xs
xsm
sm
md
lg

รู้ทันการเงิน:การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือยังไม่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อประเทศไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาทำให้ประเทศไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ หลายคนอาจกังวลว่าการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือและแนวโน้มที่เป็นลบ อาจจะสร้างปัญหาให้แก่ประเทศได้ ทว่าผมมีความเห็นว่าการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้ ยังไม่ได้สร้างหรือเป็นปัญหาที่รุนแรงเท่าใดนัก ทั้งนี้ เพราะพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยโดยเฉพาะภาคต่างประเทศยังคงแข็งแกร่ง และถ้าเราสามารถสร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้กลับมาได้ ก็ย่อมสามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้เช่นกัน

ความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงหนึ่งระดับ โดยในวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ฟิทช์ เรทติ้ง ประกาศลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวจาก BBB+ เป็น BBB และลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินบาทระยะยาวจาก A เป็น A- นอกจากนี้ ยังปรับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นจาก F2 เป็น F3 และ อันดับเครดิต Country Ceiling จาก A- เป็น BBB+ รวมทั้งปรับทิศทางอันดับความน่าเชื่อถือจากระดับ “มีเสถียรภาพ” เป็น “ลบ” อีกด้วย

ขณะที่ในวันที่ 14 เมษายน สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์พัวร์ (S&P) ได้ประกาศปรับลดเครดิตพันธบัตรสกุลเงินบาทลงจากระดับ A เหลือ A- แต่ยังคงเครดิตสกุลเงินต่างประเทศไว้คงเดิมที่ BBB+ ส่วนสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ได้คงเครดิตของสกุลเงินต่างประเทศของไทยไว้ในระดับเดิมที่ BBB+ แต่ได้ประกาศเตือนว่าอาจจะปรับลดเครดิตลงในอนาคต เมื่อวันที่ 13 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในรอบ 4 ปี

แม้ว่าประเทศไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง และถูกปรับลดทิศทางแนวโน้มจากมีเสถียรภาพมาเป็นด้านลบ แต่ในปัจจุบันการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ได้ส่งผลต่อเราเท่าใดนัก เนื่องจากอันดับความน่าเชื่อถือหรือเครดิตของประเทศไทยยังจัดว่าอยู่ในอันดับที่ลงทุนได้หรือเป็นระดับ Investment Grade (อันดับไม่ต่ำกว่า BBB-) นักลงทุนสถาบัน ซึ่งเป็นผู้ลงทุนต่างชาติที่เป็นนักลงทุนหลักในประเทศไทยยังสามารถที่จะลงทุนได้ และการปรับลดดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการกู้เงินของภาครัฐเท่าใดนัก เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศถือตราสารหนี้ภาครัฐเพียงร้อยละ 1.5 ของตราสารหนี้ภาครัฐทั้งหมด และที่สำคัญคือประเทศไทยเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่มีเงินสำรองระหว่างประเทศสูงกว่าหนี้ต่างประเทศ โดยในปัจจุบันไทยมีเงินสำรองระหว่างประเทศสูงถึงประมาณ 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่าหนี้ต่างประเทศทั้งหมดที่มีอยู่ 64,847 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เกือบเท่าตัว ทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางการเงินระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง ล่าสุดวารสาร The Economist ได้จัดอันดับประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางการเงินระหว่างประเทศในอันดับที่ 5 จากประเทศกำลังพัฒนาทั้งหมด ดังนั้น การปรับลดเครดิตในรอบนี้จึงจะไม่ส่งผลกระทบซ้ำเติมความสามารถในการกู้เงินจากต่างประเทศของไทยเท่าใดนัก

ปัจจุบัน วิกฤติการเงินโลกที่เกิดขึ้นทำให้ความต้องการเงินทุนโดยประเทศพัฒนาแล้วในตลาดเงินโลกมีสูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลของประเทศพัฒนาแล้วเกือบทุกประเทศต่างก็มีการขาดดุลการคลังจำนวนมาก เพราะต้องนำเงินมาช่วยเหลือและฟื้นฟูสถาบันการเงินรวมทั้งเพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศของตน เช่น สหรัฐฯคาดว่าจะขาดดุลถึงประมาณร้อยละ 8 ของมูลค่าเศรษฐกิจ (GDP) อังกฤษจะขาดดุลถึงร้อยละ 13 และกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโรจะขาดดุลร้อยละ 5 ทำให้ประเทศเหล่านี้ต้องกู้เงินจำนวนมาก แน่นอนว่าธุรกิจและแม้กระทั่งรัฐบาลไทยเองก็ยากที่จะแข่งขันในการกู้เงินจากตลาดการเงินโลกกับประเทศเหล่านี้ ดังนั้น การปรับลดเครดิตก็แทบไม่มีผลอะไรเลยกับการกู้เงินจากต่างประเทศของไทยในปัจจุบัน เนื่องจากเรากู้ได้ค่อนข้างยากอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณว่าความเชื่อมั่นอาจจะกลับมาเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยเมื่อวันที่ 16 และ 17 เมษายนที่ผ่านมาได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าระดับก่อนเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น และค่าเงินบาทก็กลับมาแข็งค่าขึ้นหลังจากที่ความวุ่นวายทางการเมืองได้ยุติลง

แม้ว่าในปัจจุบัน ผลของการปรับลดอันดับเครดิตจะมีผลต่อประเทศไทยอย่างจำกัด แต่ทว่าไม่ได้หมายความว่าเราจะนิ่งนอนใจปล่อยให้เหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองบานปลายออกไป ซึ่งอาจจะทำให้อันดับเครดิตของไทยลดลงต่ำกว่า Investment Grade ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงก็จะส่งผลอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ ถ้าปล่อยให้อันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับต่ำ เมื่อวิกฤติการเงินจบลงก็จะทำให้ธุรกิจและรัฐบาลไทยต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น ทุกฝ่ายควรจะเร่งแก้ปัญหาให้คลี่คลายลงโดยเร็ว

                           Bunluasak.p@bankthai.co.th
กำลังโหลดความคิดเห็น