ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมจับมือรัฐบาล และกระทรวงการคลัง เพิ่มจุดบินให้ข้อมูลนักลงทุนต่างชาติถึงแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น “ ภัทรียา” เชื่อตลาดหุ้นไทยวานนี้ทรงตัวได้จากอานิสงส์ตลาดหุ้นต่างประเทศดีดขึ้น ด้านนักเศรษฐศาสตร์แจงเหตุดัชนีหุ้นปิดติดลบเพราะถูกปรับลดเครดิต เรทติ้ง อีกทั้งภาพรวมจะเสียโอกาสเม็ดเงินไหลเข้ามา แม้เศรษฐกิจในภูมิภาคเริ่มฟื้น ขณะที่ดัชนีหุ้นติดลบแค่ 0.91 จุด ฝรั่งเทขายตามคาด 2.6 พันล้านบาท รายย่อย-สถาบันร่วมใจเข้าเก็บ แต่มูลค่าซื้อขายพุ่งสูงสุดในรอบ 6 เดือนถึง 2.2 หมื่นล้านบาท กูรูแนะนำชะลอการลงทุน รอดูสถานการณ์ และผลประกอบการไตรมาส1
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯเตรียมโรดโชว์ต่างประเทศมากขึ้น จากเดิมที่มีกำหนดที่จะไปโรดโชว์ครั้งเดียวในกลางเดือนพฤษภาคมกับบล.บีเอ็นพี พารีบาล์ เพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่นักลงทุนต่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทยและภาวะการลงทุน โดยจะมีการเชิญภาครัฐกระทรวงการคลังไปช่วยในการให้ข้อมูล ซึ่งขณะนี้มีโบรกเกอร์หลายแห่งได้มีการชวนให้ตลาดหลักทรัพย์ฯไปร่วมโรดโชว์ โดยอยู่ระหว่างการประสานงาน ซึ่งประเทศที่จะไปโรดโชว์นั้นจะเป็นในแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา เพราะ ส่วนใหญ่นักลงทุนที่เข้ามาเทรดหุ้นไทยจะอยู่ในแถบนั้น
“ตลาดหลักทรัพย์ฯมีแผนที่จะไปโรดโชว์ต่างประเทศมากขึ้นจากเดิมที่มีกำหนด 1 ครั้งในกลางเดือนพ.คนี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับบล.ต่างประเทศ โดยนักลงทุนต่างประเทศหวังที่อยากจะให้รัฐบาลไปด้วย เพื่อที่จะได้ทราบแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล จึงเป็นเรื่องที่ดีหากภาครัฐและเอกชนช่วยกันในการให้ข้อมูลแก่นักลงทุน”นางภัทรียา กล่าว
ทั้งนี้จากการที่ตลาดหลักทรัพย์เปิดซื้อขายวันแรกหลังจากที่ปิดทำการหลายวันและหลังจากสถานการณ์การชุมนุมคลี่คลายนั้น ส่วนตัวได้มีการติดตามภาวะการลงทุนในช่วงเริ่มเปิดการซื้อขายพบว่าในช่วงแรกดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นภูมิภาคและตลาดหุ้นสหรัฐฯมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจึงส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยทรงตัวปรับตัวลดลงไม่มากนัก
ขณะเดียวกัน จากการสอบถามไปยังบล.ในประเทศและต่างประเทศพบว่านักลงทุนไม่ได้ตื่นตกใจเทขายหุ้นออกมาจากที่นักลงทุนชะลอดูเหตุการณ์ และ สถานการณ์คลี่คลายในทิศทางที่ดี รวมถึงได้มีการติดตามการซื้อขายของกองทุนไทยแลนด์ฟันด์ที่มีการซื้อขายในสหรัฐฯ พบว่าไม่ได้มีการปรับตัวลดลงมาก จึงทำให้เชื่อว่าแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติวานนี้จะมีไม่มากนัก
นางภัทรียา กล่าวว่า อย่างไรก็ตามจากที่บริษัท สแตนดาร์แอนด์พัวร์ หรือ S&Pมีการปรับลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือของไทยในสกุลเงินบาท นั้นส่วนตัวได้มีการติดตามการซื้อขายตราสารหนี้ไทยในต่างประเทศ ยังไม่พบว่ามีแรงเทขายออกมา แต่อย่างใด
**ชี้ศก.ไทยดอกาสฟื้นตัวยาก**
ด้าน นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) กล่าวว่า จากการที่ไทยถูกลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือนั้นกระทบการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (16 เม.ย.)น้อยมาก แต่ในระยะยาวนั้นโอกาสเม็ดเงินต่างประเทศจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็มีน้อยมากเช่นกัน จากนักลงทุนไม่มั่นใจในสถานการณ์การเมืองในประเทศนั่นเอง
“จากปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงสงกรานต์นั้นทำให้ไทยเสียโอกาสจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจในภูมิภาคที่มีการปรับตัวขึ้นที่จะมีเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุน ซึ่งดูจากเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือที่มีเศรษฐกิจตกต่ำแรงมนช่วงที่ผ่านมาเริ่มฟื้นดีขึ้น มีเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้าไปลงทุน ส่วนในฝั่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นั้นหากมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุน แต่ประเทศไทยก็จะเสียโอกาสดังกล่าว ส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำและมีแนวโน้มลากยาวมากขึ้น”นางสาวอุสรา กล่าว
ทั้งนี้การที่จะเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศนั้น รัฐบาลจะต้องมีการเริ่มต้นใหม่ในการเรียกความเชื่อมั่นจากก่อนหน้าที่นายกรัฐมนตรีได้มีการเดินทางไปร่วมประชุมที่อังกฤษ ญี่ปุ่นนั้น เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างประเทศได้ แต่พอเกิดเหตุการณ์ชุมนุมทำให้ต้องเลื่อนการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนออกไปนั้น มีผลกระทบอย่างมากกับนักลงทุน่างประเทศ แต่การฟื้นการเชื่อมั่นนั้นจะต้องใช้เวลาที่นานเพราะ รัฐบาลต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสามารถแก้ไขปัญหา
นายวรภัทร โตธนะเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด กล่าวว่า เม็ดเงินที่จะไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยทั้งการลงทุนในตลาดหุ้น การลงทุนตรง (FDI)จะสะดุดจากเครดิตประเทศที่ลดลง ทำให้ไม่น่าสนที่จะเข้ามาลงทุน จากความเสี่ยงการลงทุนที่จะมากขึ้น ทำให้หันไปลงทุนประเทศอื่น ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนจะเป็นลักษณะชะลอตัวดังกล่าวไปอีกนาน เพราะนักลงทุนรอดูสถานการณ์ว่าไทยจะสามารถแก้ไขปัญหาทางการเมืองเพื่อไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอีกได้หรือไม่
**ตลาดหุ้นแกร่ง-นักลงทุนเชื่อมั่น**
สำหรับการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (16เม.ย.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯปิดที่ระดับ 452.97 จุด ลดลง 0.91 จุด หรือ -0.20% มูลค่าการซื้อขาย 22,149 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าการซื้อขายสูงสุดในรอบ 6 เดือน โดยตลอดทั้งวันหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกลบสลับกันไปมา ทำให้ดัชนีปรับตัวสูงสุดที่ 457.70 จุด และต่ำสุดที่ 446.96 จุด ทั้งนี้เพราะรับรู้ผลกระทบของเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงแม้ว่าปัญหาทางการเมืองจะสงบลงแต่เรรตติ้งเของประเทศถูกปรับลดความน่าเชื่อถือลง
ขณะเดียวกัน เมื่อจำแนกการซื้อขายตามประเภทนักลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างประเทศได้เทขายหุ้นออกมาจากความมั่นใจตามที่หลายฝ่ายได้คาดการณ์เอาไว้ถึง -2,666.63 ล้านบาท แต่นักลงทุนทั่วไปกล้าซื้อหุ้นสุทธิถึง 1,679.82 ล้านบาทจากความเข้าใจและเชื่อมั่นในสถานการณ์ เช่นเดียวกับสถาบัน ที่ซื้อสุทธิ 986.81 ล้านบาท
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (16เม.ย) ค่อนข้างผันผวน โดยแม้ว่าสถานการณ์ความร้อนแรงการเมืองได้คลี่คลายลงหลังจากทางรัฐบาลเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) จนทำให้สถานการณ์กลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าผลกระทบของเรื่องดังกล่าวนั้นยังไม่หายไป ส่งผลให้สถาบันจัดอันดับความเชื่อถือหลายแห่งออกมาปรับลดความเชื่อถือของประเทศไทยลง กดดันให้นักลงทุนมีแรงขายสะท้อนความกังวลผลกระทบประเด็นการเมืองต่อเศรษฐกิจออกมา
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้(17เม.ย.) คาดว่ายังแกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยทิศทางค่อนไปในทางลบ เพราะเชื่อว่าจะยังมีแรงขายเพื่อตอบรับข่าวการทยอยปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทย โดยสถาบันจัดอันดับความเครดิตต่างชาติที่มีออกมาต่อเนื่อง และมีความเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติจะลดพอร์ตการลงทุน เพื่อสะท้อนความเสี่ยง หลังจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ และกองทุนต่างประเทศ ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยลง ประกอบกับวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการซื้อขายในสัปดาห์
อย่างไรก็ตามแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/2552 ของบริษัทจดทะเบียนที่เชื่อว่าจะดีกว่าไตรมาส 4/2551 โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานอาจหนุนให้มีแรงซื้อเก็งกำไรสลับเข้ามา ดังนั้นจึงแนะนำนักลงทุนหากดัชนีเข้าใกล้ระดับ 460 จุด ให้รีบเทขายทำกำไร ทั้งนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ 450 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 460 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS กล่าวว่า บรรยากาศซื้อขายหลักทรัพย์วานนี้มีแรงซื้อสลับกับการแรงเทขายตลอดวันซึ่งสอดคล้องกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเอเชีย รวมถึงความวิตกกังวลของนักลงทุนหลัง S&P และ FIT สถาบันจัดอันดับเครดิตปรับลดความน่าเชื่อถือสกุลเงินไทยลง เนื่องจากความไม่สงบของการเมืองในประเทศ
“การซื้อขายหลักทรัพย์ของไทย น่าจะยังเงียบเหงา โดยนักลงทุนควรจับตาตลาดหุ้นต่างประเทศ การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (GDP) น้ำมันโลก ตลอดจนความเคลื่อนไหวของการเมืองไทย อย่างไรก็ตามมจากเหตุผลที่กล่าวมาจึงแนะนำให้ควรชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูความชัดเจนเรื่องต่างๆ โดยมีแนวรับ 442-445 จุด และแนวต้านที่ 460 จุด” นายชัย กล่าว
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯเตรียมโรดโชว์ต่างประเทศมากขึ้น จากเดิมที่มีกำหนดที่จะไปโรดโชว์ครั้งเดียวในกลางเดือนพฤษภาคมกับบล.บีเอ็นพี พารีบาล์ เพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่นักลงทุนต่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทยและภาวะการลงทุน โดยจะมีการเชิญภาครัฐกระทรวงการคลังไปช่วยในการให้ข้อมูล ซึ่งขณะนี้มีโบรกเกอร์หลายแห่งได้มีการชวนให้ตลาดหลักทรัพย์ฯไปร่วมโรดโชว์ โดยอยู่ระหว่างการประสานงาน ซึ่งประเทศที่จะไปโรดโชว์นั้นจะเป็นในแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา เพราะ ส่วนใหญ่นักลงทุนที่เข้ามาเทรดหุ้นไทยจะอยู่ในแถบนั้น
“ตลาดหลักทรัพย์ฯมีแผนที่จะไปโรดโชว์ต่างประเทศมากขึ้นจากเดิมที่มีกำหนด 1 ครั้งในกลางเดือนพ.คนี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับบล.ต่างประเทศ โดยนักลงทุนต่างประเทศหวังที่อยากจะให้รัฐบาลไปด้วย เพื่อที่จะได้ทราบแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล จึงเป็นเรื่องที่ดีหากภาครัฐและเอกชนช่วยกันในการให้ข้อมูลแก่นักลงทุน”นางภัทรียา กล่าว
ทั้งนี้จากการที่ตลาดหลักทรัพย์เปิดซื้อขายวันแรกหลังจากที่ปิดทำการหลายวันและหลังจากสถานการณ์การชุมนุมคลี่คลายนั้น ส่วนตัวได้มีการติดตามภาวะการลงทุนในช่วงเริ่มเปิดการซื้อขายพบว่าในช่วงแรกดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นภูมิภาคและตลาดหุ้นสหรัฐฯมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจึงส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยทรงตัวปรับตัวลดลงไม่มากนัก
ขณะเดียวกัน จากการสอบถามไปยังบล.ในประเทศและต่างประเทศพบว่านักลงทุนไม่ได้ตื่นตกใจเทขายหุ้นออกมาจากที่นักลงทุนชะลอดูเหตุการณ์ และ สถานการณ์คลี่คลายในทิศทางที่ดี รวมถึงได้มีการติดตามการซื้อขายของกองทุนไทยแลนด์ฟันด์ที่มีการซื้อขายในสหรัฐฯ พบว่าไม่ได้มีการปรับตัวลดลงมาก จึงทำให้เชื่อว่าแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติวานนี้จะมีไม่มากนัก
นางภัทรียา กล่าวว่า อย่างไรก็ตามจากที่บริษัท สแตนดาร์แอนด์พัวร์ หรือ S&Pมีการปรับลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือของไทยในสกุลเงินบาท นั้นส่วนตัวได้มีการติดตามการซื้อขายตราสารหนี้ไทยในต่างประเทศ ยังไม่พบว่ามีแรงเทขายออกมา แต่อย่างใด
**ชี้ศก.ไทยดอกาสฟื้นตัวยาก**
ด้าน นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) กล่าวว่า จากการที่ไทยถูกลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือนั้นกระทบการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (16 เม.ย.)น้อยมาก แต่ในระยะยาวนั้นโอกาสเม็ดเงินต่างประเทศจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็มีน้อยมากเช่นกัน จากนักลงทุนไม่มั่นใจในสถานการณ์การเมืองในประเทศนั่นเอง
“จากปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงสงกรานต์นั้นทำให้ไทยเสียโอกาสจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจในภูมิภาคที่มีการปรับตัวขึ้นที่จะมีเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุน ซึ่งดูจากเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือที่มีเศรษฐกิจตกต่ำแรงมนช่วงที่ผ่านมาเริ่มฟื้นดีขึ้น มีเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้าไปลงทุน ส่วนในฝั่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นั้นหากมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุน แต่ประเทศไทยก็จะเสียโอกาสดังกล่าว ส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำและมีแนวโน้มลากยาวมากขึ้น”นางสาวอุสรา กล่าว
ทั้งนี้การที่จะเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศนั้น รัฐบาลจะต้องมีการเริ่มต้นใหม่ในการเรียกความเชื่อมั่นจากก่อนหน้าที่นายกรัฐมนตรีได้มีการเดินทางไปร่วมประชุมที่อังกฤษ ญี่ปุ่นนั้น เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างประเทศได้ แต่พอเกิดเหตุการณ์ชุมนุมทำให้ต้องเลื่อนการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนออกไปนั้น มีผลกระทบอย่างมากกับนักลงทุน่างประเทศ แต่การฟื้นการเชื่อมั่นนั้นจะต้องใช้เวลาที่นานเพราะ รัฐบาลต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสามารถแก้ไขปัญหา
นายวรภัทร โตธนะเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด กล่าวว่า เม็ดเงินที่จะไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยทั้งการลงทุนในตลาดหุ้น การลงทุนตรง (FDI)จะสะดุดจากเครดิตประเทศที่ลดลง ทำให้ไม่น่าสนที่จะเข้ามาลงทุน จากความเสี่ยงการลงทุนที่จะมากขึ้น ทำให้หันไปลงทุนประเทศอื่น ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนจะเป็นลักษณะชะลอตัวดังกล่าวไปอีกนาน เพราะนักลงทุนรอดูสถานการณ์ว่าไทยจะสามารถแก้ไขปัญหาทางการเมืองเพื่อไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอีกได้หรือไม่
**ตลาดหุ้นแกร่ง-นักลงทุนเชื่อมั่น**
สำหรับการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (16เม.ย.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯปิดที่ระดับ 452.97 จุด ลดลง 0.91 จุด หรือ -0.20% มูลค่าการซื้อขาย 22,149 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าการซื้อขายสูงสุดในรอบ 6 เดือน โดยตลอดทั้งวันหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวกลบสลับกันไปมา ทำให้ดัชนีปรับตัวสูงสุดที่ 457.70 จุด และต่ำสุดที่ 446.96 จุด ทั้งนี้เพราะรับรู้ผลกระทบของเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงแม้ว่าปัญหาทางการเมืองจะสงบลงแต่เรรตติ้งเของประเทศถูกปรับลดความน่าเชื่อถือลง
ขณะเดียวกัน เมื่อจำแนกการซื้อขายตามประเภทนักลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างประเทศได้เทขายหุ้นออกมาจากความมั่นใจตามที่หลายฝ่ายได้คาดการณ์เอาไว้ถึง -2,666.63 ล้านบาท แต่นักลงทุนทั่วไปกล้าซื้อหุ้นสุทธิถึง 1,679.82 ล้านบาทจากความเข้าใจและเชื่อมั่นในสถานการณ์ เช่นเดียวกับสถาบัน ที่ซื้อสุทธิ 986.81 ล้านบาท
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (16เม.ย) ค่อนข้างผันผวน โดยแม้ว่าสถานการณ์ความร้อนแรงการเมืองได้คลี่คลายลงหลังจากทางรัฐบาลเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) จนทำให้สถานการณ์กลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าผลกระทบของเรื่องดังกล่าวนั้นยังไม่หายไป ส่งผลให้สถาบันจัดอันดับความเชื่อถือหลายแห่งออกมาปรับลดความเชื่อถือของประเทศไทยลง กดดันให้นักลงทุนมีแรงขายสะท้อนความกังวลผลกระทบประเด็นการเมืองต่อเศรษฐกิจออกมา
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้(17เม.ย.) คาดว่ายังแกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยทิศทางค่อนไปในทางลบ เพราะเชื่อว่าจะยังมีแรงขายเพื่อตอบรับข่าวการทยอยปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทย โดยสถาบันจัดอันดับความเครดิตต่างชาติที่มีออกมาต่อเนื่อง และมีความเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติจะลดพอร์ตการลงทุน เพื่อสะท้อนความเสี่ยง หลังจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ และกองทุนต่างประเทศ ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยลง ประกอบกับวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการซื้อขายในสัปดาห์
อย่างไรก็ตามแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/2552 ของบริษัทจดทะเบียนที่เชื่อว่าจะดีกว่าไตรมาส 4/2551 โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานอาจหนุนให้มีแรงซื้อเก็งกำไรสลับเข้ามา ดังนั้นจึงแนะนำนักลงทุนหากดัชนีเข้าใกล้ระดับ 460 จุด ให้รีบเทขายทำกำไร ทั้งนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ 450 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 460 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS กล่าวว่า บรรยากาศซื้อขายหลักทรัพย์วานนี้มีแรงซื้อสลับกับการแรงเทขายตลอดวันซึ่งสอดคล้องกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเอเชีย รวมถึงความวิตกกังวลของนักลงทุนหลัง S&P และ FIT สถาบันจัดอันดับเครดิตปรับลดความน่าเชื่อถือสกุลเงินไทยลง เนื่องจากความไม่สงบของการเมืองในประเทศ
“การซื้อขายหลักทรัพย์ของไทย น่าจะยังเงียบเหงา โดยนักลงทุนควรจับตาตลาดหุ้นต่างประเทศ การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (GDP) น้ำมันโลก ตลอดจนความเคลื่อนไหวของการเมืองไทย อย่างไรก็ตามมจากเหตุผลที่กล่าวมาจึงแนะนำให้ควรชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูความชัดเจนเรื่องต่างๆ โดยมีแนวรับ 442-445 จุด และแนวต้านที่ 460 จุด” นายชัย กล่าว