ASTVผู้จัดการรายวัน – ผู้บริหาร “สยามแก๊สฯ” เผยแผนเจรจาเทกโอเวอร์กิจการในเวียดนาม เพื่อขยายธุรกิจแก๊ส คาดได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 2 นี้ พร้อมยืนยันยังไม่มีนโยบายปลดพนักงาน หลังต้องประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจชะลอตัว
นายศุภชัย วีรบวรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP เปิดเผยถึง แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2552 ว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการ (เทกโอเวอร์) บริษัทเอกชนในประเทศเวียดนามจำนวนประมาณ 2 ราย เพื่อขยายธุรกิจการจำหน่ายแก๊สแอลพีจี (LPG) ซึ่งคาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 2/52 นี้
สำหรับแผนการรองรับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวนั้น บริษัทยังไม่มีแผนที่จะปรับลดจำนวนพนักงาน แต่จะเน้นปรับลดค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ แทน รวมถึงการเข้าไปดูแลเรื่องสินเชื่อของบริษัทคู่ค้า การส่งเสริมการตลาด ฯลฯ เพื่อให้บริษัทดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/52 บริษัทคาดการณ์รายได้น่าจะใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมาจำนวน 2.46 พันล้านบาท เนื่องจากปริมาณการขายแก๊สแอลพีจีเริ่มฟื้นตัวหลังราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวสูงขึ้น โดยบริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ปี 52 จะเติบโตประมาณ 20% จากปี 51 รายได้อยู่ที่ 11,055.95 ล้านบาท
“สถานการณ์ราคาน้ำมันเที่ริ่มปรับตัวสูงขึ้นจ ากที่เคยลงถึงจุดต่ำสุดที่ประมาณ 30 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลล์ เชื่อว่าจะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์และโรงงานอุตสาหกรรมจะเริ่มหันกลับมาใช้พลังงานในรูปแบบแก๊สแอลพีจีที่ปัจจุบันถือว่ายังถูกกว่าราคาน้ำมันประมาณ 1 เท่า บวกกับบริษัทยังโชคดีที่จำหน่ายสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน จึงทำให้มีปริมาณความต้องการเข้ามาอย่างต่อเนื่อง”
นายศุภชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ผ่านมาทางบริษัทได้ทุ่มงบลงทุนประมาณ 80 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายสาขาจำหน่ายก๊าซจำนวน 8 แห่ง ในจังหวัดนครราชสีมา สุราษฏานี ขอนแก่น ชลบุรี และพัทยา เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าและขยายฐานรายได้ให้มากขึ้น
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ารถขนส่งแก๊ส LPG ของบริษัทที่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตย (นปช.) ปล้นไปจากสถานีบริการแล้วนำไปปิดถนนบริเวรสามเหลี่ยมดินแดงนั้นไม่กระทบกับรายได้ของบริษัท เพราะรถขนส่งคันดังกล่าวเป็นของรถของตัวแทนจำหน่ายที่ใช้โลโก้ของ SGP ในการขนส่งเท่านั้น แต่อาจมีผลกระทบบ้างต่อยอดขายของสถานบริการที่อยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ ตลอดจนเรื่องดังกล่าวทางบริษัทฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2551 ที่ผ่านมา สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,095.17 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.30 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 442.42 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.66 บาท
นายศุภชัย วีรบวรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP เปิดเผยถึง แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2552 ว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการ (เทกโอเวอร์) บริษัทเอกชนในประเทศเวียดนามจำนวนประมาณ 2 ราย เพื่อขยายธุรกิจการจำหน่ายแก๊สแอลพีจี (LPG) ซึ่งคาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 2/52 นี้
สำหรับแผนการรองรับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวนั้น บริษัทยังไม่มีแผนที่จะปรับลดจำนวนพนักงาน แต่จะเน้นปรับลดค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ แทน รวมถึงการเข้าไปดูแลเรื่องสินเชื่อของบริษัทคู่ค้า การส่งเสริมการตลาด ฯลฯ เพื่อให้บริษัทดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/52 บริษัทคาดการณ์รายได้น่าจะใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมาจำนวน 2.46 พันล้านบาท เนื่องจากปริมาณการขายแก๊สแอลพีจีเริ่มฟื้นตัวหลังราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวสูงขึ้น โดยบริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ปี 52 จะเติบโตประมาณ 20% จากปี 51 รายได้อยู่ที่ 11,055.95 ล้านบาท
“สถานการณ์ราคาน้ำมันเที่ริ่มปรับตัวสูงขึ้นจ ากที่เคยลงถึงจุดต่ำสุดที่ประมาณ 30 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลล์ เชื่อว่าจะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์และโรงงานอุตสาหกรรมจะเริ่มหันกลับมาใช้พลังงานในรูปแบบแก๊สแอลพีจีที่ปัจจุบันถือว่ายังถูกกว่าราคาน้ำมันประมาณ 1 เท่า บวกกับบริษัทยังโชคดีที่จำหน่ายสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน จึงทำให้มีปริมาณความต้องการเข้ามาอย่างต่อเนื่อง”
นายศุภชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ผ่านมาทางบริษัทได้ทุ่มงบลงทุนประมาณ 80 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายสาขาจำหน่ายก๊าซจำนวน 8 แห่ง ในจังหวัดนครราชสีมา สุราษฏานี ขอนแก่น ชลบุรี และพัทยา เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าและขยายฐานรายได้ให้มากขึ้น
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ารถขนส่งแก๊ส LPG ของบริษัทที่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตย (นปช.) ปล้นไปจากสถานีบริการแล้วนำไปปิดถนนบริเวรสามเหลี่ยมดินแดงนั้นไม่กระทบกับรายได้ของบริษัท เพราะรถขนส่งคันดังกล่าวเป็นของรถของตัวแทนจำหน่ายที่ใช้โลโก้ของ SGP ในการขนส่งเท่านั้น แต่อาจมีผลกระทบบ้างต่อยอดขายของสถานบริการที่อยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ ตลอดจนเรื่องดังกล่าวทางบริษัทฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2551 ที่ผ่านมา สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,095.17 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.30 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 442.42 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.66 บาท