เห็นพี่น้องพันธมิตรฯ ของเราหลั่งไหลมาร่วมลงชื่อในสมุดเยี่ยมคุณสนธิ ลิ้มทองกุล –น้องยา อดุลย์ และ น้องยาว วายุภักดิ์ แล้วชื่นใจเกินกว่าจะกล่าวจริงๆ
พันธมิตรฯ หลายท่านไม่เพียงแต่มาเยี่ยมด้วยมิตรไมตรีเท่านั้น หากแต่ยังนำอาหารคาว - หวานสารพัดมาเยี่ยมผู้ป่วยทั้งสาม และแจกจ่ายพี่น้องผองเพื่อนพันธมิตรฯที่ถาโถมมาเต็มห้องโถงชั้นล่าง อาคาร ส.ก. โรงพยาบาลจุฬาฯ พร้อมบริจาคเงินสมทบเงินเดือนให้พี่น้อง ASTV ของเราด้วย....น้ำใจแสนงามเสียจริงๆ เชียว
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และน้องๆ อีก 2 คน เข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บจากการถูก “หมาหมู่” มันลอบยิงด้วยอาวุธสงคราม 4 ประเภท ในเช้าตรู่ของวันที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ
เช้าวันนั้น “ชายผมรองทรง” กลุ่มหนึ่งซึ่งโดยสารมากับรถกระบะไม่รู้กี่คัน สาดกระสุนสังหารคมกริบลงมาที่รถของคุณสนธิราว “ห่าฝน” ผลก็คือ “น้องยา – อดุลย์” วัย 28 ปี ที่ทำหน้าที่ขับรถได้บาดเจ็บสาหัส “ปางตาย” .....แต่ไม่ตาย... และน้องยาว-วายุภักดิ์ ผู้รักษาความปลอดภัยถูกกระสุนพุ่งใส่แขน “นิดหน่อย” ...เจ็บ....แต่ไม่ร้อง...
ส่วนนายใหญ่บ้านพระอาทิตย์ถูกกระสุนนับร้อยพร่างพรมใส่ ขณะนั่งรถจะมาจัดรายการกู๊ดมอร์นิ่ง ไทยแลนด์ ตอน 6 โมงเช้า แปลก!!! ไม่ยักเป็นอะไร!!! คงเป็นเพราะคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองมีเพียงเศษกระสุนเล็กๆ น้อยๆ ปลิวใส่ 2-3 ชิ้นทั้งที่ศีรษะ และใต้ราวนม
แพทย์จากโรงพยาบาลวชิระพาเข้าห้องผ่าตัดที่กะโหลกศีรษะเพื่อเอาเศษกระสุนเล็กๆ ออกจากใต้ผิวหนังบริเวณเหนือคิ้วด้านขวา ต่อมาทั้งคุณสนธิและน้องๆ อีก 2 คนย้ายมาพักรักษาตัวที่อาคาร ส.ก. โรงพยาบาลจุฬาฯ
“มหัศจรรย์” พูดได้คำเดียวว่า “มหัศจรรย์” เหลือเชื่อจริงๆ ขนาดที่ทำให้ “ใครบางคน” ฉลองเก้อ ของอย่างนี้งานไม่เสร็จเด็ดหัวแกนนำพันมิตรฯ ไม่ได้ คนเสียขวัญไม่ใช่ใครอื่นคนขมขื่นเวลานี้คือ “คนสั่งยิง”
กระสุนมัจจุราชกว่าร้อยนัดได้กลายสภาพเป็น “เผือกร้อน” ในพริบตาน่าอดสู เมื่อตำรวจที่ทำคดีบอกว่า ไม่มีในสารบบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และขาใหญ่กองทัพบกไทยบอกว่า ปืนอาก้า – เอช เค –เอ็ม 16 และ เอ็ม 79 เป็นของพื้นๆ ที่ชาวบ้านร้านตลาดก็มีได้...แต่ไม่ได้ระบุลงไปว่า สามารถหาซื้อได้ และง่ายจังตามเซเว่น-อีเลฟเว่น!!!
เวลานี้คุณสนธิ และน้องวายุภักดิ์ มีอาการดีวันดีคืน และไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ พี่ใหญ่กับเพื่อนตายของเขา “จำเหตุการณ์” ที่เกิดขึ้นได้ทุกวินาที โดยเฉพาะคุณสนธิจำได้ดีว่า “หมาลอบกัด” หน้าตาท่าทางเป็นอย่างไร
เตือนไว้ในฐานที่รู้จักกัน เจ้าของ “คอก” เก็บ “หมาหมู่” ของตัวเองไว้ใน “ค่าย” ให้มิดชิด อย่าปล่อยออกมาเพ่นพ่าน เพราะอีกไม่นานจะได้เห็นดีกัน…นับวันนับคืน รอการเอาคืนได้เลย
ใครเป็นใคร ...อีกไม่นานจะได้รู้กัน ตราบใดที่บ้านนี้เมืองนี้ยังมีขื่อมีแป คนชั่ว และความชั่วต้องถูกชำระและสะสางด้วย “ความยุติธรรม” เสมอ ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน หรือแม้แต่ยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ ก็ตามที
พูดถึงคนมียศมีศรี ได้ยินมาว่า หลังเหตุการณ์ “หมาหมู่” เมื่อย่ำรุ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง คนบางคน “ฉลอง” ด้วยการประคอง “น้องสาวคนใหม่” จากค่ายวิกน้อยสี ห้อรถเบนซ์เอส แอล เค คันโก้ไปนั่งนับขนตากันฉองต่อฉองใต้แสงเทียน ปล่อยเมียเก่าจากบ้านเกิดไปเปิดดิกชันนารีสอนลูกสาวที่บ้านใหญ่ในแถบ “เซนต์ เจมส์ วูด” ถิ่นเศรษฐีกระเป๋าหนักชานกรุงลอนดอน ที่เพื่อนรักซื้อให้เป็นของขวัญกันซื่อบื้อ
เห็นว่า “แม่นางร้อยวิก” ที่ถูกกระชากหน้ากากด้วยแรงสะบัดแห่ง “ธงธรรม” ก็ฉลองสงกรานต์กระสุนที่ห้องอาหารหรูหรา แถวโรงแรมสวยริมน้ำ แต่เสียใจหน้ากากแม่พระจอมปลอมถูกกระชาก ผู้คนน้อยใหญ่ที่เคยไปพึ่งพาอาศัยบารมี ต่างแหนงหน่ายเบือนหน้าหนีไม่มีใครไปกินด้วย ทั้งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิตนักล่าเงินบริจาค
เดี๋ยวนี้ไปดูสภาพอีกทีสิ ... คนใหญ่คนโตที่เคยถูกรีดถูกไถกับการกุศลจอมปลอม รู้เท่าทันเกิดอาการเหม็นหน้า ไม่ทักไม่ทาย เวรกรรมตามทัน งานนี้นางพญาร้อยวิกทั้งเจ็บทั้งอายที่ถูก “แก้ผ้า” ล่อนจ้อนจนเห็นเนื้อใน ดังนั้นอดีตสตรีที่เคยได้ฉายาว่า “Thailand Open” จากนักเรียนไทยในลอนดอนเมื่อครั้งอดีต จึงลุกขึ้นผสมโรงกับ “หมาหมู่” และอดีตชายชู้ “ลอบกัด” เสียเลย
เห็นไหม คนมักใหญ่ใฝ่สูงกับนางแพศยามาเจอกัน เรื่องดีๆ จะมีที่ไหนกัน
เหมือน “พี่แม้วแรพ” ไง...ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ใน “ดูไบ” ซึ่งเป็นเมืองท่าของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเจ้าผู้ครองรัฐมิได้ทรงล่วงรู้เลยว่า พี่แม้วแรพกับเจ้าหน้าที่บางคนในสถานกงสุลไทย ก่อการร้ายด้วยการ “โฟนอิน” และ “วิดีโอ ลิงก์” ล้มรัฐบาล ล้มชาติ และสถาบันสูงสุด
ห้องออกอากาศที่เราเห็น ถ่ายทำมาจากแมนชั่นแห่งหนึ่งใน “เมืองชาห์จ้า” ซึ่งอยู่ห่างจากดูไบเพียง 15 นาทีเท่านั้น
แถมเวลานี้ “พี่แม้วแรพ” ทำธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับนายทุนดูไบอีกคนที่เข้าซื้อกิจการแมนเชสเตอร์ ซิตี้ของเขาเมื่อเร็วๆ นี้ ส่วนห้องหอของพี่แม้วแรพก็หรูหราราคากว่า 800 ล้านบาทในโครงการเดอะ ปาล์ม ที่มีชื่อเสียงก้องโลก แว่วมาว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตกแต่ง
ตอนนี้พี่แม้วแรพย้ายที่นอนบ่อยมาก เขาไม่เคยอยู่ที่ไหนเกิน 2 อาทิตย์ ตอนหนีมาจากอังกฤษใหม่ๆ เขาอาศัยอยู่โรงแรมเรือใบ “บุช อัล อาหรับ” ซึ่งดังมากและแพงมาก ต่อมาย้ายไปอยู่ที่โรงแรมแชงกรีลา และบางทีก็พักบ้านของ “ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์” หรือบางคราวก็มาซุกตัวอยู่ที่แมนชั่นกว้างใหญ่หรูหราติดสนามกอล์ฟของโครงการเอมิเรตส์ ฮิลล์
ใครที่เคยคิดว่าพี่แม้วแรพของเราจะอดอยากปากแห้ง ไม่ต้องหวั่นวิตกไป เพราะ “นักร้องคนนั้น” มาพบปะเจอะเจอให้ความสำราญอยู่เสมอๆ อันนี้อย่ามาเถียงเพราะคนในสถานกงสุลบอกมา แถมยังบอกอีกว่าพี่แม้วแรพของเรามีพาสปอร์ตนิการากัว เพราะไปร่วมลงทุนในธุรกิจน้ำมันเถื่อนกับนักการเมืองใหญ่ที่นั่น เข้าทำนองอยู่บ้านไหนโกงมันบ้านนั้น
ล่าสุด “เมียใหญ่กับลูกๆ” มาเจอกันที่ดูไบแล้ว ก่อนที่ลูกสาวคนเล็กจะจากจรไปเรียนที่ลอนดอน โดยทิ้งพี่ชายกับพี่สาวไว้ดูแลพ่อแม่จอมโกงชาติ พวกเขาก็พากันไปกระหน่ำชอปปิ้งแก้เซ็งที่ห้าง “ไวไฟ เอกซ์คลูซีฟ” โดยคนไทยที่หนีการเมืองร้อนไปเที่ยวสงกรานต์ที่ดูไบเห็น “พี่แม้วกับเมีย” เดินเลือกซื้อรองเท้ากุชชี่ ขณะที่บ้านเรามี “สงครามกลางเมือง” จากคนเสื้อแดง
ทุกๆ เดือน “คนของเขา” จะเหินฟ้ามาคุยในหัวข้อฟังแล้วขนหัวลุก ว่า “ล้มมันให้หมดเลย” แล้วก็แบกทุนก้อนโตกลับบ้านไป หมดเมื่อไหร่ก็มาประจบประแจงกันใหม่ วนเวียนอย่างนี้...ขืนปล่อยไว้ไม่ทำอะไรอีกไม่นานบ้านเรา “สิ้นชาติ” ด้วยคนไทยขายชาติพวกนี้แน่
ส่วนประเทศนิการากัวที่ออกพาสปอร์ตพลเมืองกิตติมศักดิ์ให้พี่เขานั้น ตอนนี้ประธานาธิบดีและเมียขี้โกงเหมือนกัน โดนฝ่ายค้านและสื่อมวลชนจ้องเล่นงานจนอ่วมอรทัยโทษฐานให้การสนับสนุน “นักโทษ”
นักหนังสือพิมพ์ที่นิการากัวเรียกประธานาธิบดีตัวเองกับเมียจอมจุ้นจ้าน และพี่แม้วแรพว่า เป็นพวกคนสันดานเดียวกัน Bird of the same feather
เห็นไหมไม่ว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน สื่อมวลชนอย่างเราๆ เป็นหมาเฝ้าบ้านที่ไม่มีวันตายง่ายๆ ต้องนำมาเล่าแจ้งแถลงไขกับ “ประชาชน” ให้ได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงไปตรงมา ด้วยเวลานี้พี่แม้วแรพกำลังเร่ง “ทำร้ายประเทศไทย” ในทุกรูปแบบไม่สนวิธีการ
เหมือนกับที่พี่แม้วแรพของเราเคยสำรอกเป็นตุเป็นตะว่า รัฐบาลและทหารฆ่าปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์กับสำนักข่าวต่างประเทศหลังวันสงกรานต์เลือด ว่า when the elephant died you cannot cover with a small lotus leaf.
เอวังด้วยประการฉะนี้ละพี่น้องเอ้ย.
พันธมิตรฯ หลายท่านไม่เพียงแต่มาเยี่ยมด้วยมิตรไมตรีเท่านั้น หากแต่ยังนำอาหารคาว - หวานสารพัดมาเยี่ยมผู้ป่วยทั้งสาม และแจกจ่ายพี่น้องผองเพื่อนพันธมิตรฯที่ถาโถมมาเต็มห้องโถงชั้นล่าง อาคาร ส.ก. โรงพยาบาลจุฬาฯ พร้อมบริจาคเงินสมทบเงินเดือนให้พี่น้อง ASTV ของเราด้วย....น้ำใจแสนงามเสียจริงๆ เชียว
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และน้องๆ อีก 2 คน เข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บจากการถูก “หมาหมู่” มันลอบยิงด้วยอาวุธสงคราม 4 ประเภท ในเช้าตรู่ของวันที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ
เช้าวันนั้น “ชายผมรองทรง” กลุ่มหนึ่งซึ่งโดยสารมากับรถกระบะไม่รู้กี่คัน สาดกระสุนสังหารคมกริบลงมาที่รถของคุณสนธิราว “ห่าฝน” ผลก็คือ “น้องยา – อดุลย์” วัย 28 ปี ที่ทำหน้าที่ขับรถได้บาดเจ็บสาหัส “ปางตาย” .....แต่ไม่ตาย... และน้องยาว-วายุภักดิ์ ผู้รักษาความปลอดภัยถูกกระสุนพุ่งใส่แขน “นิดหน่อย” ...เจ็บ....แต่ไม่ร้อง...
ส่วนนายใหญ่บ้านพระอาทิตย์ถูกกระสุนนับร้อยพร่างพรมใส่ ขณะนั่งรถจะมาจัดรายการกู๊ดมอร์นิ่ง ไทยแลนด์ ตอน 6 โมงเช้า แปลก!!! ไม่ยักเป็นอะไร!!! คงเป็นเพราะคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองมีเพียงเศษกระสุนเล็กๆ น้อยๆ ปลิวใส่ 2-3 ชิ้นทั้งที่ศีรษะ และใต้ราวนม
แพทย์จากโรงพยาบาลวชิระพาเข้าห้องผ่าตัดที่กะโหลกศีรษะเพื่อเอาเศษกระสุนเล็กๆ ออกจากใต้ผิวหนังบริเวณเหนือคิ้วด้านขวา ต่อมาทั้งคุณสนธิและน้องๆ อีก 2 คนย้ายมาพักรักษาตัวที่อาคาร ส.ก. โรงพยาบาลจุฬาฯ
“มหัศจรรย์” พูดได้คำเดียวว่า “มหัศจรรย์” เหลือเชื่อจริงๆ ขนาดที่ทำให้ “ใครบางคน” ฉลองเก้อ ของอย่างนี้งานไม่เสร็จเด็ดหัวแกนนำพันมิตรฯ ไม่ได้ คนเสียขวัญไม่ใช่ใครอื่นคนขมขื่นเวลานี้คือ “คนสั่งยิง”
กระสุนมัจจุราชกว่าร้อยนัดได้กลายสภาพเป็น “เผือกร้อน” ในพริบตาน่าอดสู เมื่อตำรวจที่ทำคดีบอกว่า ไม่มีในสารบบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และขาใหญ่กองทัพบกไทยบอกว่า ปืนอาก้า – เอช เค –เอ็ม 16 และ เอ็ม 79 เป็นของพื้นๆ ที่ชาวบ้านร้านตลาดก็มีได้...แต่ไม่ได้ระบุลงไปว่า สามารถหาซื้อได้ และง่ายจังตามเซเว่น-อีเลฟเว่น!!!
เวลานี้คุณสนธิ และน้องวายุภักดิ์ มีอาการดีวันดีคืน และไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ พี่ใหญ่กับเพื่อนตายของเขา “จำเหตุการณ์” ที่เกิดขึ้นได้ทุกวินาที โดยเฉพาะคุณสนธิจำได้ดีว่า “หมาลอบกัด” หน้าตาท่าทางเป็นอย่างไร
เตือนไว้ในฐานที่รู้จักกัน เจ้าของ “คอก” เก็บ “หมาหมู่” ของตัวเองไว้ใน “ค่าย” ให้มิดชิด อย่าปล่อยออกมาเพ่นพ่าน เพราะอีกไม่นานจะได้เห็นดีกัน…นับวันนับคืน รอการเอาคืนได้เลย
ใครเป็นใคร ...อีกไม่นานจะได้รู้กัน ตราบใดที่บ้านนี้เมืองนี้ยังมีขื่อมีแป คนชั่ว และความชั่วต้องถูกชำระและสะสางด้วย “ความยุติธรรม” เสมอ ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน หรือแม้แต่ยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ ก็ตามที
พูดถึงคนมียศมีศรี ได้ยินมาว่า หลังเหตุการณ์ “หมาหมู่” เมื่อย่ำรุ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง คนบางคน “ฉลอง” ด้วยการประคอง “น้องสาวคนใหม่” จากค่ายวิกน้อยสี ห้อรถเบนซ์เอส แอล เค คันโก้ไปนั่งนับขนตากันฉองต่อฉองใต้แสงเทียน ปล่อยเมียเก่าจากบ้านเกิดไปเปิดดิกชันนารีสอนลูกสาวที่บ้านใหญ่ในแถบ “เซนต์ เจมส์ วูด” ถิ่นเศรษฐีกระเป๋าหนักชานกรุงลอนดอน ที่เพื่อนรักซื้อให้เป็นของขวัญกันซื่อบื้อ
เห็นว่า “แม่นางร้อยวิก” ที่ถูกกระชากหน้ากากด้วยแรงสะบัดแห่ง “ธงธรรม” ก็ฉลองสงกรานต์กระสุนที่ห้องอาหารหรูหรา แถวโรงแรมสวยริมน้ำ แต่เสียใจหน้ากากแม่พระจอมปลอมถูกกระชาก ผู้คนน้อยใหญ่ที่เคยไปพึ่งพาอาศัยบารมี ต่างแหนงหน่ายเบือนหน้าหนีไม่มีใครไปกินด้วย ทั้งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิตนักล่าเงินบริจาค
เดี๋ยวนี้ไปดูสภาพอีกทีสิ ... คนใหญ่คนโตที่เคยถูกรีดถูกไถกับการกุศลจอมปลอม รู้เท่าทันเกิดอาการเหม็นหน้า ไม่ทักไม่ทาย เวรกรรมตามทัน งานนี้นางพญาร้อยวิกทั้งเจ็บทั้งอายที่ถูก “แก้ผ้า” ล่อนจ้อนจนเห็นเนื้อใน ดังนั้นอดีตสตรีที่เคยได้ฉายาว่า “Thailand Open” จากนักเรียนไทยในลอนดอนเมื่อครั้งอดีต จึงลุกขึ้นผสมโรงกับ “หมาหมู่” และอดีตชายชู้ “ลอบกัด” เสียเลย
เห็นไหม คนมักใหญ่ใฝ่สูงกับนางแพศยามาเจอกัน เรื่องดีๆ จะมีที่ไหนกัน
เหมือน “พี่แม้วแรพ” ไง...ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ใน “ดูไบ” ซึ่งเป็นเมืองท่าของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเจ้าผู้ครองรัฐมิได้ทรงล่วงรู้เลยว่า พี่แม้วแรพกับเจ้าหน้าที่บางคนในสถานกงสุลไทย ก่อการร้ายด้วยการ “โฟนอิน” และ “วิดีโอ ลิงก์” ล้มรัฐบาล ล้มชาติ และสถาบันสูงสุด
ห้องออกอากาศที่เราเห็น ถ่ายทำมาจากแมนชั่นแห่งหนึ่งใน “เมืองชาห์จ้า” ซึ่งอยู่ห่างจากดูไบเพียง 15 นาทีเท่านั้น
แถมเวลานี้ “พี่แม้วแรพ” ทำธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับนายทุนดูไบอีกคนที่เข้าซื้อกิจการแมนเชสเตอร์ ซิตี้ของเขาเมื่อเร็วๆ นี้ ส่วนห้องหอของพี่แม้วแรพก็หรูหราราคากว่า 800 ล้านบาทในโครงการเดอะ ปาล์ม ที่มีชื่อเสียงก้องโลก แว่วมาว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตกแต่ง
ตอนนี้พี่แม้วแรพย้ายที่นอนบ่อยมาก เขาไม่เคยอยู่ที่ไหนเกิน 2 อาทิตย์ ตอนหนีมาจากอังกฤษใหม่ๆ เขาอาศัยอยู่โรงแรมเรือใบ “บุช อัล อาหรับ” ซึ่งดังมากและแพงมาก ต่อมาย้ายไปอยู่ที่โรงแรมแชงกรีลา และบางทีก็พักบ้านของ “ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์” หรือบางคราวก็มาซุกตัวอยู่ที่แมนชั่นกว้างใหญ่หรูหราติดสนามกอล์ฟของโครงการเอมิเรตส์ ฮิลล์
ใครที่เคยคิดว่าพี่แม้วแรพของเราจะอดอยากปากแห้ง ไม่ต้องหวั่นวิตกไป เพราะ “นักร้องคนนั้น” มาพบปะเจอะเจอให้ความสำราญอยู่เสมอๆ อันนี้อย่ามาเถียงเพราะคนในสถานกงสุลบอกมา แถมยังบอกอีกว่าพี่แม้วแรพของเรามีพาสปอร์ตนิการากัว เพราะไปร่วมลงทุนในธุรกิจน้ำมันเถื่อนกับนักการเมืองใหญ่ที่นั่น เข้าทำนองอยู่บ้านไหนโกงมันบ้านนั้น
ล่าสุด “เมียใหญ่กับลูกๆ” มาเจอกันที่ดูไบแล้ว ก่อนที่ลูกสาวคนเล็กจะจากจรไปเรียนที่ลอนดอน โดยทิ้งพี่ชายกับพี่สาวไว้ดูแลพ่อแม่จอมโกงชาติ พวกเขาก็พากันไปกระหน่ำชอปปิ้งแก้เซ็งที่ห้าง “ไวไฟ เอกซ์คลูซีฟ” โดยคนไทยที่หนีการเมืองร้อนไปเที่ยวสงกรานต์ที่ดูไบเห็น “พี่แม้วกับเมีย” เดินเลือกซื้อรองเท้ากุชชี่ ขณะที่บ้านเรามี “สงครามกลางเมือง” จากคนเสื้อแดง
ทุกๆ เดือน “คนของเขา” จะเหินฟ้ามาคุยในหัวข้อฟังแล้วขนหัวลุก ว่า “ล้มมันให้หมดเลย” แล้วก็แบกทุนก้อนโตกลับบ้านไป หมดเมื่อไหร่ก็มาประจบประแจงกันใหม่ วนเวียนอย่างนี้...ขืนปล่อยไว้ไม่ทำอะไรอีกไม่นานบ้านเรา “สิ้นชาติ” ด้วยคนไทยขายชาติพวกนี้แน่
ส่วนประเทศนิการากัวที่ออกพาสปอร์ตพลเมืองกิตติมศักดิ์ให้พี่เขานั้น ตอนนี้ประธานาธิบดีและเมียขี้โกงเหมือนกัน โดนฝ่ายค้านและสื่อมวลชนจ้องเล่นงานจนอ่วมอรทัยโทษฐานให้การสนับสนุน “นักโทษ”
นักหนังสือพิมพ์ที่นิการากัวเรียกประธานาธิบดีตัวเองกับเมียจอมจุ้นจ้าน และพี่แม้วแรพว่า เป็นพวกคนสันดานเดียวกัน Bird of the same feather
เห็นไหมไม่ว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน สื่อมวลชนอย่างเราๆ เป็นหมาเฝ้าบ้านที่ไม่มีวันตายง่ายๆ ต้องนำมาเล่าแจ้งแถลงไขกับ “ประชาชน” ให้ได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงไปตรงมา ด้วยเวลานี้พี่แม้วแรพกำลังเร่ง “ทำร้ายประเทศไทย” ในทุกรูปแบบไม่สนวิธีการ
เหมือนกับที่พี่แม้วแรพของเราเคยสำรอกเป็นตุเป็นตะว่า รัฐบาลและทหารฆ่าปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์กับสำนักข่าวต่างประเทศหลังวันสงกรานต์เลือด ว่า when the elephant died you cannot cover with a small lotus leaf.
เอวังด้วยประการฉะนี้ละพี่น้องเอ้ย.