ASTVผู้จัดการรายวัน - บล.กรุงศรีอยุธยา ตั้งเป้าปี 52 มาร์เกตแชร์อยู่ที่ 4% จากปี 51 ที่มีมาร์เกตแชร์อยู่ที่ 3.8% เน้นรุกธุรกรรมตลาดอนุพันธ์เพิ่มรายได้ทดแทนค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ หลังพบหดตัวตามตลาดหุ้นที่ซบเซา ยันไม่คิดปลดพนักงานแต่ลดค่าใช้จ่ายด้านอื่นแทน ส่วนแนวคิดขยายสาขา ในแบงก์กรุงศรีฯ ยังไม่ได้ข้อสรุป
นายมงคล กิตติภูมิวงส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (AYS) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าปี 52 จะมีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เกตแชร์) แตะระดับ 4% จากปี 51 ที่มีมาร์เกตแชร์ 3.8% หลังหันมาขยายการทำธุรกรรมในตลาดอนุพันธ์ (tfex) มากขึ้นด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (gold future) ฯลฯ เนื่องจากการลงทุนในส่วนดังกล่าวสามารถลงทุนได้ทั้งในภาวะตลาดขาขึ้นและขาลง
'จากมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยที่เบาบางและมีความผันผวนค่อนข้างมาก ส่งผลให้มีธุรกิจหลักทรัพย์หลายแห่งพยายามหารายได้จากส่วนอื่นเพิ่มเติมจากค่าคอมมิชชั่นที่เป็นรายได้หลักของธุรกิจส่วนใหญ่ จึงมองว่า tfex น่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญที่ธุรกิจหลักทรัพย์ต่างให้ความสนใจ และเชื่อว่า ปีนี้น่าจะเห็นการแข่งขันที่สูงขึ้น' นายมงคลกล่าว
ส่วนแนวความคิดของบริษัทฯ ที่จะเปิดสาขาของบริษัทในธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY นั้น เพราะต้องการดูผลของการขยายฐานและเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าในการทำธุรกรรม ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดและเจรจากับผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องของค่าใช้จ่าย ทำเล และขนาดของ พื้นที่ ฯลฯ
สำหรับภาพรวมของ บล.กรุงศรีฯ ในปีนี้เชื่อว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปี 51 เพราะหนี้เสียในด้านลูกค้าบุคคลมีทิศทางปรับลดลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่มีอัตราส่วนหนี้เสียปริมาณมาก ซึ่งเป็นผลจากภาวะตลาดหุ้นที่ค่อนข้างผันผวนตามปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นายมงคลกล่าวต่อว่า สภาพภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัว ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เฉลี่ยต่อวันต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าคอมมิชชัน อันเป็นรายได้หลักของธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความคิดที่จะปลดพนักงาน (lay out) จากจำนวนพนักงานที่มีไม่ถึง 300 คน เนื่องจากมองว่ายังสามารถปรับลดค่าใช้จ่ายจากส่วนอื่นได้ เช่น ค่าฝึกอบรมพนักงาน ค่าอุปกรณ์ต่างๆ และค่าโฆษณา โดยส่วนตัวมองว่าการปรับลดค่าใช้จ่ายในส่วนดังกล่าวเชื่อว่าจะเพิ่มกระแสเงินสดเพื่อที่จะรองรับปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคตได้
ทั้งนี้ จากความวุ่นวายของการเมืองในประเทศและปัญหาวิกฤตการเงินของสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 51 ได้มีผลทำให้ภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์ไม่ดีและรายได้ค่าคอมมิชชันลดลง จนทำให้มีพนักงานการตลาด (มาร์เกตติ้ง) ขอลาออกไปเพื่อประกอบธุรกิจส่วนตัวเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ปีนี้บริษัทฯ จำเป็นต้องรับพนักงานในส่วนนี้เพิ่มเติมเพื่อทดแทนตำแหน่งที่ลาออกไปและรองรับการขยายสาขาในอนาคต ส่วนพนักงานในฝ่ายอื่นยังไม่มีแผนที่จะรับเพิ่มเติมเนื่องจากมองว่ายังไม่มีความจำเป็น
นายมงคล กิตติภูมิวงส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (AYS) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าปี 52 จะมีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เกตแชร์) แตะระดับ 4% จากปี 51 ที่มีมาร์เกตแชร์ 3.8% หลังหันมาขยายการทำธุรกรรมในตลาดอนุพันธ์ (tfex) มากขึ้นด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (gold future) ฯลฯ เนื่องจากการลงทุนในส่วนดังกล่าวสามารถลงทุนได้ทั้งในภาวะตลาดขาขึ้นและขาลง
'จากมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยที่เบาบางและมีความผันผวนค่อนข้างมาก ส่งผลให้มีธุรกิจหลักทรัพย์หลายแห่งพยายามหารายได้จากส่วนอื่นเพิ่มเติมจากค่าคอมมิชชั่นที่เป็นรายได้หลักของธุรกิจส่วนใหญ่ จึงมองว่า tfex น่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญที่ธุรกิจหลักทรัพย์ต่างให้ความสนใจ และเชื่อว่า ปีนี้น่าจะเห็นการแข่งขันที่สูงขึ้น' นายมงคลกล่าว
ส่วนแนวความคิดของบริษัทฯ ที่จะเปิดสาขาของบริษัทในธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY นั้น เพราะต้องการดูผลของการขยายฐานและเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าในการทำธุรกรรม ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดและเจรจากับผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องของค่าใช้จ่าย ทำเล และขนาดของ พื้นที่ ฯลฯ
สำหรับภาพรวมของ บล.กรุงศรีฯ ในปีนี้เชื่อว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปี 51 เพราะหนี้เสียในด้านลูกค้าบุคคลมีทิศทางปรับลดลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่มีอัตราส่วนหนี้เสียปริมาณมาก ซึ่งเป็นผลจากภาวะตลาดหุ้นที่ค่อนข้างผันผวนตามปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นายมงคลกล่าวต่อว่า สภาพภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัว ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เฉลี่ยต่อวันต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าคอมมิชชัน อันเป็นรายได้หลักของธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความคิดที่จะปลดพนักงาน (lay out) จากจำนวนพนักงานที่มีไม่ถึง 300 คน เนื่องจากมองว่ายังสามารถปรับลดค่าใช้จ่ายจากส่วนอื่นได้ เช่น ค่าฝึกอบรมพนักงาน ค่าอุปกรณ์ต่างๆ และค่าโฆษณา โดยส่วนตัวมองว่าการปรับลดค่าใช้จ่ายในส่วนดังกล่าวเชื่อว่าจะเพิ่มกระแสเงินสดเพื่อที่จะรองรับปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคตได้
ทั้งนี้ จากความวุ่นวายของการเมืองในประเทศและปัญหาวิกฤตการเงินของสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 51 ได้มีผลทำให้ภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์ไม่ดีและรายได้ค่าคอมมิชชันลดลง จนทำให้มีพนักงานการตลาด (มาร์เกตติ้ง) ขอลาออกไปเพื่อประกอบธุรกิจส่วนตัวเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ปีนี้บริษัทฯ จำเป็นต้องรับพนักงานในส่วนนี้เพิ่มเติมเพื่อทดแทนตำแหน่งที่ลาออกไปและรองรับการขยายสาขาในอนาคต ส่วนพนักงานในฝ่ายอื่นยังไม่มีแผนที่จะรับเพิ่มเติมเนื่องจากมองว่ายังไม่มีความจำเป็น