เราแจกกระสุนไปที่ใดบ้าง เพื่อตำรวจจะได้ไปสอบที่หน่วยดังกล่าว ว่า เมื่อรับแจกไปแล้วใครรับและนำไปปฏิบัติในภารกิจใดบ้าง ซึ่งเราพร้อมให้ความร่วมมือ”

วันที่ 23 เมษายน 2552 : (หลังจากตำรวจระบุว่าปลอกกระสุนเอ็ม 16 เป็นของทหาร) พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า “ เป็นเรื่องของการประสานงานกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ และกองทัพ ซึ่งรายละเอียดหนังสือยังไม่ได้รับ เจ้าหน้าที่ของกรมสรรพาวุธทหารบก และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุยกันและรู้ว่ามีกระสุน 20 นัดที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุโดยเป็นประสุนจากปืนเอชเค จำนวน 17 นัดและกระสุนปืนจาก เอ็ม 16 จำนวน 3 นัด จากการตรวจสอบทราบกระสุนปืนเอ็ม 16 ทั้ง 3 นัด เป็นกระสุนที่แจกจ่ายจากกองทัพภาคที่ 1 ที่แจกจ่ายให้กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9)
อย่างไรก็ตาม กองพลทหารราบที่ 9 มีหน่วยทหารมาก เมื่อรับทราบรายละเอียดจะตรวจสอบภายในว่ามีกระสุนเล็ดลอดออกมาได้อย่างไร แต่เป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะกระสุนที่จ่ายไปมีจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นนัด หากสมมติว่าแจกจ่ายกระสุนไป 10 หน่วยการเล็ดลอดจึงยากต่อการตรวจสอบว่า เป็นหน่วยไหนและเท่าที่ทราบเป็นกระสุนที่มาจากการฝึกของกองพลทหารราบที่ 9

วันที่ 17 เมษายน 2552 : (วันเกิดเหตุลอบสังหาร) : “ เรื่องการลอบยิงเป็นเรื่องอาชญากรรม ซึ่งจะมีพ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่มี ก็สามารถเป็นเช่นนั้นได้ ทั้งนี้ทหารที่มีมาอยู่ประจำ 150 เขต มีเพียง 102 จุด เฉลี่ยประมาณเขตละสองจุด หากใครจะไปทำอะไร คงยากที่จะไปควบคุมได้ หรือไปรักษาไม่ให้เกิดขึ้นคงทำไม่ได้ ทั้งนี้การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทหารได้รับคำสั่งหลังจากคืนวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา เราได้สั่งการเด็ดขาดว่า แม้ว่าจะมีการมาป่วนเมือง เช่นโยนระเบิดปิงปอง หรือระเบิดเพลิงเล็กๆ ห้ามใช้อาวุธโดยเด็ดขาดไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าจะเห็นตัวก็ไม่ใช้อาวุธ เพราะหากมีคนขี่มอเตอร์ไซต์มาแล้วโยนระเบิดปิงปองหรือประทัดยักษ์ แล้วทหารยิงจนทำให้เกิดการเสียชีวิต ประชาชนคงรับไม่ได้ ดังนั้นการสั่งการแน่ชัดว่า ห้ามทำอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นการที่เรามีจุดตรวจเพียงเขตละสองจุด ในเรื่องที่จะไปเฝ้าไม่ให้เกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นคนละเรื่องกัน และไม่ว่า จะมีการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่อย่างไรก็ต้องเกิด”
“เหตุการณ์นี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสืบสวน จับกุมมาให้ได้ ไม่ว่าสีไหนก็แล้วแต่ จะต้องนำตัวมาลงโทษให้ได้ ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย ทั้งนี้ผมยังไม่มีข้อมูลที่จะไปวิเคราะห์ว่า การลอบยิงนายสนธิ เป็นเพราะอะไร ส่วนที่มีการใช้อาวุธสงครามนั้น ต้องยอมรับว่า มีการใช้อยู่ในประเทศไทยหลายครั้ง หลายหน และหลายกรณีที่มีการยิง และเมื่อหลายวันก่อนก็มีการยิงเอ็ม 79 เข้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเราพยายามกำหนดมาตรการเพื่อควบคุม ซึ่งดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ยังไม่หมดไป จึงต้องหาทางขจัดปัญหานี้ไปให้ได้”
กำลังโหลดความคิดเห็น