หากมีใครถามว่า...ตอนนี้เมืองไทยเป็นอย่างไรบ้าง? คำตอบที่ให้ได้คงไม่พ้น “ฝนฟ้ายังมืดครึ้ม” เหมือนจะดูดี แต่แสงสว่างของทางออกก็ยังไม่สดใสเท่าที่ควร หากย้อนกลลับไปเมื่อตั้งแต่ช่วงกลางปี 2551 จนถึงก่อนหน้าเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา บนเวทีสัมมนา ผู้เชี่ยวด้านเศรษฐกิจหลายท่าน ต่างให้คำยืนยันว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่ทุกประเทศต้องเผชิญจะส่งผลมาถึงไทยได้เพียงเล็กน้อย ต่อมาก็ขยายผลกระทบทางอ้อมนี้ กลับกลายมาเป็นทางตรงว่าจะกระทบการส่งออกอย่างหนัก ปัญหาการว่างงานเพิ่มมากขึ้น จุดต่ำสุดของวิกฤตจะอยู่ในช่วงงไตรมาส3ของปีนี้
แต่หลังจากการจลาจลภายในกรุงเทพฯ และการยกเลิกการประชุมระดับประเทศที่พัทยาเมื่อช่วง 9 – 15เมษายนที่ผ่านมา ความเสียหายที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ โดยสร้างผลกระทบถึงแดนขวานทองอย่างหนัก อันดับเครดิต เรทติ้งความน่าเชื่อถือของประเทศ และสกุลเงินบาทถึงหั่นทอนลงไป จึงเป็นหน้าที่ของภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งมือแก้ไข โดยเฉพาะตลาดทุนซึ่งจะเป็นกันชนแรกในการรับมหันตภัยในครั้งนี้
**กิตติพันธ์ คงสวัสดิ์เกียรติผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสาทรธานี และผู้จัดการโครงการหลักสูตร MBA มหาวิทยาลัยรังสิต** ให้ความเห็นถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ว่า ยังอยู่ในลักษณะทรงตัว แต่ความเชื่อมั่นต่อการลงทุนยังมีไม่มากเท่าใดนัก ทำให้มีหลายคนมองว่าอาจจะมีจุดต่ำสุดมมากกว่านี้ แม้บรรดาโ บรกเกอร์จะร่วมแรงกันแนะนำว่านี่คือจุดต่ำสุดแล้ว และสถานการณ์ก็จะเริ่มดีขึ้นก็ตาม
**“สถานการณ์การเมืองในประเทศยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยว หัวต่อ ยังไม่มีความแน่ชัดว่าในปัจจุบัน และในอนาคตจะสงบลงได้หรือไม่ นักลงทุนต้องสินใจให้ดีเวลาเข้าไปลงทุน โดยอาจเข้าไปทำกำไรได้จากการซื้อขายช่วงสั้นๆ แต่สำหรับการลงทุนในระยะเวลาที่ยาว ยังไม่มีความแน่นอนเท่าที่ควร”**
สำหรับ กรณีที่ประเทศไทย ถูกปรับลดอันดับเครดิตเรทติ้ง จากสถาบันการจัดอันดับขนาดใหญ่นั้น ผู้จัดการโครงการหลักสูตร MBA ม.รังสิต มองว่า การจัดอันดับเครดิตนั้น จะไม่ดูเพียงตัวเลขเศรษฐกิจหรือตัวเลขทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่จะมองถึงสถานการณ์ในประเทศ การเมือง ภาพลักษณ์ของบริษัทจดทะเบียนหรือองค์กรด้วย ดังนั้นเมื่อประเทศเกิดปัญญาทางการเมือง ภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นและความปลอดภัย ต่อเงินที่จะนำมาลงทุน และตัวบุคคลที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยของชาวต่างชาติจึงน้อยลงไปได้
ดังนั้น แม้รัฐบาลจะประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะจำกัดพื้นที่เฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑลบางส่วนก็ตาม ความกังวลเรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มากที่สุด และเป็นเรื่องที่ควรรีบแก้ไข เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน การท่องเที่ยวนับเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้เข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจของประเทศไทย เพราะเป็นอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่มีต้นทุนในการลงทุนที่น้อยกว่าอุตสาหกรรมการส่งออกสินค้า ไทยสามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติและบุคลากรในประเทศให้เกิดศักยภาพสูงสุดในอุตสาหกรรมดังกล่าวได้
**“ภาพรวม ณ ขณะนี้ หากรัฐบาลสามารถถอนพ..ร.ก.ฉุกเฉินออกไปได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เพราะจะช่วยให้หนึ่งอุตสาหกรรมหลักของประเทศ อย่างการท่องเที่ยวมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ซึ่งจุดนี้จะช่วยสร้างได้เข้ามาชดเชยกับรายได้ของประเทศที่ขาดไปจากการส่งออกได้ส่วนหนึ่ง”**
ส่วนการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ กระทรวงการคลัง จะร่วมเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริงให้นักลงทุนต่างชาติเข้าใจนั้น อาจารย์กิตติพันธ์ ให้ความเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีและเป็นการดำเนินงานที่ถูกต้อง แต่ยังไม่เข้าใจว่า**ตลาดหลักทรัพย์ฯจะไปตอบคำถามของชาวโลกได้อย่างไร เมื่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่มีข้อยุติ แม้ปัญหาการก่อการจลาจลจะคลี่คลายลงไป แต่ยังไม่มีความแน่นอนที่ชัดเจนว่าปัญหาเหล่านี้จะจบลง และไม่มีการเกิดขึ้นอีก** และเชื่อว่าคำถามนี้จะเป็นเรื่องที่นักลงทุนให้ความสนใจเป็นอันดับแรก ดังนั้นหากคำตอบที่ให้ไปยังไม่ชัดเจน การกลับเข้าลงทุนในไทยอีกครั้งก็ยังมีโอกาสน้อยต่อไป เราต้องกลับมาแก้ไขปัญหาในประเทศให้เรียบร้อยก่อนจะดีกว่าการเร่งเดินทางไปโรดโชว์ เพื่อเวลาตอบคำถามจะได้ชี้แจงได้อย่างไร้ข้อสงสัย และไร้โต้แย้ง
ทั้งนี้ นอกเหนือจากสถานการณ์ในประเทศแล้ว ภาพรวมเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทย โดยล่าสุด วิกฤตเศรษฐกิจโลกเริ่มมีแนวโน้มในการฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้ว จากนโยบายการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของหลายประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกา กลุ่มสหภาพยุโรป มีการร่วมมือประสานนโยบายต่างๆให้เดินรุดหน้าไปในแนวทางเดียวกัน ทำให้สถานการณ์โลกขณะนี้อยู่ในระดับพอใจ อีกทั้งบรรดาโบรกเกอร์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนต่างๆ ก็ร่วมมือกันแสดงความคิดออกมาในแง่ดีมากขึ้น ซึ่งส่วนนี้นับเป็นจิตวิทยาที่สำคัญประการหนึ่ง ที่ช่วยสร้างความมั่นในกับนักลงทุนต่างชาติได้เป็นอย่างดี
ล่าสุด **สถาบันวิจัยนครหลวงไทย (SCRI)** ประเมินว่าสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยกระดับเป็นการจลาจลจนทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งยังคงมีผลจนถึงปัจจุบัน เป็นผลให้ระดับความเสี่ยงของการเมืองปรับเพิ่มขึ้นในระยะกลาง – ยาว และทำให้โอกาสที่รัฐบาลต้องเลือกแนวทางการยุบสภาในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองมีเพิ่มขึ้นในปี 2552
**โดย SCRI ประเมินว่า สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในครั้งประวัติศาสตร์นี้จะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 – 2553 โดย SCRI อยู่ระหว่างการปรับลดกรอบ GDP ในปี 2552 ลงจากเดิมที่คาดไว้ในกรอบ -1.5% ถึง 0.5%** เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบที่รุนแรงขึ้น ในขณะที่ภาคการบริโภคและการลงทุนของเอกชนมีความเสี่ยงปรับลดลงเช่นกัน จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่คาดว่าจะปรับลดลงอีกครั้ง รวมถึงอัตราการว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
**ด้านแนวโน้มตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะถูกกดดันจากปัจจัยความเสี่ยงด้านการเมืองเพิ่มขึ้นในระยะกลาง-ยาวเช่นกัน และคาดว่าจะเป็นผลให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค (Under perform) จึงประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯในปี 2552 ไว้ที่ระดับ 364-483 จุด** แนะนำ ซื้อลงทุนในหุ้น Defensive ที่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่อง ได้แก่ EGCO GLOW BEC GRAMMY BCP-DR1 ADVANC
**นอกจากนี้ ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับน่าเชื่อถือลงได้อีก โดยคาดว่าไทย ยังคงมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับเครดิตได้อีกในอนาคต เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งนำไปสู่การแตกแยกของมวลชน ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งผลกระทบจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือนอกจากกระทบความเชื่อมั่นแล้ว ยังคงส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลกำลังเตรียมแผนที่จะกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อที่จะเป็นวงเงินในแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยาว ตามแผนในช่วงปี 2552-2555 ซึ่งมีวงเงินทั้งสิ้น 1.56 ล้านล้านบาท **
แต่หลังจากการจลาจลภายในกรุงเทพฯ และการยกเลิกการประชุมระดับประเทศที่พัทยาเมื่อช่วง 9 – 15เมษายนที่ผ่านมา ความเสียหายที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ โดยสร้างผลกระทบถึงแดนขวานทองอย่างหนัก อันดับเครดิต เรทติ้งความน่าเชื่อถือของประเทศ และสกุลเงินบาทถึงหั่นทอนลงไป จึงเป็นหน้าที่ของภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งมือแก้ไข โดยเฉพาะตลาดทุนซึ่งจะเป็นกันชนแรกในการรับมหันตภัยในครั้งนี้
**กิตติพันธ์ คงสวัสดิ์เกียรติผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสาทรธานี และผู้จัดการโครงการหลักสูตร MBA มหาวิทยาลัยรังสิต** ให้ความเห็นถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ว่า ยังอยู่ในลักษณะทรงตัว แต่ความเชื่อมั่นต่อการลงทุนยังมีไม่มากเท่าใดนัก ทำให้มีหลายคนมองว่าอาจจะมีจุดต่ำสุดมมากกว่านี้ แม้บรรดาโ บรกเกอร์จะร่วมแรงกันแนะนำว่านี่คือจุดต่ำสุดแล้ว และสถานการณ์ก็จะเริ่มดีขึ้นก็ตาม
**“สถานการณ์การเมืองในประเทศยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยว หัวต่อ ยังไม่มีความแน่ชัดว่าในปัจจุบัน และในอนาคตจะสงบลงได้หรือไม่ นักลงทุนต้องสินใจให้ดีเวลาเข้าไปลงทุน โดยอาจเข้าไปทำกำไรได้จากการซื้อขายช่วงสั้นๆ แต่สำหรับการลงทุนในระยะเวลาที่ยาว ยังไม่มีความแน่นอนเท่าที่ควร”**
สำหรับ กรณีที่ประเทศไทย ถูกปรับลดอันดับเครดิตเรทติ้ง จากสถาบันการจัดอันดับขนาดใหญ่นั้น ผู้จัดการโครงการหลักสูตร MBA ม.รังสิต มองว่า การจัดอันดับเครดิตนั้น จะไม่ดูเพียงตัวเลขเศรษฐกิจหรือตัวเลขทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่จะมองถึงสถานการณ์ในประเทศ การเมือง ภาพลักษณ์ของบริษัทจดทะเบียนหรือองค์กรด้วย ดังนั้นเมื่อประเทศเกิดปัญญาทางการเมือง ภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นและความปลอดภัย ต่อเงินที่จะนำมาลงทุน และตัวบุคคลที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยของชาวต่างชาติจึงน้อยลงไปได้
ดังนั้น แม้รัฐบาลจะประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะจำกัดพื้นที่เฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑลบางส่วนก็ตาม ความกังวลเรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มากที่สุด และเป็นเรื่องที่ควรรีบแก้ไข เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน การท่องเที่ยวนับเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้เข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจของประเทศไทย เพราะเป็นอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่มีต้นทุนในการลงทุนที่น้อยกว่าอุตสาหกรรมการส่งออกสินค้า ไทยสามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติและบุคลากรในประเทศให้เกิดศักยภาพสูงสุดในอุตสาหกรรมดังกล่าวได้
**“ภาพรวม ณ ขณะนี้ หากรัฐบาลสามารถถอนพ..ร.ก.ฉุกเฉินออกไปได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เพราะจะช่วยให้หนึ่งอุตสาหกรรมหลักของประเทศ อย่างการท่องเที่ยวมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ซึ่งจุดนี้จะช่วยสร้างได้เข้ามาชดเชยกับรายได้ของประเทศที่ขาดไปจากการส่งออกได้ส่วนหนึ่ง”**
ส่วนการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ กระทรวงการคลัง จะร่วมเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริงให้นักลงทุนต่างชาติเข้าใจนั้น อาจารย์กิตติพันธ์ ให้ความเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีและเป็นการดำเนินงานที่ถูกต้อง แต่ยังไม่เข้าใจว่า**ตลาดหลักทรัพย์ฯจะไปตอบคำถามของชาวโลกได้อย่างไร เมื่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่มีข้อยุติ แม้ปัญหาการก่อการจลาจลจะคลี่คลายลงไป แต่ยังไม่มีความแน่นอนที่ชัดเจนว่าปัญหาเหล่านี้จะจบลง และไม่มีการเกิดขึ้นอีก** และเชื่อว่าคำถามนี้จะเป็นเรื่องที่นักลงทุนให้ความสนใจเป็นอันดับแรก ดังนั้นหากคำตอบที่ให้ไปยังไม่ชัดเจน การกลับเข้าลงทุนในไทยอีกครั้งก็ยังมีโอกาสน้อยต่อไป เราต้องกลับมาแก้ไขปัญหาในประเทศให้เรียบร้อยก่อนจะดีกว่าการเร่งเดินทางไปโรดโชว์ เพื่อเวลาตอบคำถามจะได้ชี้แจงได้อย่างไร้ข้อสงสัย และไร้โต้แย้ง
ทั้งนี้ นอกเหนือจากสถานการณ์ในประเทศแล้ว ภาพรวมเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทย โดยล่าสุด วิกฤตเศรษฐกิจโลกเริ่มมีแนวโน้มในการฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้ว จากนโยบายการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของหลายประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกา กลุ่มสหภาพยุโรป มีการร่วมมือประสานนโยบายต่างๆให้เดินรุดหน้าไปในแนวทางเดียวกัน ทำให้สถานการณ์โลกขณะนี้อยู่ในระดับพอใจ อีกทั้งบรรดาโบรกเกอร์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนต่างๆ ก็ร่วมมือกันแสดงความคิดออกมาในแง่ดีมากขึ้น ซึ่งส่วนนี้นับเป็นจิตวิทยาที่สำคัญประการหนึ่ง ที่ช่วยสร้างความมั่นในกับนักลงทุนต่างชาติได้เป็นอย่างดี
ล่าสุด **สถาบันวิจัยนครหลวงไทย (SCRI)** ประเมินว่าสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยกระดับเป็นการจลาจลจนทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งยังคงมีผลจนถึงปัจจุบัน เป็นผลให้ระดับความเสี่ยงของการเมืองปรับเพิ่มขึ้นในระยะกลาง – ยาว และทำให้โอกาสที่รัฐบาลต้องเลือกแนวทางการยุบสภาในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองมีเพิ่มขึ้นในปี 2552
**โดย SCRI ประเมินว่า สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในครั้งประวัติศาสตร์นี้จะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 – 2553 โดย SCRI อยู่ระหว่างการปรับลดกรอบ GDP ในปี 2552 ลงจากเดิมที่คาดไว้ในกรอบ -1.5% ถึง 0.5%** เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบที่รุนแรงขึ้น ในขณะที่ภาคการบริโภคและการลงทุนของเอกชนมีความเสี่ยงปรับลดลงเช่นกัน จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่คาดว่าจะปรับลดลงอีกครั้ง รวมถึงอัตราการว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
**ด้านแนวโน้มตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะถูกกดดันจากปัจจัยความเสี่ยงด้านการเมืองเพิ่มขึ้นในระยะกลาง-ยาวเช่นกัน และคาดว่าจะเป็นผลให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค (Under perform) จึงประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯในปี 2552 ไว้ที่ระดับ 364-483 จุด** แนะนำ ซื้อลงทุนในหุ้น Defensive ที่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่อง ได้แก่ EGCO GLOW BEC GRAMMY BCP-DR1 ADVANC
**นอกจากนี้ ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับน่าเชื่อถือลงได้อีก โดยคาดว่าไทย ยังคงมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับเครดิตได้อีกในอนาคต เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งนำไปสู่การแตกแยกของมวลชน ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งผลกระทบจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือนอกจากกระทบความเชื่อมั่นแล้ว ยังคงส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลกำลังเตรียมแผนที่จะกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อที่จะเป็นวงเงินในแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยาว ตามแผนในช่วงปี 2552-2555 ซึ่งมีวงเงินทั้งสิ้น 1.56 ล้านล้านบาท **