ASTVผู้จัดการรายวัน - "นายกรัฐมนตรี" ยอมรับ 3 เดือนประเมินฝ่ายตรงข้ามพลาดที่ยึดหลัก "ตบมือข้างเดียวไม่ดัง" แต่ในที่สุดแก๊งเสื้อแดงก็ก่อความรุนแรงขึ้นจนได้ เล็ง "แก้ รธน.-ยุบสภา" หากผ่านวิกฤตร้ายไปได้ภายใน 6-8 เดือน ด้าน กอ.รมน.ส่งทหาร 4 พันนายปูพรมเคลียร์ชาวบ้านหลังถูกบิดเบือนทหารฆ่าประชาชน ขณะที่รัฐบาลเร่งปั๊มวีซีดี เปิดเว็บไซต์ ชี้แจงข้อมูล
ที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาคารพญาไท พลาซ่า เมื่อเวลา 09.00 น. วานนี้ (30 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้บรรยายพิเศษเรื่อง "แนวนโยบายในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และสังคม" ตอนหนึ่งว่า ปัญหาเศรษฐกิจจะแก้ไม่ได้ถ้าหากสถานการณ์ทางการเมืองไม่เอื้อให้ทำงาน
“บอกตรงๆว่า 3 เดือนแรกที่เข้ามาทำงาน พยายามใช้แนวทาง ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ผมไม่ไปตอบโต้ ต่อล้อต่อเถียงกับใคร ให้ใช้สิทธิ เสรีภาพเต็มที่ นึกว่าจะไม่มีปัญหา แต่ต้องยอมรับว่า ผมประเมินพลาดไป ในที่สุดฝ่ายที่ไม่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ มีอยู่จริงๆ พร้อมที่จะใช้กำลังยกระดับ ปลุกระดม ปิดถนน สถานที่ราชการ ไล่ล่าฆ่าบุคคลสำคัญ ทำกันถึงขนาดนั้น จึงเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นจนเราต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งผมหลีกเลี่ยงมาตลอด และพยายามใช้ ไม่ให้นำไปสู่ปัญหาที่มาบอกว่าเราใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ พยายามทำทุกอย่าง อย่างโปร่งใส ขอเปิดสภาเอง ยินดีรับฟัง ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ และให้ฝ่ายนิติบัญญัติเข้าตรวจสอบข้อมูลต่อ หากมีใครติดใจ ก็ให้ดำเนินการไป" นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนการแก้ปัญหาทางการเมือง ได้มีคณะกรรมการที่ฝ่ายนิติบัญญัติตั้งมาอีกชุด ซึ่งน่าเป็นห่วงอยู่ คิดว่าลำพังนักการเมืองแก้ตรงนั้นไม่ได้ เพราะมีความหวาดระแวง มีข้อครหาว่า นักการเมืองจะมีความสนใจเกี่ยวกับประเด็นการเมืองเอง หวังว่า ฝ่ายนิติบัญญัติจะเข้าใจ และเปิดกระบวนการให้กว้าง ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าถ้าทำได้ หรือมีกระบวนการที่คนส่วนใหญ่ ยอมรับ ภายใน 6-7 เดือนข้างหน้า รัฐบาลต้องเร่งทำคือ เรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา วางกรอบกระตุ้นเศรษฐกิจ 2-3 ปีข้างหน้า ออกกฎหมายให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ ทำให้เราผ่านพ้นวิกฤติปีนี้ไปได้ ซึ่งต่างประเทศเชื่อว่าปีหน้าวิกฤติเศรษฐกิจจะเบาบางลง แต่ตนยังมีความเชื่อว่า อาจจะได้เร็วกว่านั้น ถ้าประเทศใหญ่ๆเร่งกวาดบ้านของตัวเองให้เรียบร้อย โดยเฉพาะเรื่องสถาบันการเงิน
"ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะมีความอุ่นใจว่าเราได้ประคับประคองบ้านเมือง ผ่านช่วงนี้ไปแล้ว หลังจากนั้น ถ้าเขาบอกว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ หรือยุบสภา ผมไม่มีอะไรขัดข้องอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่จะคืนความเป็นปกติกลับมา แต่ว่า 6-7-8 เดือนข้างหน้า ผมคิดว่ายังมีความละเอียดอ่อนอยู่มาก ประการหนึ่งคือ ยังมีคนบางฝ่ายที่ยังยืนยันว่าจะต่อสู้ วันนี้พร้อมจะต่อสู้โดยใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรง จะพูดจริงพูดขู่อย่างไรก็แล้วแต่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนที่คิดแบบนี้ ประการที่ 2 ยังไม่ชัดเจนว่า กระบวนการฝ่ายนิติบัญญัติ ที่พยายามแก้ไขคลี่คลายเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน พยายามหาทางไปสู่ความสำเร็จ"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงตอบคำถาม นายอภิสิทธิ์ ได้ชี้แจงถึงการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นในวงราชการว่า ทางรัฐบาลมีมาตรการ หลักเกณฑ์อยู่แล้ว ทั้งการปรับปรุงกฎหมาย ป.ป.ช. และมีการยกเลิกการ สิ้นอายุความของคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตต่างๆ รวมไปถึงการรณรงค์ให้เกิดความ โปร่งใส นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้รัฐบาลรณรงค์ให้ประชาชนรับทราบข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อให้เกิดการสร้างความสมานฉันท์ ละลายสีกลุ่มต่างๆในสังคม โดยมีข้อเสนอให้ใช้วิธีการชี้แจงผ่านสื่อมวลชนต่างๆ เชื่อว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาการแบ่งแยกในสังคมได้
ทั้งนี้ มีการสอบถามนายกฯ ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศ เป็นเพราะระบบ หรือตัวบุคคลไม่ดี ซึ่งนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทั้งระบบ และคนมีปัญหา ภาพใหญ่ของระบบขณะนี้ บางครั้งเราเอาการเมืองไปแก้กฎหมาย เช่น เอาเสียงส่วนใหญ่ชี้ถูกชี้ผิด บางทีเอากฎหมายไปแก้การเมือง ซึ่งจะเกิดความขัดแย้งกัน มันไม่ยาก ถ้าเราวิเคราะห์ ให้ถูกโรค เหมือนกับความคาดหวังต่อนักการเมือง ต้องการให้นักการเมืองทำอะไร เป็นแบบไหน ถือเป็นสิ่งที่แก้ยากกว่า
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เตรียมจัดส่งกำลังพล 4 พันนาย ลงพื้นที่เพื่อชี้แจงกรณี ถูกกล่าวหาว่าทหารฆ่าประชาชน ว่า ที่ผ่านมามีความพยายาม บิดเบือนข้อเท็จจริง ทหารคงไม่ต้องการให้ประชาชนเข้าใจผิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการลงไป ล้างสมองประชาชน และเป็นการปูทางเพื่อเตรียมการเลือกตั้งใหม่ ให้รัฐบาล นายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องเลือกตั้งใหม่ยังอีกนาน อย่าเพิ่งไปคิด
รัฐบาลเร่งทำวีซีดีชี้แจง
ขณะที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กอ.รมน. จะส่งทหาร 4,000 นายลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน เนื่องจากแกนนำกลุ่มเสื้อแดงได้พยายามกล่าวหาทหารตลอดเวลาว่า ทหารฆ่าประชาชน มีการทำวีซีดี ไปแจก เมื่อดูเนื้อหาแล้วก็มีสิ่งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง จึงทำให้ทหารถูกเข้าใจผิด เขาจึงหาโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริง ส่วนการชี้แจงจะเรียกว่าล้างสมองหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับเนื้อหา แต่ตนเชื่อว่า คนที่รับฟังก็คงจะมีวิจารณญาณ
นายสาทิตย์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลก็กำลังทำวีซีดี ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ โดยใช้ชื่อว่า "รวมพลังคนไทย ก้าวข้ามสงครามกลางเมือง" เนื้อหาจะมีความยาว 17 นาที โดยจะเล่าถึงจุดยืนของรัฐบาลต่อการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.ว่า รัฐบาลมีจุดยืน ที่ยอมรับการชุมนุมที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และในที่สุดจุดยืนของการชุมนุม เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และวีธีการจัดการของรัฐบาลเป็นอย่างไร โดยจะมุ่งเน้นที่ ข้อเท็จจริง และมุ่งการรวมพลังคนไทยเพื่อก้าวข้ามสงครามกลางเมืองนี้ และจะขอความร่วมมือสื่อในการเผยแพร่ โดยให้แต่ละสถานีจัดเวลาออกอากาศตามความเหมาะสม
เปิดเว็บไซต์ชี้แจงสถานการณ์
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้ตนทำเว็บไซต์ ในนามของสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยใช้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร เป็นตัวหลักในการรวมรวมข้อมูล และตัวเว็บไซต์ ขณะนี้ออกแบบเสร็จแล้วภายในวัน 2 จะนำมาเผยแพร่ได้ ใช้ชื่อว่า www.factreport. go.th จะเปิดตัวเว็บไซต์ ในวันที่ 3 พ.ค.นี้ โดยมีเนื้อหา เป็นเอกสารที่เกี่ยวกับการสรุปรวบรวมเหตุการณ์ และคลิปภาพต่างๆ ที่จะลงให้เห็นว่า สภาพเหตุการณ์ ที่มีข้อถกเถียง หรือเหตุการณ์ยืนยันว่าไม่ได้ เป็นการชุมนุมโดยสงบสันติ ไม่มีอาวุธ
“กลุ่มคนเสื้อแดงก็ประกาศว่า จะเล่นเกมใต้ดิน กลุ่มคนเสื้อแดงที่นิยมความรุนแรงก็จะใช้วิธีกระซิบข้างหู เป็นการบอกเล่าข่าวลือ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่อันตรายหากไม่มีการชี้แจง"
ส่วนที่มีการหวาดระแวงการลงพื้นที่ของทหารนั้น คงไม่ต้องเป็นห่วง เพราะมีสื่อมวลชนร่วมอยู่ด้วย หากไปทำอะไร คงปกปิดไม่ได้ และคนที่เข้าไปฟังก็เป็นผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชาวบ้าน ต่างก็มีวิจารณญาณทั้งนั้น จึงคิดว่าอย่าไประแวงเรื่องที่จะมีการชี้แจง
นายสาทิตย์ ยังกล่าวถึงเรื่องที่กลุ่มเสื้อแดงต้องการให้คืนอุปกรณ์ของสถานีโทรทัศน์ ดีสเตชั่น ว่า ไม่ต้องขอคืน เพราะรัฐบาลไม่ได้เก็บไปไหน การดำเนินการ ปิดวิทยุชุมนุม และดีทีวี เป็นรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ กทช. โดยเข้าไปดำเนินการ ในสองส่วนคือการใช้ พ.ร.บ.วิทยุโทรคมนาคม ปี 2498 คือ การครอบครอง และตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์โดยมิชอบ กับการใช้กฏหมาย อาญา มาตรา 116 ที่มีการกระทำการปลุกปั่น ยุยง ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และเท่าที่ทราบการดำเนินการยังอยู่ในขั้นตอนทางกฎหมายอยู่ ซึ่งหากฝ่ายเสื้อแดงจะเปิดอีกก็เปิดได้ ด้วยการไปขออุนุญาตจาก กทช. เวลานี้ระเบียบเขาก็เสร็จแล้ว
ส่วนที่กลุ่มเสื้อแดงขู่ว่าจะไปยื่นขอให้ศาลคุ้มครองแบบ เอเอสทีวี นายสาทิตย์ กล่าวว่า เขาก็ขอได้แต่ไม่รู้ว่าจะขอตรงไหน เพราะกรณีมันต่างกับ เอเอสทีวี ซึ่งตอนนั้น เอเอสทีวี เป็นสถานีดาวเทียม ที่ส่งสัญญาญผ่านทาง รีสไลน์ ไปยัง กสท. และรัฐบาลยุคนั้นได้บล็อกสัญาญไม่ให้ผ่าน กสท. เขาจึงไปร้อง กสท.ให้ส่งสัญาญผ่าน กสท. แต่กรณีของ ดีทีวี เป็นคนละกรณี ทางดีทีวี อัพลิ้งค์สัญญาณผ่านทางดาวเทียมไทยคม และตั้งสถานีอยู่ที่ ห้างอิมพิเรียล ลาดพร้าว หากจะไปร้องศาลไปร้องได้ แต่ต้องดูว่าประเด็นใด
ส่วนที่กล่าวหาว่ารัฐบาลมี 2 มาตรฐานจะแก้ไขภาพตรงนี้ได้อย่างไรนั้น นายสาทิตย์ กล่าวว่า รัฐบาลสามารถชี้แจงทุกเรื่องว่า ไม่มีสองมาตรฐาน เรื่องข้อกล่าวหาเป็นข้อกล่าวหาที่พยายามหยิบยกเหตุการณ์คนละช่วงรัฐบาลมาเปรียบเทียบกัน อย่างกรณี เอเอสทีวี กับ ดีทีวี มันคนรัฐบาลกันเลย ยุค เอเอสทีวีเป็นยุครัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่ยุค ดีทีวี เป็นยุครัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การดำเนินการทางกฏหมาย ก็ใช้กฏหมายตัวเดียวกัน และวีธีดำเนินการก็เป็นวิธีที่เจ้าหน้าที่ไปดำเนินการ
ทหารไปแก้ไขความยากจน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดง จะใช้กลุ่มคนเดือนตุลาเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหว ว่า ตนไม่ทราบ ยังไม่มีข้อมูล เมื่อถามว่าฝ่ายความมั่นคงได้มีการประเมิน หรือไม่ว่า คนที่มีแนวคิดในลักษณะดังกล่าวยังมีอีกหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้จะตอบอย่างไร เป็นเรื่องของหน่วยข่าวกรอง ให้เขาวิเคราะห์ไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่เป็น รมว.กลาโหม หากมีการใช้แนวทางคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นจริง จะแก้ไขอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ในอดีต เราก็เคยต่อสู้มาโดยใช้แนวทางนโยบาย 66/23 ในการแก้ไขปัญหา ส่วนเรื่องนี้จะนำกลับมาใช้หรือไม่นั้น ยังพูดคุยกันได้ในเรื่องของความไม่เข้าใจกัน และนายกรัฐมนตรี ก็เปิดโอกาสในสภาให้มีการดำเนินการได้อยู่แล้ว คงเป็นเรื่องของทางสภาที่จะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหา
ส่วนที่มีกำลังทหารลงพื้นที่ภาคอีสานนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เขาลงไป แก้ไขปัญหาความยากจน เป็นเรื่องของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งเป็นอำนาจของ กอ.รมน. ตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตามเหล่าทัพ ได้พยามชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนถึง สถานการณ์ของบ้านเมืองอยู่แล้ว ตนไม่ต้องกำชับ ถือเป็นเรื่องปกติในการดูแลความมั่นคงของชาติ เพราะทุกคนจะต้องพยายามทำให้เกิดความมั่นคงในทุกระดับ เพื่อประเทศชาติจะได้เกิดความสงบสุข รวมทั้งสื่อมวลชนด้วยที่จะต้องช่วยกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ไม่มีความรู้อาจจะหลงไปกับคำพูดของนักการเมือง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้ กอ.รมน. คงจะต้องชี้แจงในภาพรวม เมื่อถามย้ำว่า จำเป็นจะต้องชี้แจงคำว่าคอมมิวนิสต์ และประชาธิปไตย ว่าแตกต่างกันอย่างไรหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าไม่ต้องชี้แจง เพราะเรื่องพวกนี้ ทุกฝ่ายรู้ดี และเข้าใจ
เตรียมใช้ กม.ความมั่นคงคุมม็อบ
แหล่งข่าวด้านความมั่นคง เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ได้เตรียมใช้กลไกของ กอ.รมน. ในการแก้ไขปัญหาการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด ที่ยังคงมีกลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ โดยเตรียมผลักดัน พ.ร.บ. ด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 51 มาใช้ในพื้นที่ที่มีการประเมินสถานการณ์ว่า จะเป็นภัยต่อความมั่นคง โดยจะเป็นลักษณะในการป้องกัน และระงับยับยั้ง ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
แหล่งข่าวกล่าวว่า ต่อไปนี้การแก้ไขปัญหาความมั่นคงของประเทศ จะใช้เพียง พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มาใช้เป็นเครื่องมือของเจ้าหน้าที่รัฐ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เพราะพ.ร.บ.ความมั่นคงภายใน ราชอาณาจักร ถือเป็นกฎหมายที่เบาที่สุด รองจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกฎอัยการศึก
"ทั้งนี้หน่วยงานด้านความมั่นคงได้มีการประเมินแล้วว่า การนำ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯมาใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันน่าจะเหมาะสมที่สุด อีกทั้งการนำ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวมาใช้ ก็เป็นเพียงเลือกใช้ในพื้นที่ที่มีแนวโน้มสถานการณ์รุนแรง เพื่อป้องกันยับยั้ง และควบคุมไม่ให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย อีกทั้งการเลือกใช้เจ้าหน้าที่ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น" แหล่งข่าวระบุ
“เทพไท” เตือน นปช.อย่าคิดป่วน
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่แกนนำ นปช.ประกาศนัดรวมพลเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลอีกครั้ง ในวันที่ 17 พ.ค.ว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเหตุการณ์ควบคุมการก่อการจลาจลของกลุ่มม็อบเสื้อแดง ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา แกนนำนปช.ได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ และได้รับการอนุญาตให้ประกันตัวจากศาล โดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่กลับมาเคลื่อนไหวสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมืองอีก
แต่เมื่อมีแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศว่าจะต่อสู่ต่อไป ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณให้กลุ่มคนเสื้อแดง ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากวันครบรอบเหตุการณ์ 17 พ.ค.หรือพฤษภาทมิฬ เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงให้ประชาชนสับสนว่า เหตุการณ์เมื่อ13 เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นเรื่องการต่อสู้ที่มีอุดมการณ์เหมือนกับการเรียกร้องประชาธิปไตยในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ทั้งที่เหตุการณ์ทั้งสองครั้ง แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ทั้งนี้ เหตุพฤษภาทมิฬเป็นเรื่องของการเรียกร้องประชาธิปไตย ที่ให้นายกฯ มาจากการเลือกตั้งและ เป็นชัยชนะของประชาชนคนทั้งชาติ ต่างกับกรณีที่ม็อบเสื้อแดง ที่เคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อ้างถึงประชาธิปไตย แต่กลับลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยรวม มีการเอารถแก็สมาข่มขู่ ปิดถนน สี่แยก สร้างความเดือดร้อนให้คนในสังคมโดยรวม ถือเป็นประชาธิปไตยจอมปลอมและเป็นผลงานอัปยศของกบฏป่วนชาติบ้านเมือง
"การคลื่อนไหวของแกนนำ นปช. เป็นการทำผิดเงื่อนไขของศาลหรือไม่ ถ้าขัดต่อเงื่อนไข ทางตำรวจก็ควรที่จะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อถอนการประกันตัวให้แกนนำ นปช.เหล่านี้ กลับเข้าสู่ห้องขังอีกครั้งเพื่อให้เข็ดหลาบ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองก็จะกลับไปสู่สภาพวุ่นวาย มีการสร้างมวลชนป่วนกรุงอีก"นายเทพไทกล่าว.
ที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาคารพญาไท พลาซ่า เมื่อเวลา 09.00 น. วานนี้ (30 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้บรรยายพิเศษเรื่อง "แนวนโยบายในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และสังคม" ตอนหนึ่งว่า ปัญหาเศรษฐกิจจะแก้ไม่ได้ถ้าหากสถานการณ์ทางการเมืองไม่เอื้อให้ทำงาน
“บอกตรงๆว่า 3 เดือนแรกที่เข้ามาทำงาน พยายามใช้แนวทาง ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ผมไม่ไปตอบโต้ ต่อล้อต่อเถียงกับใคร ให้ใช้สิทธิ เสรีภาพเต็มที่ นึกว่าจะไม่มีปัญหา แต่ต้องยอมรับว่า ผมประเมินพลาดไป ในที่สุดฝ่ายที่ไม่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ มีอยู่จริงๆ พร้อมที่จะใช้กำลังยกระดับ ปลุกระดม ปิดถนน สถานที่ราชการ ไล่ล่าฆ่าบุคคลสำคัญ ทำกันถึงขนาดนั้น จึงเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นจนเราต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งผมหลีกเลี่ยงมาตลอด และพยายามใช้ ไม่ให้นำไปสู่ปัญหาที่มาบอกว่าเราใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ พยายามทำทุกอย่าง อย่างโปร่งใส ขอเปิดสภาเอง ยินดีรับฟัง ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ และให้ฝ่ายนิติบัญญัติเข้าตรวจสอบข้อมูลต่อ หากมีใครติดใจ ก็ให้ดำเนินการไป" นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนการแก้ปัญหาทางการเมือง ได้มีคณะกรรมการที่ฝ่ายนิติบัญญัติตั้งมาอีกชุด ซึ่งน่าเป็นห่วงอยู่ คิดว่าลำพังนักการเมืองแก้ตรงนั้นไม่ได้ เพราะมีความหวาดระแวง มีข้อครหาว่า นักการเมืองจะมีความสนใจเกี่ยวกับประเด็นการเมืองเอง หวังว่า ฝ่ายนิติบัญญัติจะเข้าใจ และเปิดกระบวนการให้กว้าง ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าถ้าทำได้ หรือมีกระบวนการที่คนส่วนใหญ่ ยอมรับ ภายใน 6-7 เดือนข้างหน้า รัฐบาลต้องเร่งทำคือ เรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา วางกรอบกระตุ้นเศรษฐกิจ 2-3 ปีข้างหน้า ออกกฎหมายให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ ทำให้เราผ่านพ้นวิกฤติปีนี้ไปได้ ซึ่งต่างประเทศเชื่อว่าปีหน้าวิกฤติเศรษฐกิจจะเบาบางลง แต่ตนยังมีความเชื่อว่า อาจจะได้เร็วกว่านั้น ถ้าประเทศใหญ่ๆเร่งกวาดบ้านของตัวเองให้เรียบร้อย โดยเฉพาะเรื่องสถาบันการเงิน
"ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะมีความอุ่นใจว่าเราได้ประคับประคองบ้านเมือง ผ่านช่วงนี้ไปแล้ว หลังจากนั้น ถ้าเขาบอกว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ หรือยุบสภา ผมไม่มีอะไรขัดข้องอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่จะคืนความเป็นปกติกลับมา แต่ว่า 6-7-8 เดือนข้างหน้า ผมคิดว่ายังมีความละเอียดอ่อนอยู่มาก ประการหนึ่งคือ ยังมีคนบางฝ่ายที่ยังยืนยันว่าจะต่อสู้ วันนี้พร้อมจะต่อสู้โดยใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรง จะพูดจริงพูดขู่อย่างไรก็แล้วแต่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนที่คิดแบบนี้ ประการที่ 2 ยังไม่ชัดเจนว่า กระบวนการฝ่ายนิติบัญญัติ ที่พยายามแก้ไขคลี่คลายเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน พยายามหาทางไปสู่ความสำเร็จ"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงตอบคำถาม นายอภิสิทธิ์ ได้ชี้แจงถึงการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นในวงราชการว่า ทางรัฐบาลมีมาตรการ หลักเกณฑ์อยู่แล้ว ทั้งการปรับปรุงกฎหมาย ป.ป.ช. และมีการยกเลิกการ สิ้นอายุความของคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตต่างๆ รวมไปถึงการรณรงค์ให้เกิดความ โปร่งใส นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้รัฐบาลรณรงค์ให้ประชาชนรับทราบข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อให้เกิดการสร้างความสมานฉันท์ ละลายสีกลุ่มต่างๆในสังคม โดยมีข้อเสนอให้ใช้วิธีการชี้แจงผ่านสื่อมวลชนต่างๆ เชื่อว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาการแบ่งแยกในสังคมได้
ทั้งนี้ มีการสอบถามนายกฯ ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศ เป็นเพราะระบบ หรือตัวบุคคลไม่ดี ซึ่งนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทั้งระบบ และคนมีปัญหา ภาพใหญ่ของระบบขณะนี้ บางครั้งเราเอาการเมืองไปแก้กฎหมาย เช่น เอาเสียงส่วนใหญ่ชี้ถูกชี้ผิด บางทีเอากฎหมายไปแก้การเมือง ซึ่งจะเกิดความขัดแย้งกัน มันไม่ยาก ถ้าเราวิเคราะห์ ให้ถูกโรค เหมือนกับความคาดหวังต่อนักการเมือง ต้องการให้นักการเมืองทำอะไร เป็นแบบไหน ถือเป็นสิ่งที่แก้ยากกว่า
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เตรียมจัดส่งกำลังพล 4 พันนาย ลงพื้นที่เพื่อชี้แจงกรณี ถูกกล่าวหาว่าทหารฆ่าประชาชน ว่า ที่ผ่านมามีความพยายาม บิดเบือนข้อเท็จจริง ทหารคงไม่ต้องการให้ประชาชนเข้าใจผิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการลงไป ล้างสมองประชาชน และเป็นการปูทางเพื่อเตรียมการเลือกตั้งใหม่ ให้รัฐบาล นายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องเลือกตั้งใหม่ยังอีกนาน อย่าเพิ่งไปคิด
รัฐบาลเร่งทำวีซีดีชี้แจง
ขณะที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กอ.รมน. จะส่งทหาร 4,000 นายลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน เนื่องจากแกนนำกลุ่มเสื้อแดงได้พยายามกล่าวหาทหารตลอดเวลาว่า ทหารฆ่าประชาชน มีการทำวีซีดี ไปแจก เมื่อดูเนื้อหาแล้วก็มีสิ่งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง จึงทำให้ทหารถูกเข้าใจผิด เขาจึงหาโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริง ส่วนการชี้แจงจะเรียกว่าล้างสมองหรือไม่ก็คงขึ้นอยู่กับเนื้อหา แต่ตนเชื่อว่า คนที่รับฟังก็คงจะมีวิจารณญาณ
นายสาทิตย์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลก็กำลังทำวีซีดี ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ โดยใช้ชื่อว่า "รวมพลังคนไทย ก้าวข้ามสงครามกลางเมือง" เนื้อหาจะมีความยาว 17 นาที โดยจะเล่าถึงจุดยืนของรัฐบาลต่อการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.ว่า รัฐบาลมีจุดยืน ที่ยอมรับการชุมนุมที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และในที่สุดจุดยืนของการชุมนุม เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และวีธีการจัดการของรัฐบาลเป็นอย่างไร โดยจะมุ่งเน้นที่ ข้อเท็จจริง และมุ่งการรวมพลังคนไทยเพื่อก้าวข้ามสงครามกลางเมืองนี้ และจะขอความร่วมมือสื่อในการเผยแพร่ โดยให้แต่ละสถานีจัดเวลาออกอากาศตามความเหมาะสม
เปิดเว็บไซต์ชี้แจงสถานการณ์
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้ตนทำเว็บไซต์ ในนามของสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยใช้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร เป็นตัวหลักในการรวมรวมข้อมูล และตัวเว็บไซต์ ขณะนี้ออกแบบเสร็จแล้วภายในวัน 2 จะนำมาเผยแพร่ได้ ใช้ชื่อว่า www.factreport. go.th จะเปิดตัวเว็บไซต์ ในวันที่ 3 พ.ค.นี้ โดยมีเนื้อหา เป็นเอกสารที่เกี่ยวกับการสรุปรวบรวมเหตุการณ์ และคลิปภาพต่างๆ ที่จะลงให้เห็นว่า สภาพเหตุการณ์ ที่มีข้อถกเถียง หรือเหตุการณ์ยืนยันว่าไม่ได้ เป็นการชุมนุมโดยสงบสันติ ไม่มีอาวุธ
“กลุ่มคนเสื้อแดงก็ประกาศว่า จะเล่นเกมใต้ดิน กลุ่มคนเสื้อแดงที่นิยมความรุนแรงก็จะใช้วิธีกระซิบข้างหู เป็นการบอกเล่าข่าวลือ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่อันตรายหากไม่มีการชี้แจง"
ส่วนที่มีการหวาดระแวงการลงพื้นที่ของทหารนั้น คงไม่ต้องเป็นห่วง เพราะมีสื่อมวลชนร่วมอยู่ด้วย หากไปทำอะไร คงปกปิดไม่ได้ และคนที่เข้าไปฟังก็เป็นผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชาวบ้าน ต่างก็มีวิจารณญาณทั้งนั้น จึงคิดว่าอย่าไประแวงเรื่องที่จะมีการชี้แจง
นายสาทิตย์ ยังกล่าวถึงเรื่องที่กลุ่มเสื้อแดงต้องการให้คืนอุปกรณ์ของสถานีโทรทัศน์ ดีสเตชั่น ว่า ไม่ต้องขอคืน เพราะรัฐบาลไม่ได้เก็บไปไหน การดำเนินการ ปิดวิทยุชุมนุม และดีทีวี เป็นรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ กทช. โดยเข้าไปดำเนินการ ในสองส่วนคือการใช้ พ.ร.บ.วิทยุโทรคมนาคม ปี 2498 คือ การครอบครอง และตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์โดยมิชอบ กับการใช้กฏหมาย อาญา มาตรา 116 ที่มีการกระทำการปลุกปั่น ยุยง ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และเท่าที่ทราบการดำเนินการยังอยู่ในขั้นตอนทางกฎหมายอยู่ ซึ่งหากฝ่ายเสื้อแดงจะเปิดอีกก็เปิดได้ ด้วยการไปขออุนุญาตจาก กทช. เวลานี้ระเบียบเขาก็เสร็จแล้ว
ส่วนที่กลุ่มเสื้อแดงขู่ว่าจะไปยื่นขอให้ศาลคุ้มครองแบบ เอเอสทีวี นายสาทิตย์ กล่าวว่า เขาก็ขอได้แต่ไม่รู้ว่าจะขอตรงไหน เพราะกรณีมันต่างกับ เอเอสทีวี ซึ่งตอนนั้น เอเอสทีวี เป็นสถานีดาวเทียม ที่ส่งสัญญาญผ่านทาง รีสไลน์ ไปยัง กสท. และรัฐบาลยุคนั้นได้บล็อกสัญาญไม่ให้ผ่าน กสท. เขาจึงไปร้อง กสท.ให้ส่งสัญาญผ่าน กสท. แต่กรณีของ ดีทีวี เป็นคนละกรณี ทางดีทีวี อัพลิ้งค์สัญญาณผ่านทางดาวเทียมไทยคม และตั้งสถานีอยู่ที่ ห้างอิมพิเรียล ลาดพร้าว หากจะไปร้องศาลไปร้องได้ แต่ต้องดูว่าประเด็นใด
ส่วนที่กล่าวหาว่ารัฐบาลมี 2 มาตรฐานจะแก้ไขภาพตรงนี้ได้อย่างไรนั้น นายสาทิตย์ กล่าวว่า รัฐบาลสามารถชี้แจงทุกเรื่องว่า ไม่มีสองมาตรฐาน เรื่องข้อกล่าวหาเป็นข้อกล่าวหาที่พยายามหยิบยกเหตุการณ์คนละช่วงรัฐบาลมาเปรียบเทียบกัน อย่างกรณี เอเอสทีวี กับ ดีทีวี มันคนรัฐบาลกันเลย ยุค เอเอสทีวีเป็นยุครัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่ยุค ดีทีวี เป็นยุครัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การดำเนินการทางกฏหมาย ก็ใช้กฏหมายตัวเดียวกัน และวีธีดำเนินการก็เป็นวิธีที่เจ้าหน้าที่ไปดำเนินการ
ทหารไปแก้ไขความยากจน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดง จะใช้กลุ่มคนเดือนตุลาเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหว ว่า ตนไม่ทราบ ยังไม่มีข้อมูล เมื่อถามว่าฝ่ายความมั่นคงได้มีการประเมิน หรือไม่ว่า คนที่มีแนวคิดในลักษณะดังกล่าวยังมีอีกหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้จะตอบอย่างไร เป็นเรื่องของหน่วยข่าวกรอง ให้เขาวิเคราะห์ไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่เป็น รมว.กลาโหม หากมีการใช้แนวทางคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นจริง จะแก้ไขอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ในอดีต เราก็เคยต่อสู้มาโดยใช้แนวทางนโยบาย 66/23 ในการแก้ไขปัญหา ส่วนเรื่องนี้จะนำกลับมาใช้หรือไม่นั้น ยังพูดคุยกันได้ในเรื่องของความไม่เข้าใจกัน และนายกรัฐมนตรี ก็เปิดโอกาสในสภาให้มีการดำเนินการได้อยู่แล้ว คงเป็นเรื่องของทางสภาที่จะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหา
ส่วนที่มีกำลังทหารลงพื้นที่ภาคอีสานนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เขาลงไป แก้ไขปัญหาความยากจน เป็นเรื่องของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งเป็นอำนาจของ กอ.รมน. ตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตามเหล่าทัพ ได้พยามชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนถึง สถานการณ์ของบ้านเมืองอยู่แล้ว ตนไม่ต้องกำชับ ถือเป็นเรื่องปกติในการดูแลความมั่นคงของชาติ เพราะทุกคนจะต้องพยายามทำให้เกิดความมั่นคงในทุกระดับ เพื่อประเทศชาติจะได้เกิดความสงบสุข รวมทั้งสื่อมวลชนด้วยที่จะต้องช่วยกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ไม่มีความรู้อาจจะหลงไปกับคำพูดของนักการเมือง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้ กอ.รมน. คงจะต้องชี้แจงในภาพรวม เมื่อถามย้ำว่า จำเป็นจะต้องชี้แจงคำว่าคอมมิวนิสต์ และประชาธิปไตย ว่าแตกต่างกันอย่างไรหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าไม่ต้องชี้แจง เพราะเรื่องพวกนี้ ทุกฝ่ายรู้ดี และเข้าใจ
เตรียมใช้ กม.ความมั่นคงคุมม็อบ
แหล่งข่าวด้านความมั่นคง เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ได้เตรียมใช้กลไกของ กอ.รมน. ในการแก้ไขปัญหาการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด ที่ยังคงมีกลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ โดยเตรียมผลักดัน พ.ร.บ. ด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 51 มาใช้ในพื้นที่ที่มีการประเมินสถานการณ์ว่า จะเป็นภัยต่อความมั่นคง โดยจะเป็นลักษณะในการป้องกัน และระงับยับยั้ง ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
แหล่งข่าวกล่าวว่า ต่อไปนี้การแก้ไขปัญหาความมั่นคงของประเทศ จะใช้เพียง พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มาใช้เป็นเครื่องมือของเจ้าหน้าที่รัฐ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เพราะพ.ร.บ.ความมั่นคงภายใน ราชอาณาจักร ถือเป็นกฎหมายที่เบาที่สุด รองจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกฎอัยการศึก
"ทั้งนี้หน่วยงานด้านความมั่นคงได้มีการประเมินแล้วว่า การนำ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯมาใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันน่าจะเหมาะสมที่สุด อีกทั้งการนำ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวมาใช้ ก็เป็นเพียงเลือกใช้ในพื้นที่ที่มีแนวโน้มสถานการณ์รุนแรง เพื่อป้องกันยับยั้ง และควบคุมไม่ให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย อีกทั้งการเลือกใช้เจ้าหน้าที่ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น" แหล่งข่าวระบุ
“เทพไท” เตือน นปช.อย่าคิดป่วน
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่แกนนำ นปช.ประกาศนัดรวมพลเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลอีกครั้ง ในวันที่ 17 พ.ค.ว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเหตุการณ์ควบคุมการก่อการจลาจลของกลุ่มม็อบเสื้อแดง ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา แกนนำนปช.ได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ และได้รับการอนุญาตให้ประกันตัวจากศาล โดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่กลับมาเคลื่อนไหวสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมืองอีก
แต่เมื่อมีแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศว่าจะต่อสู่ต่อไป ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณให้กลุ่มคนเสื้อแดง ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากวันครบรอบเหตุการณ์ 17 พ.ค.หรือพฤษภาทมิฬ เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงให้ประชาชนสับสนว่า เหตุการณ์เมื่อ13 เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นเรื่องการต่อสู้ที่มีอุดมการณ์เหมือนกับการเรียกร้องประชาธิปไตยในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ทั้งที่เหตุการณ์ทั้งสองครั้ง แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ทั้งนี้ เหตุพฤษภาทมิฬเป็นเรื่องของการเรียกร้องประชาธิปไตย ที่ให้นายกฯ มาจากการเลือกตั้งและ เป็นชัยชนะของประชาชนคนทั้งชาติ ต่างกับกรณีที่ม็อบเสื้อแดง ที่เคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อ้างถึงประชาธิปไตย แต่กลับลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยรวม มีการเอารถแก็สมาข่มขู่ ปิดถนน สี่แยก สร้างความเดือดร้อนให้คนในสังคมโดยรวม ถือเป็นประชาธิปไตยจอมปลอมและเป็นผลงานอัปยศของกบฏป่วนชาติบ้านเมือง
"การคลื่อนไหวของแกนนำ นปช. เป็นการทำผิดเงื่อนไขของศาลหรือไม่ ถ้าขัดต่อเงื่อนไข ทางตำรวจก็ควรที่จะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อถอนการประกันตัวให้แกนนำ นปช.เหล่านี้ กลับเข้าสู่ห้องขังอีกครั้งเพื่อให้เข็ดหลาบ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองก็จะกลับไปสู่สภาพวุ่นวาย มีการสร้างมวลชนป่วนกรุงอีก"นายเทพไทกล่าว.