"ซีอีอีโอ" ไทยคม เปิดโต๊ะแถลงข่าว หลังประกาศลาออกจากตำแหน่ง ในการประชุมบอร์ดวันนี้ ปฏิเสธไม่เคยให้สัญญาณวีดีโอลิงก์ "ทักษิณ" ยันการประกาศลาออก หลังถูกรัฐบาลเข้าควบคุมสถานีดาวเทียม ไม่เกี่ยวประเด็นการเมือง ย้ำไม่แรงกดดันจากรัฐบาลและอดีตนายกฯ แต่รู้สึกอิ่มตัวกับการทำงานที่ไทยคมนานเกือบ 18 ปี พร้อมยอมรับบผิดต่อการก่อจราจลของกลุ่มหางแดง โดยมีการปลุกระดมผ่าน "ดีทีวี" ชี้ ไม่ว่าเป็นใคร ก็ต้องสั่งปิด
ดร.ดำรงค์ เกษมเศรษฐ์ อดีตประธานกรรมการบริหาร (ซีอีอีโอ) บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือTHCOM เปิดแถลงภายหลังการลาออกในที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ในวันนี้ (23 เมษายน 2552) โดยระบุว่า ในช่วงที่ตนเองเป็นซีอีโอ บริษัทไม่เคยให้สัญญาณใช้ช่องสัญญาณสื่อสารกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ในการถ่ายทอดวิดีโอลิงก์มายังการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ทางเทคนิคอยู่แล้ว เพราะเป็นการส่งสัญญาณจากนอกประเทศ
“คุณทักษิณไม่ส่งสัญญาณผ่านไทย 100% ในส่วนของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม DTV เขามีใบอนุญาตตามกฎหมาย เราเป็นผู้ให้บริการออกอากาศเท่านั้น เมื่อเขาทำผิดกฎหมายเราก็ต้องสั่งปิด”
ดร.ดำรงค์ กล่าวถึงสาเหตุที่ต้องตัดสินใจลาออกในช่วงเวลานี้ อาจจะถูกมองได้ว่าเป็นประเด็นทางการเมือง แต่ตนเองขอปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมระบุถึงสาเหตุที่ลาออกในวันนี้ เนื่องจากรู้สึกอิ่มตัวในการทำงานที่บริษัทนี้ ซึ่งได้ทำงานมานานถึง 17 ปี 9 เดือน และไม่ได้รับแรงกดดันจากอดีตนายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาล รวมถึงบอร์ดบริหารแต่อย่างไร
ดร.ดำรงค์ ยอมรับว่า หตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่บุกเข้าตรวจสอบและควบคุมสถานีดาวเทียมไทยคม เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2552 ที่กลุ่มคนเสื้อแดงก่อจราจลหลายจุดในกรุงเทพฯ ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำหน้าที่ตรงนี้ คงต้องสั่งปิดสถานีอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ในส่วนของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ดี สเตชั่น (DTV) ยังไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้ว่าจะเปิดบริการได้อีกหรือไม่ เพราะยังมีใบอนุญาต ต้องให้เป็นรัฐบาลเป็นผู้ตัดสินใจ เนื่องจากเวลานี้ยังอย่ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐบาลมีอำนาจสั่งปิดได้
สำหรับอนาคตหลังจากนี้ ดร.ดำรงค์ กล่าวว่า ได้รับการทาบทามให้ร่วมบริหารในองค์กรอื่นแล้ว แต่โดยมารยาทไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นที่ใด
ในส่วนของผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่า ธุรกิจดาวเทียมจะถึงจุดคุ้มทุนและปีหน้าจะเริ่มมีกำไร ถึงเวลานี้แล้วยังไม่มีแผนปล่อยดาวเทียมดวงใหม่ เนื่องจากต้องรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจโลกก่อน
อย่างไรก็ตามธุรกิจดาวเทียมไอพีสตาร์ยังมีแนวโน้มที่ดี มีอัตราการเติบโต 30% ต่อปี ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาขอใบอนุญาตประกอบกิจการในประเทศอินโดนีเซีย และอินเดีย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้