แม้นาทีนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสาเหตุการเปลี่ยนทีมคุมคดีลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล และคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมในเขตนครบาลทั้งหมดจาก พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ มาเป็น พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ว่ามาจากเหตุผลอะไรกันแน่
แต่เอาเป็นว่าเป็นสัญญาณที่ดี ทำให้มีความหวังว่าคดีจะคลี่คลาย และได้รับความเป็นธรรม มากขึ้น
หากพลิกดูปูมหลังของ พล.ต.อ.ธานี ก็น่าจะวางใจได้ สมญานามที่เรียกขานกันว่าเป็น “นายตำรวจไม้บรรทัด” หรือนายตำรวจตงฉิน จากการทำงานตรงไปตรงมาก็น่าจะการันตีได้ล่วงหน้าระดับหนึ่ง
ที่ผ่านมาถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าถูกนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรียกใช้บริการ ได้รับมอบหมายให้คลี่คลายคดีสำคัญหลายคดี ไม่ว่าจะเป็นการสืบหาร่องรอยการหายตัวไปของ ทนายสมชาย นีละไพจิตร คดีฆ่าชิปปิ้งหมู คดีฆ่าทูตซาอุดิอาระเบียและคดีลอบยิงอดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด จ.เพชรบุรี
และไม่ทำให้ผิดหวัง บางคดีสามารถจับคนร้ายได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ขณะเดียวกันก่อนหน้านั้นไม่นาน หลังสลายการชุมนุมหยุดยั้งการเผาบ้านเผาเมืองของ “กลุ่มเสื้อแดง” ไม่ทันข้ามวัน นายพลไม้บรรทัดคนเดียวกันนี้ก็ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้อำนาจ “พิเศษ” เข้ามาดูแลคดี
อย่างไรก็ดีเมื่อวกเข้ามาถึงคดีลอบสังหาร “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในตอนแรกเมื่อสิ้นเสียงปืนใหม่ๆ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งให้ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ เข้ามาควบคุมคดี ท่ามกลางเสียงร้องโวยวายของชาวบ้านที่ติดตามการทำงานของนายตำรวจคนนี้มานาน
หวั่นเกรงกันว่าบรรยากาศจะยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก แต่โชคดีเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
น่าสนใจมากไปกว่านั้นก็คือการคลี่คลายคดีสำคัญครั้งนี้ยังได้ตำรวจมือดี อย่าง พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ที่เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนสอบสวน มานานพอสมควร อีกทั้งยังเชี่ยวชาญพื้นที่ในเขตภาคตะวันตก กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เพราะรับรู้กันอยู่ว่ามี “ซุ้มมือปืน” ซุ่มซ่อนอยู่เต็มไปหมด เหมือนกับว่าทางทีมสอบสวนเริ่มคลำเป้ามาทางนี้เช่นเดียวกัน
และที่มองข้ามไปไม่ได้ก็คือการประสานกับ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเข้ามาอีกแรงก็น่าจะพออุ่นใจได้
อย่างไรก็ดีเมื่อกล่าวถึงนายตำรวจอาชีพและผลงานในอดีตเป็นเครื่องการันตีผลงาน ทำให้อดนึกเปรียบเทียบกับการบริหารในระดับยอดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใต้การควบคุมของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่หลายฝ่ายวิจารณ์แทบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
เพราะแม้แต่ผู้นำประเทศก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ถึงสองสามครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งเป็นไปได้อย่างไรว่าบุคคลสำคัญอย่างนายกรัฐมนตรีถูกปองร้าย ถูกกระทำย่ำยีศักดิ์ศรี แต่ผู้ บัญชาการตำรวจแห่งชาติกลับปล่อยให้เหตุการณ์อัปยศดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำซาก
ผลงานที่สะท้อนภาพความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงภายใต้การบริหารของ พล.ต.อ.พัชรวาท ได้ดีก็คือการที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญออกมาตำหนิสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างรุนแรง ปล่อยให้คนร้ายใช้อาวุธเอ็ม 79 ยิงถล่มถึง 3 ครั้งภายในวันเดียว โดยที่ไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดีพอ
สรุปแบบไม่ไว้หน้าก็คือตำรวจไม่เอาจริงเอาจังในการคุ้มครองความปลอดภัย ปล่อยให้ตุลาการและเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญดูแลตัวเองกันตามมีตามเกิด หวังพึ่งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ได้เลย
หรือก่อนหน้านี้ปล่อยให้กลุ่มคนเสื้อแดงบุกเข้าไปทำลายการประชุมอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาทั้งอาเซียนบวก 3 บวก 6 ทำให้ประเทศฉิบหายวายวอดจนประเมินค่าทางเศรษฐกิจไม่ได้
ด้วยผลงานที่ไม่เอาอ่าวดังกล่าว ก็น่าจะมีเหตุผลเพียงพอ ทำให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ได้แสดงสปิริตบางอย่างออกมาได้ตั้งนานแล้ว ขณะเดียวกันได้เวลาที่รัฐบาลจะต้องลงมือขยับเก้าอี้ในสตช.กันใหม่
หลายฝ่ายประเมินว่าสาเหตุสำคัญที่ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงมีอยู่เหตุผลเดียวคือ “ความเกรงใจ” หรือ “ บุญคุณทางการเมือง” ค้ำคออยู่ นั่นคือเมื่อโยงไป ถึงพี่ชายคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งถือดุลอำนาจอยู่ในกองทัพ
อย่างไรก็ดีทุกอย่างน่าจะมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับการคลี่คลายลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล รวมทั้งคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของคนเสื้อเหลือง-แดง
หากผลงานออกมาน่าพอใจ นั่นคือ “รวดเร็ว-เป็นธรรม” ตามที่ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ยึดเป็นคติประจำใจอยู่ตลอดเวลา อีกไม่นานก็อาจได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในสตช. เพราะอาจมีรายการให้ “บำเหน็จ” ก่อนเกษียณ สำหรับตำรวจอาชีพ
และทุกอย่างกำลังรอการพิสูจน์ อีกไม่นานก็น่าจะได้เห็นกัน !!