จะเป็นเพราะบ้านเมืองมีความศักดิ์สิทธิ์ ทำให้แผนสังหารผู้นำประเทศ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เกิดความล้มเหลว ไม่เช่นนั้นหากผลออกมาในทางตรงกันข้าม ลองหลับตานึกภาพเอาก็แล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น
หากย้อนกลับไปจะมองเห็นได้ว่า เหตุการณ์รุนแรงที่กระทรวงมหาดไทยเป็นเสมือน “ล่อ” นายกรัฐมนตรีเข้าไปติดกับ เพราะพิจารณาในด้านการรักษาความปลอดภัยทุกด้านแล้วก็ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะประชุมเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินที่นั่น
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในด้านการวางกำลังป้องกันก็ไม่มีความพร้อม มีเจ้าหน้าที่เพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น
ดังนั้นจึงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากมีเจตนาหลอกนายกรัฐมนตรีเพื่อเข้าไปสู่กับดักสังหารโดยคนเสื้อแดงบางกลุ่ม แต่เดชะบุญที่รถของนายกฯ สามารถหลบรอดออกไปได้อย่างหวุดหวิด
เมื่อ อภิสิทธิ์ รอดไปได้ และพลิกกลับมาใช้อำนาจพิเศษในสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่เต็มมือ อีกทั้งมีประชาชนเกิดความเห็นใจ เทพลังให้การสนับสนุนเต็มร้อย “ไอ้โม่ง” ก็ต้องเปลี่ยนแผนการใหม่
เบนเป้ามาที่ สนธิ ลิ้มทองกุล จนนำไปสู่การระดมยิงด้วยอาวุธสงครามนานาชนิดเข้าใส่นับร้อยนัด รวมทั้งถล่มซ้ำด้วยระเบิดเอ็ม 79 แต่เดชะบุญรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์
เพราะถ้าให้ประเมินสถานการณ์ หลายคนคงมองเห็นตรงกันว่า หาก “เก็บ” สองคนนี้ได้ “เกม” ก็เปลี่ยนได้ทันที
และหากลำดับเหตุการณ์ทีละช็อต เพื่อให้กระชับเข้ามา บรรยากาศก็ยิ่งเข้าเค้า น่าสงสัยมากขึ้นไปอีก โดยไล่เรียงมาตั้งแต่เหตุการณ์ในช่วงการประชุมอาเซียน ที่พัทยาเมื่อวันที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมา ที่กลุ่มคนเสื้อแดงบุกเข้าไปล้มการประชุม จนบ้านเมืองพังพินาศ
นั่นเป็นภาพเสียหายภายนอก ที่เห็นกันอยู่ตำตา
แต่ระดับคอการเมืองที่มองเกมลึกลงไปอีกจะเห็นว่า เป็นความเคลื่อนไหวที่ผิดสังเกต ราวกับว่ายั่วยุให้ดูเหมือนว่าบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย ทำลายภาพพจน์ประเทศ ทำให้คนเสื้อเหลืองทนไม่ไหว จนต้องออกมา แล้วเกิดการปะทะกัน
อย่างไรก็ดี ฝ่ายแกนนำพันธมิตรฯรู้ทันจึงอยู่นิ่ง ตั้งมั่นอยู่ในที่ตั้ง
ทำให้กลุ่มที่คิดจะเป็น “ฮีโร่” ต้องไปใช้บริการของคนที่ใส่เสื้อสีน้ำเงิน แต่ก็ไม่ ได้ผล เพราะสถานการณ์ ยังไม่สุกงอมพอ แต่อย่างน้อยเหตุการณ์ในวันนั้นได้ทำให้ภาพความเป็นผู้นำของ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องหม่นหมองลงไปไม่น้อย
ถัดมาวันรุ่งขึ้น มีเหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย หลังการประกาศภาวะฉุกเฉินผ่านไปแค่ 30 นาทีก็เกิดความวุ่นวาย มีการมุ่งร้ายเอาชีวิตนายกรัฐมนตรี แต่รอดไปได้ และคนที่รับเคราะห์แทนคือ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และทีมรักษาความปลอดภัย
มีการตั้งคำถามว่า ในเมื่อสถานการณ์กำลังฉุกเฉินทำไมต้องเร่งเร้าให้นายกรัฐมนตรีมาประชุมที่กระทรวงมหาดไทยอย่างเปิดเผย ซึ่งในเวลานั้นความปลอดภัยมีไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์
เมื่อไม่เป็นไปตามแผน จึงต้องหันมาที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งลักษณะการลอบสังหารรับรองว่าไม่น่าจะใช่มือปืนตามซุ้มกระจอกๆ ที่มีอยู่ดาษดื่นในภาคตะวันตกแน่นอน
ลักษณะการทำงานมีการประสานงานกันอย่างเป็นระบบ แต่สิ่งที่ทำให้รอดมาได้ก็คือ ปาฏิหาริย์เท่านั้น
ทีนี้หากมาพิจารณาถึงมูลเหตุจูงใจในการลอบสังหารบุคคลสำคัญทั้งสองคนดังกล่าว ว่าน่าจะมาจากอะไรกันแน่ แต่รับรองว่า หากผลการลงมือสำเร็จไปตามแผนบ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวาย เสื้อเหลืองจะต้องปะทะกับคนเสื้อแดง จนบาดเจ็บล้มตายเลือดนองแผ่นดิน
เป็นเงื่อนไขให้ “ผู้กุมอำนาจ” บางกลุ่มอ้างเหตุเข้ามากอบกู้สถานการณ์บ้านเมือง เข้ามารักษาความสงบ กวาดเสื้อเหลือง-เสื้อแดงให้เรียบ ผลักดันให้ตัวเอง ลูกพี่ ลูกน้อง เข้ามาสู่อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ
และที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงก็คืองานนี้น่าจะมี “นักโทษ” บางคนต่อสายรู้เห็นอยู่ข้างนอกทุกขั้นตอน โดยไม่ต้องสนใจว่า แดงหรือเหลือง จะต้องบาดเจ็บล้มตายอีกเท่าใดก็ตาม ว่ากันว่าหากทำสำเร็จจะมีค่าใช้จ่ายให้ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท เลยทีเดียว
ดังนั้นเมื่อปะติดปะต่อจนเกิดเป็นภาพต่อเนื่องก็ทำให้เห็นว่าเป็นแผนการร่วมมือ 3 ประสาน ของกลุ่มอำนาจ ไปสู่เป้าหมายนั่นคือ เพื่อแลกกับเงินก้อนโตและอำนาจเบ็ดเสร็จที่จะได้รับตามมาในภายหลัง
แต่เดชะบุญที่ไม่มีใครหลงกล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สนธิ ลิ้มทองกุล รอดมาได้ แผนชั่วจึงไม่สำเร็จ แต่เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะถูกเปิดโปงให้เห็นชัดมากไปกว่านี้แน่นอน !!
หากย้อนกลับไปจะมองเห็นได้ว่า เหตุการณ์รุนแรงที่กระทรวงมหาดไทยเป็นเสมือน “ล่อ” นายกรัฐมนตรีเข้าไปติดกับ เพราะพิจารณาในด้านการรักษาความปลอดภัยทุกด้านแล้วก็ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะประชุมเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินที่นั่น
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในด้านการวางกำลังป้องกันก็ไม่มีความพร้อม มีเจ้าหน้าที่เพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น
ดังนั้นจึงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากมีเจตนาหลอกนายกรัฐมนตรีเพื่อเข้าไปสู่กับดักสังหารโดยคนเสื้อแดงบางกลุ่ม แต่เดชะบุญที่รถของนายกฯ สามารถหลบรอดออกไปได้อย่างหวุดหวิด
เมื่อ อภิสิทธิ์ รอดไปได้ และพลิกกลับมาใช้อำนาจพิเศษในสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่เต็มมือ อีกทั้งมีประชาชนเกิดความเห็นใจ เทพลังให้การสนับสนุนเต็มร้อย “ไอ้โม่ง” ก็ต้องเปลี่ยนแผนการใหม่
เบนเป้ามาที่ สนธิ ลิ้มทองกุล จนนำไปสู่การระดมยิงด้วยอาวุธสงครามนานาชนิดเข้าใส่นับร้อยนัด รวมทั้งถล่มซ้ำด้วยระเบิดเอ็ม 79 แต่เดชะบุญรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์
เพราะถ้าให้ประเมินสถานการณ์ หลายคนคงมองเห็นตรงกันว่า หาก “เก็บ” สองคนนี้ได้ “เกม” ก็เปลี่ยนได้ทันที
และหากลำดับเหตุการณ์ทีละช็อต เพื่อให้กระชับเข้ามา บรรยากาศก็ยิ่งเข้าเค้า น่าสงสัยมากขึ้นไปอีก โดยไล่เรียงมาตั้งแต่เหตุการณ์ในช่วงการประชุมอาเซียน ที่พัทยาเมื่อวันที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมา ที่กลุ่มคนเสื้อแดงบุกเข้าไปล้มการประชุม จนบ้านเมืองพังพินาศ
นั่นเป็นภาพเสียหายภายนอก ที่เห็นกันอยู่ตำตา
แต่ระดับคอการเมืองที่มองเกมลึกลงไปอีกจะเห็นว่า เป็นความเคลื่อนไหวที่ผิดสังเกต ราวกับว่ายั่วยุให้ดูเหมือนว่าบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย ทำลายภาพพจน์ประเทศ ทำให้คนเสื้อเหลืองทนไม่ไหว จนต้องออกมา แล้วเกิดการปะทะกัน
อย่างไรก็ดี ฝ่ายแกนนำพันธมิตรฯรู้ทันจึงอยู่นิ่ง ตั้งมั่นอยู่ในที่ตั้ง
ทำให้กลุ่มที่คิดจะเป็น “ฮีโร่” ต้องไปใช้บริการของคนที่ใส่เสื้อสีน้ำเงิน แต่ก็ไม่ ได้ผล เพราะสถานการณ์ ยังไม่สุกงอมพอ แต่อย่างน้อยเหตุการณ์ในวันนั้นได้ทำให้ภาพความเป็นผู้นำของ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องหม่นหมองลงไปไม่น้อย
ถัดมาวันรุ่งขึ้น มีเหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย หลังการประกาศภาวะฉุกเฉินผ่านไปแค่ 30 นาทีก็เกิดความวุ่นวาย มีการมุ่งร้ายเอาชีวิตนายกรัฐมนตรี แต่รอดไปได้ และคนที่รับเคราะห์แทนคือ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และทีมรักษาความปลอดภัย
มีการตั้งคำถามว่า ในเมื่อสถานการณ์กำลังฉุกเฉินทำไมต้องเร่งเร้าให้นายกรัฐมนตรีมาประชุมที่กระทรวงมหาดไทยอย่างเปิดเผย ซึ่งในเวลานั้นความปลอดภัยมีไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์
เมื่อไม่เป็นไปตามแผน จึงต้องหันมาที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งลักษณะการลอบสังหารรับรองว่าไม่น่าจะใช่มือปืนตามซุ้มกระจอกๆ ที่มีอยู่ดาษดื่นในภาคตะวันตกแน่นอน
ลักษณะการทำงานมีการประสานงานกันอย่างเป็นระบบ แต่สิ่งที่ทำให้รอดมาได้ก็คือ ปาฏิหาริย์เท่านั้น
ทีนี้หากมาพิจารณาถึงมูลเหตุจูงใจในการลอบสังหารบุคคลสำคัญทั้งสองคนดังกล่าว ว่าน่าจะมาจากอะไรกันแน่ แต่รับรองว่า หากผลการลงมือสำเร็จไปตามแผนบ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวาย เสื้อเหลืองจะต้องปะทะกับคนเสื้อแดง จนบาดเจ็บล้มตายเลือดนองแผ่นดิน
เป็นเงื่อนไขให้ “ผู้กุมอำนาจ” บางกลุ่มอ้างเหตุเข้ามากอบกู้สถานการณ์บ้านเมือง เข้ามารักษาความสงบ กวาดเสื้อเหลือง-เสื้อแดงให้เรียบ ผลักดันให้ตัวเอง ลูกพี่ ลูกน้อง เข้ามาสู่อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ
และที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงก็คืองานนี้น่าจะมี “นักโทษ” บางคนต่อสายรู้เห็นอยู่ข้างนอกทุกขั้นตอน โดยไม่ต้องสนใจว่า แดงหรือเหลือง จะต้องบาดเจ็บล้มตายอีกเท่าใดก็ตาม ว่ากันว่าหากทำสำเร็จจะมีค่าใช้จ่ายให้ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท เลยทีเดียว
ดังนั้นเมื่อปะติดปะต่อจนเกิดเป็นภาพต่อเนื่องก็ทำให้เห็นว่าเป็นแผนการร่วมมือ 3 ประสาน ของกลุ่มอำนาจ ไปสู่เป้าหมายนั่นคือ เพื่อแลกกับเงินก้อนโตและอำนาจเบ็ดเสร็จที่จะได้รับตามมาในภายหลัง
แต่เดชะบุญที่ไม่มีใครหลงกล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สนธิ ลิ้มทองกุล รอดมาได้ แผนชั่วจึงไม่สำเร็จ แต่เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะถูกเปิดโปงให้เห็นชัดมากไปกว่านี้แน่นอน !!