เอเอฟพี/รอยเตอร์ - กองทหารรัฐบาลศรีลังกา รุกคืบโจมตีที่มั่นสุดท้ายในป่าของกลุ่มปลดปล่อยพยัคฆ์ทมิฬอีแลม (แอลทีทีอี) เมื่อวานนี้(21) หลังจากที่ฝ่ายกบฏเพิกเฉยต่อเส้นตายให้ยอมจำนนของรัฐบาล ขณะเดียวกัน ได้มีพลเรือนทั้งชายหญิงและเด็กร่วมๆ 50,000 คน หลั่งไหลอพยพหลบหนีออกจากเขตสู้รบ ท่ามกลางความวิตกห่วงใยของนานาชาติ
กระทรวงกลาโหมศรีลังกาแถลงว่า การสู้รบล่าสุดในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะศรีลังกานี้ ฝ่ายรัฐบาลสามารถตัดแบ่งพื้นที่ยึดครองของกลุ่มกบฏที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยออกเป็นสองส่วน
"แอลทีทีอีไม่ได้ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องให้ยอมจำนนจากรัฐบาล ดังนั้นเราจึงรุกคืบเข้าไปอีกเพื่อช่วยเหลือพลเรือนออกมา" อุทัย นานายัคครา โฆษกกระทรวงกลาโหมแถลง หลังจากที่พ้นกำหนดเส้นตายตอนเที่ยงวันวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับ 13.30 น.เวลาเมืองไทย)
รัฐบาลศรีลังกาบอกอีกว่า ขณะนี้กองทัพกำลังจะได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาดต่อกลุ่มแอลทีทีอีแล้ว หลังจากที่ต้องต่อสู้กับกองกำลังที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนของชนกลุ่มน้อยชาวทมิฬให้เป็นอิสระจากชาวสิงหลซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970
ทางด้านกบฎแอลทีทีอียอมรับว่าพวกเขากำลังสูญเสียพื้นที่เพิ่มขึ้น และระบุว่าการสู้รบ "อย่างนองเลือด" ล่าสุดนี้ ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตไป 1,000 คน บาดเจ็บอีก 2,300 คน สืบเนื่องจากทหารกำลังใช้พลเรือนชาวทมิฬเป็น "โล่มนุษย์" พร้อมกันนั้นก็เรียกร้องให้คณะกรรมการกาชาดสากล (ไอซีอาร์ซี) เข้ามาช่วยเหลือ
"แอลทีทีอีขอร้องไอซีอาร์ซีให้จัดส่งเครื่องใช้ด้านการแพทย์ และอพยพผู้คน 2,000 คนที่บาดเจ็บและกำลังจะประสบอันตรายอยู่แล้ว ออกไปโดยทางเรือ" กลุ่มกบฎระบุ พร้อมกับขอให้ส่งอาหารเข้า เนื่องจากผู้คนจำนวนมากกำลังอดอยาก
อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของศรีลังกาต่างปฏิเสธข้ออ้างของกลุ่มกบฎ บรรดาเจ้าหน้าที่ในเมืองหลวงโคลัมโบกล่าวหามานานแล้วว่า แอลทีทีอีกำลังกักตัวพลเรือนเอาไว้เพื่อใช้เป็นตัวประกัน และเมื่อจันจันทร์(20)ก็แถลงว่า มีพลเรือนทั้งที่เป็นชาย, หญิง, และเด็กๆ เกือบ 50,000 คน ประสบความสำเร็จในการพยายามหลบหนีจากที่มั่นของพวกกบฏ
กระทรวงกลาโหมบอกด้วยว่า ในวันจันทร์ กลุ่มกบฏได้สังหารพลเรือน 17 คนที่พยายามหลบหนีออกมา และมีผู้บาดเจ็บอีก 373 คน
เนื่องจากผู้สื่อข่าวถูกห้ามไม่ให้เข้าไปทำข่าวในพื้นที่ทางภาคเหนือของศรีลังกา จึงทำให้ไม่อาจตรวจสอบข้อกล่าวอ้างของทั้งสองฝ่ายได้
รัฐบาลคาดหมายว่ายังมีพลเรือนอีกถึง 30,000 คนถูกพวกพยัคฆ์ทมิฬกักตัวไว้ แต่สหประชาชาติระบุว่าตัวเลขที่แท้จริงอาจเป็นสองเท่าของจำนวนดังกล่าว และได้ออกมาเตือนวานนี้ด้วยว่า การโจมตีอย่างรุนแรงของรัฐบาลนั้นสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการนองเลือด
"หากการสู้รบยังคงมีอยู่ต่อไป และหากแอลทีทีอีปฏิเสธไม่ยอมให้พลเรือนอพยพออกจากพื้นที่ขัดแย้งดังกล่าวแล้ว เราก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเห็นเด็กๆ อีกมากมายถูกฆ่าตาย" แดเนียล ทูล ผู้อำนวยการของยูนิเซฟประจำภูมิภาคเอเชียใต้ระบุ
ทว่าประธานาธิบดีมหินทา ราชาปัคเซ ผู้นำสายเหยี่ยวของศรีลังกา กลับยืนยันว่าเขาไม่ต้องการให้ทหารหยุดรบในขณะที่ชัยชนะกำลังอยู่ใกล้แค่เอื้อม อีกทั้งฝ่ายกบฏนั้นกำลังจะ "พ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด" และเวลุพิลไล ประภาการัน ผู้นำแอลทีทีอีก็ไม่มีเวลาเหลืออีกแล้ว
แต่จนถึงบัดนี้ ปฏิกิริยาเพียงอย่างเดียวจากกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬก็คือการเรียกร้องให้หยุดยิงโดยไม่มีการตั้งเงื่อนไขใดๆ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลก็ได้ปฏิเสธไปแล้ว
การสู้รบดังกล่าวก่อให้เกิดเสียงประท้วงในยุโรปหลายแห่ง โดยที่กรุงปารีสในฝรั่งเศส เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ประท้วงชาวทมิฬจำนวน 210 คนหลังจากที่มีการก่อเหตุรุนแรงด้วยการขว้างปาขวดเข้าใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และทุบกระจกรถยนต์หลายคันเมื่อวันจันทร์
ส่วนที่กรุงลอนดอนก็มีชาวทมิฬหลายพันคนเข้าไปขวางเส้นทางจราจรในถนนหลายสาย และมีการชุมนุมประท้วงกันที่ด้านนอกของรัฐสภา และเรียกร้องให้รัฐบาลศรีลังกาหยุดยิงทันที
กลุ่ม "ฮิวแมนไรต์วอตช์" ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในนิวยอร์กก็ได้กล่าวเตือนว่าโลกมีเวลาอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการป้องกันไม่ให้เกิดการนองเลือดที่กำลังจะเกิดขึ้นในศรีลังกา
กระทรวงกลาโหมศรีลังกาแถลงว่า การสู้รบล่าสุดในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะศรีลังกานี้ ฝ่ายรัฐบาลสามารถตัดแบ่งพื้นที่ยึดครองของกลุ่มกบฏที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยออกเป็นสองส่วน
"แอลทีทีอีไม่ได้ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องให้ยอมจำนนจากรัฐบาล ดังนั้นเราจึงรุกคืบเข้าไปอีกเพื่อช่วยเหลือพลเรือนออกมา" อุทัย นานายัคครา โฆษกกระทรวงกลาโหมแถลง หลังจากที่พ้นกำหนดเส้นตายตอนเที่ยงวันวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับ 13.30 น.เวลาเมืองไทย)
รัฐบาลศรีลังกาบอกอีกว่า ขณะนี้กองทัพกำลังจะได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาดต่อกลุ่มแอลทีทีอีแล้ว หลังจากที่ต้องต่อสู้กับกองกำลังที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนของชนกลุ่มน้อยชาวทมิฬให้เป็นอิสระจากชาวสิงหลซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970
ทางด้านกบฎแอลทีทีอียอมรับว่าพวกเขากำลังสูญเสียพื้นที่เพิ่มขึ้น และระบุว่าการสู้รบ "อย่างนองเลือด" ล่าสุดนี้ ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตไป 1,000 คน บาดเจ็บอีก 2,300 คน สืบเนื่องจากทหารกำลังใช้พลเรือนชาวทมิฬเป็น "โล่มนุษย์" พร้อมกันนั้นก็เรียกร้องให้คณะกรรมการกาชาดสากล (ไอซีอาร์ซี) เข้ามาช่วยเหลือ
"แอลทีทีอีขอร้องไอซีอาร์ซีให้จัดส่งเครื่องใช้ด้านการแพทย์ และอพยพผู้คน 2,000 คนที่บาดเจ็บและกำลังจะประสบอันตรายอยู่แล้ว ออกไปโดยทางเรือ" กลุ่มกบฎระบุ พร้อมกับขอให้ส่งอาหารเข้า เนื่องจากผู้คนจำนวนมากกำลังอดอยาก
อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของศรีลังกาต่างปฏิเสธข้ออ้างของกลุ่มกบฎ บรรดาเจ้าหน้าที่ในเมืองหลวงโคลัมโบกล่าวหามานานแล้วว่า แอลทีทีอีกำลังกักตัวพลเรือนเอาไว้เพื่อใช้เป็นตัวประกัน และเมื่อจันจันทร์(20)ก็แถลงว่า มีพลเรือนทั้งที่เป็นชาย, หญิง, และเด็กๆ เกือบ 50,000 คน ประสบความสำเร็จในการพยายามหลบหนีจากที่มั่นของพวกกบฏ
กระทรวงกลาโหมบอกด้วยว่า ในวันจันทร์ กลุ่มกบฏได้สังหารพลเรือน 17 คนที่พยายามหลบหนีออกมา และมีผู้บาดเจ็บอีก 373 คน
เนื่องจากผู้สื่อข่าวถูกห้ามไม่ให้เข้าไปทำข่าวในพื้นที่ทางภาคเหนือของศรีลังกา จึงทำให้ไม่อาจตรวจสอบข้อกล่าวอ้างของทั้งสองฝ่ายได้
รัฐบาลคาดหมายว่ายังมีพลเรือนอีกถึง 30,000 คนถูกพวกพยัคฆ์ทมิฬกักตัวไว้ แต่สหประชาชาติระบุว่าตัวเลขที่แท้จริงอาจเป็นสองเท่าของจำนวนดังกล่าว และได้ออกมาเตือนวานนี้ด้วยว่า การโจมตีอย่างรุนแรงของรัฐบาลนั้นสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการนองเลือด
"หากการสู้รบยังคงมีอยู่ต่อไป และหากแอลทีทีอีปฏิเสธไม่ยอมให้พลเรือนอพยพออกจากพื้นที่ขัดแย้งดังกล่าวแล้ว เราก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเห็นเด็กๆ อีกมากมายถูกฆ่าตาย" แดเนียล ทูล ผู้อำนวยการของยูนิเซฟประจำภูมิภาคเอเชียใต้ระบุ
ทว่าประธานาธิบดีมหินทา ราชาปัคเซ ผู้นำสายเหยี่ยวของศรีลังกา กลับยืนยันว่าเขาไม่ต้องการให้ทหารหยุดรบในขณะที่ชัยชนะกำลังอยู่ใกล้แค่เอื้อม อีกทั้งฝ่ายกบฏนั้นกำลังจะ "พ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด" และเวลุพิลไล ประภาการัน ผู้นำแอลทีทีอีก็ไม่มีเวลาเหลืออีกแล้ว
แต่จนถึงบัดนี้ ปฏิกิริยาเพียงอย่างเดียวจากกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬก็คือการเรียกร้องให้หยุดยิงโดยไม่มีการตั้งเงื่อนไขใดๆ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลก็ได้ปฏิเสธไปแล้ว
การสู้รบดังกล่าวก่อให้เกิดเสียงประท้วงในยุโรปหลายแห่ง โดยที่กรุงปารีสในฝรั่งเศส เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ประท้วงชาวทมิฬจำนวน 210 คนหลังจากที่มีการก่อเหตุรุนแรงด้วยการขว้างปาขวดเข้าใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และทุบกระจกรถยนต์หลายคันเมื่อวันจันทร์
ส่วนที่กรุงลอนดอนก็มีชาวทมิฬหลายพันคนเข้าไปขวางเส้นทางจราจรในถนนหลายสาย และมีการชุมนุมประท้วงกันที่ด้านนอกของรัฐสภา และเรียกร้องให้รัฐบาลศรีลังกาหยุดยิงทันที
กลุ่ม "ฮิวแมนไรต์วอตช์" ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในนิวยอร์กก็ได้กล่าวเตือนว่าโลกมีเวลาอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการป้องกันไม่ให้เกิดการนองเลือดที่กำลังจะเกิดขึ้นในศรีลังกา