แม้ขณะนี้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจะยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ แต่เริ่มมีสัญญาณชัดเจนขึ้นทุกทีว่าศึกเผาบ้านเผาเมืองรอบสองที่อาจมีความรุนแรงและเกิดความเสียหายมากกว่าการเผาบ้านเผาเมืองในเทศกาลสงกรานต์ครั้งใหม่กำลังจะเกิดขึ้นอีกแล้ว
เพียงแต่รอเวลาว่าเมื่อใดที่รัฐบาลยกเลิกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและทหารซึ่งมาดูแลความปลอดภัยอยู่ในขณะนี้ถอนกำลังออกไป เมื่อนั้นการรวมตัวของคนเสื้อแดงครั้งใหม่ก็จะเกิดขึ้นอีก
และถ้ามันเกิดขึ้นจริงก็เป็นที่แน่นอนว่าต่อไปนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแก้ไขเศรษฐกิจกันอีกต่อไปแล้ว ที่จะต้องพูดถึงกันก็จะมีแต่เรื่องสงครามกลางเมืองเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลและคนไทยจะต้องพิจารณาใคร่ครวญในเรื่องนี้ให้จงดี
เพราะมีนักธุรกิจเห็นแก่ตัว นักวิชากินที่เห็นแก่ประโยชน์ตน ตลอดจนพวกกลางกลวงบางจำพวกกำลังประสานเสียงให้ยกเลิกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยเร็วที่สุด โดยไม่ต้องดูตาม้าตาเรือว่าภัยคุกคามที่ร้ายแรงกว่าคราวที่แล้วจะเกิดขึ้นหรือไม่เพียงใด
ก่อนอื่นขอเตือนสติของพวกกระหายอำนาจและกระหายเลือดบางคนว่า การใช้ความรุนแรงนั้นในที่สุดแล้วก็ไม่มีทางชนะ มีแต่ความพ่ายแพ้สถานเดียวเท่านั้น
ในหนังสือปรัชญาแผ่นดินฉบับที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2525 ได้ระบุความไว้ในอารัมภบทอย่างแหลมคมว่า
“ชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องของถิ่นกำเนิดที่ดำรงอยู่ ด้วยหยาดเหงื่อชีวิตและสัจธรรม ไม่อาจเข้าครอบครองได้ด้วยความรุนแรง โดยปราศจากสติและความยั้งคิด ไม่อาจยึดถือเป็นของส่วนตัวได้ ผู้ที่ใช้ความรุนแรงโดยปราศจากแนวทางจะต้องพ่ายแพ้ ผู้ที่ยึดถือเป็นส่วนตัวจะต้องสูญเสียอำนาจ เพราะอำนาจเป็นธรรม คืออธิปไตยของปวงชน อันเป็นสัจธรรมโดยแท้ ที่บัณฑิตพึงทำให้บังเกิดขึ้นเพื่อความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และความสันติสุขของราษฎร”
การก่อการจลาจลในเทศกาลสงกรานต์เป็นความรุนแรงครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นมาในประเทศไทย แต่เดชะบุญของคนไทยและประเทศไทยเพราะ “พระสยามเทวาธิราชจะปกป้องคุ้มครองคนดีของชาติบ้านเมืองเสมอ และจะสาปแช่งคนไม่ดีให้มีอันต้องตกทุกข์ได้ยากแสนสาหัสตลอดชีวิต”
ลองนึกดูเถิดว่า ผู้บงการก่อการจลาจลครั้งนี้มีจิตใจเหี้ยมโหดอำมหิตเพียงไหน เพราะนอกจากใช้ระเบิด อาวุธ ทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชน และใช้ไฟเผาผลาญทรัพย์สิน สถานที่ราชการและบ้านเรือนของประชาชนแล้ว ยังเตรียมรถแก๊สเพื่อระเบิดเผาบ้านเผาเมืองถึง 3 คัน
คันแรก บรรจุแก๊ส 8 ตัน นำไปจอดที่ดินแดง คันที่สอง บรรจุแก๊ส 5 ตัน นำไปจอดที่ยมราช คันที่สาม บรรจุแก๊ส 3 ตัน นำไปจอดบริเวณใกล้พรรคประชาธิปัตย์
หากระเบิดพร้อมกันทั้งสามจุดแล้ว ชีวิตคนกรุงเทพฯ จะไม่ล้มหายตายจากนับล้านคนดอกหรือ? บ้านเรือนทรัพย์สินราษฎรจะไม่พินาศฉิบหายนับล้านล้านบาทดอกหรือ? กรุงเทพฯ จะไม่ถูกเผาผลาญไปเกือบครึ่งเมืองดอกหรือ? ชีวิตทหาร ตำรวจ ประชาชน แม้กระทั่งคนเสื้อแดงที่ชุมนุมอยู่ทั้งในและนอกทำเนียบรัฐบาลจะไม่ถูกไฟคลอกตายหมดดอกหรือ?
คงจะจำกันได้ว่าเมื่อครั้งรถแก๊สของบริษัทเดียวกันนี้ระเบิดเพลิงไหม้ที่สะพานลอยประตูน้ำเมื่อหลายปีก่อน มีน้ำหนักบรรทุกแก๊สแค่ 1 ตัน ไฟก็คลอกทำให้คนเจ็บตายหลายร้อยคน ทำให้บ้านเรือนทรัพย์สินราษฎรเสียหายมหาศาล ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมที่ฝังใจคนกรุงเทพฯ อยู่ไม่รู้ลืม
ใครเล่าที่มีน้ำใจโหดเหี้ยมอำมหิตไม่คิดถึงชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนเช่นนี้ แม้คนเสื้อแดงเองก็เถิด ขอเพียงตั้งสติให้เที่ยงตรง แล้วใคร่ครวญดูก็จะเห็นมหันตภัยและน้ำใจอำมหิตของผู้บงการว่าพร้อมจะสังหารผลาญชีวิตของทุกคน แม้คนเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุมเพื่อประโยชน์ของตนเท่านั้น
เหล่านั้นคือความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการก่อจลาจลครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ และในหลายพื้นที่ในต่างจังหวัดประเทศไทย แล้วให้ผลอย่างไรเล่า? ความรุนแรงนั้นได้ทำให้การเคลื่อนไหว “ปฏิวัติประชาชน” ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกหน้ามาระดมพลบัญชาการด้วยตนเองต้องพังครืนลงในชั่วพริบตา และได้ก่อศัตรูขึ้นทั่วทั้งกรุงเทพฯ ทั้งในต่างจังหวัด แม้กระทั่งในโลกอิสลาม
การที่คนเสื้อแดงไปถึงไหน โยนระเบิดเพลิงใส่ถึงนั่น ไปถึงไหนทุบตีทำร้ายทำลายผู้คนและทรัพย์สินราษฎรถึงนั่น แม้ได้สร้างความหวาดกลัวในตอนต้น แต่ในที่สุดคนไทยทั้งประเทศและชาวโลกก็ได้รู้เช่นเห็นชาติของความป่าเถื่อนผิดมนุษย์ และทำให้กลยุทธ์ในแผนตากสินที่ใช้ชื่อว่า “ดิบ เถื่อน ถ่อย” ต้องพินาศลงอย่างยับเยิน
ความจริงที่เกิดขึ้นคือคนกรุงเทพฯ ตามชุมชนต่างๆ ได้ก้าวพ้นความหวาดกลัว แล้วรวมตัวกันปกป้องชุมชนของตนเอง เข้าต่อสู้ต่อต้านและขับไล่พวกป่าเถื่อนอย่างกล้าหาญ
ตัวอย่างการลุกขึ้นสู้เพื่อต่อต้านขับไล่คนเสื้อแดงของชาวชุมชนสาทร ของชาวชุมชนนางเลิ้ง ของพี่น้องมุสลิมและชาวพุทธชุมชนถนนเพชรบุรี ซอย 5 ซอย 7 ของพี่น้องมุสลิมชุมชนบ้านครัว ของพี่น้องไทยพุทธย่านกิ่งเพชร ของชุมชนผู้ใช้แรงงานรถไฟมักกะสันและรถไฟ และอีกหลายพื้นที่ รวมทั้งอีกหลายพื้นที่ในต่างจังหวัด คือปรากฏการณ์ลุกขึ้นสู้ของเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง ที่ไม่ยอมให้ใครอ้างชื่อประชาชนไปเผาบ้านเผาเมืองอีกต่อไป
การลุกขึ้นสู้ของประชาชนชุมชนต่างๆ ได้รับการสดุดีว่าเป็นวีรชนเยี่ยงบรรพบุรุษบางระจันของคนไทย และกำลังขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง
เหล่านี้คือโลกธรรมอันได้พิสูจน์ความจริงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า “ผู้ที่ใช้ความรุนแรงโดยปราศจากแนวทางจะต้องพ่ายแพ้” และเป็นความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ทั้งภายในประเทศและในทางสากลของระบอบทักษิณ
ขบวนการก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองเตรียมแผนการรองรับในการปลุกระดมครั้งใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ หากว่ามีประชาชนบาดเจ็บ ล้มตาย จากการสลายการชุมนุม และทันทีที่มีการสลายการชุมนุมก็เปิดฉากการรณรงค์อย่างทั่วด้านในทันที กล่าวหารัฐบาลและกองทัพไทยว่าเข่นฆ่าประชาชน
แต่แผนนั้นไม่บรรลุผล มิหนำซ้ำยังถูกกระชากหน้ากากอย่างล่อนจ้อนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะความรุนแรงไม่ได้เกิดขึ้นดังคาดหวัง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเป็นผู้นำที่มีสติมั่นคงและยึดมั่นในการไม่ใช้ความรุนแรงไปหยุดยั้งหรือระงับความรุนแรงอย่างได้ผล ได้บรรลุภารกิจอันแสนยาก “แต่ไม่ยากเกิน” ได้สำเร็จอย่างงดงาม จนได้รับการสดุดีและชื่นชมทั่วทั้งสากล
ในนาทีระทึกขวัญของการเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งมีการเตรียมการระเบิดถังแก๊สจำนวนมาก ตลอดจนเตรียมใช้ระเบิดแก๊สระเบิดรถบัสและเผารถบัสอีกจำนวนมากนั้น กองทัพสามารถใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ใช้ความว่างและความนิ่งเข้าสลายความรุนแรงอย่างมีพลังยิ่ง จนเหตุการณ์คลี่คลายไปโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อเลยแม้แต่หยดเดียว
นั่นคือชัยชนะของสันติต่อความรุนแรง เป็นชัยชนะที่ได้มาโดยไม่ต้องรบ นับเป็นชัยชนะชั้นเลิศ
ในประเทศสังคมนิยมบางประเทศเคยมีคำประกาศในลักษณะที่ว่า “เราจะใช้ความรุนแรงที่ปฏิวัติเข้าปราบปรามความรุนแรงที่ปฏิปักษ์ปฏิวัติได้” และก็เคยใช้สำเร็จมาแล้ว
เช่นเดียวกัน รัฐบาลสามารถใช้ความรุนแรงตามกฎหมายเข้าหยุดยั้งหรือระงับความรุนแรงนอกกฎหมายได้ ทำนองเดียวกับประชาชนสามารถใช้อาวุธป้องกันตนได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็มิได้ใช้ หากมุ่งยึดมั่นในการใช้สันติระงับยับยั้งความรุนแรงอย่างมั่นคง และได้ผลที่งดงามจนนำความสงบสุขกลับคืนมาได้
ถึงกระนั้นความเสียหายมหาศาลก็เกิดขึ้นแล้ว และมันกำลังจะเกิดขึ้นอีก เพราะทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคน และแกนนำคนเสื้อแดงบางคนก็ได้ประกาศข่มขู่ออกมาแล้วว่าจะเกิดความรุนแรงครั้งใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเก่า และกำลังมีการเคลื่อนไหวสอดคล้องรองรับกันอยู่ในขณะนี้
ดังนั้นทั้งรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคง ตลอดจนประชาชน จึงไม่อาจนิ่งนอนใจได้ ภยันตรายที่ร้ายแรงกำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว จึงต้องใช้ความระมัดระวังและเตรียมการป้องกันตนเองไว้ให้พรั่งพร้อมอยู่เสมอ และการป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับรัฐบาลนั้นคือการหยุดยั้งการก่อเหตุร้ายให้ทันท่วงที ไม่ต้องปล่อยให้เผาบ้านเผาเมืองเสียก่อนเหมือนครั้งที่ผ่านมา.
เพียงแต่รอเวลาว่าเมื่อใดที่รัฐบาลยกเลิกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและทหารซึ่งมาดูแลความปลอดภัยอยู่ในขณะนี้ถอนกำลังออกไป เมื่อนั้นการรวมตัวของคนเสื้อแดงครั้งใหม่ก็จะเกิดขึ้นอีก
และถ้ามันเกิดขึ้นจริงก็เป็นที่แน่นอนว่าต่อไปนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแก้ไขเศรษฐกิจกันอีกต่อไปแล้ว ที่จะต้องพูดถึงกันก็จะมีแต่เรื่องสงครามกลางเมืองเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลและคนไทยจะต้องพิจารณาใคร่ครวญในเรื่องนี้ให้จงดี
เพราะมีนักธุรกิจเห็นแก่ตัว นักวิชากินที่เห็นแก่ประโยชน์ตน ตลอดจนพวกกลางกลวงบางจำพวกกำลังประสานเสียงให้ยกเลิกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยเร็วที่สุด โดยไม่ต้องดูตาม้าตาเรือว่าภัยคุกคามที่ร้ายแรงกว่าคราวที่แล้วจะเกิดขึ้นหรือไม่เพียงใด
ก่อนอื่นขอเตือนสติของพวกกระหายอำนาจและกระหายเลือดบางคนว่า การใช้ความรุนแรงนั้นในที่สุดแล้วก็ไม่มีทางชนะ มีแต่ความพ่ายแพ้สถานเดียวเท่านั้น
ในหนังสือปรัชญาแผ่นดินฉบับที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2525 ได้ระบุความไว้ในอารัมภบทอย่างแหลมคมว่า
“ชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องของถิ่นกำเนิดที่ดำรงอยู่ ด้วยหยาดเหงื่อชีวิตและสัจธรรม ไม่อาจเข้าครอบครองได้ด้วยความรุนแรง โดยปราศจากสติและความยั้งคิด ไม่อาจยึดถือเป็นของส่วนตัวได้ ผู้ที่ใช้ความรุนแรงโดยปราศจากแนวทางจะต้องพ่ายแพ้ ผู้ที่ยึดถือเป็นส่วนตัวจะต้องสูญเสียอำนาจ เพราะอำนาจเป็นธรรม คืออธิปไตยของปวงชน อันเป็นสัจธรรมโดยแท้ ที่บัณฑิตพึงทำให้บังเกิดขึ้นเพื่อความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และความสันติสุขของราษฎร”
การก่อการจลาจลในเทศกาลสงกรานต์เป็นความรุนแรงครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นมาในประเทศไทย แต่เดชะบุญของคนไทยและประเทศไทยเพราะ “พระสยามเทวาธิราชจะปกป้องคุ้มครองคนดีของชาติบ้านเมืองเสมอ และจะสาปแช่งคนไม่ดีให้มีอันต้องตกทุกข์ได้ยากแสนสาหัสตลอดชีวิต”
ลองนึกดูเถิดว่า ผู้บงการก่อการจลาจลครั้งนี้มีจิตใจเหี้ยมโหดอำมหิตเพียงไหน เพราะนอกจากใช้ระเบิด อาวุธ ทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชน และใช้ไฟเผาผลาญทรัพย์สิน สถานที่ราชการและบ้านเรือนของประชาชนแล้ว ยังเตรียมรถแก๊สเพื่อระเบิดเผาบ้านเผาเมืองถึง 3 คัน
คันแรก บรรจุแก๊ส 8 ตัน นำไปจอดที่ดินแดง คันที่สอง บรรจุแก๊ส 5 ตัน นำไปจอดที่ยมราช คันที่สาม บรรจุแก๊ส 3 ตัน นำไปจอดบริเวณใกล้พรรคประชาธิปัตย์
หากระเบิดพร้อมกันทั้งสามจุดแล้ว ชีวิตคนกรุงเทพฯ จะไม่ล้มหายตายจากนับล้านคนดอกหรือ? บ้านเรือนทรัพย์สินราษฎรจะไม่พินาศฉิบหายนับล้านล้านบาทดอกหรือ? กรุงเทพฯ จะไม่ถูกเผาผลาญไปเกือบครึ่งเมืองดอกหรือ? ชีวิตทหาร ตำรวจ ประชาชน แม้กระทั่งคนเสื้อแดงที่ชุมนุมอยู่ทั้งในและนอกทำเนียบรัฐบาลจะไม่ถูกไฟคลอกตายหมดดอกหรือ?
คงจะจำกันได้ว่าเมื่อครั้งรถแก๊สของบริษัทเดียวกันนี้ระเบิดเพลิงไหม้ที่สะพานลอยประตูน้ำเมื่อหลายปีก่อน มีน้ำหนักบรรทุกแก๊สแค่ 1 ตัน ไฟก็คลอกทำให้คนเจ็บตายหลายร้อยคน ทำให้บ้านเรือนทรัพย์สินราษฎรเสียหายมหาศาล ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมที่ฝังใจคนกรุงเทพฯ อยู่ไม่รู้ลืม
ใครเล่าที่มีน้ำใจโหดเหี้ยมอำมหิตไม่คิดถึงชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนเช่นนี้ แม้คนเสื้อแดงเองก็เถิด ขอเพียงตั้งสติให้เที่ยงตรง แล้วใคร่ครวญดูก็จะเห็นมหันตภัยและน้ำใจอำมหิตของผู้บงการว่าพร้อมจะสังหารผลาญชีวิตของทุกคน แม้คนเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุมเพื่อประโยชน์ของตนเท่านั้น
เหล่านั้นคือความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการก่อจลาจลครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ และในหลายพื้นที่ในต่างจังหวัดประเทศไทย แล้วให้ผลอย่างไรเล่า? ความรุนแรงนั้นได้ทำให้การเคลื่อนไหว “ปฏิวัติประชาชน” ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกหน้ามาระดมพลบัญชาการด้วยตนเองต้องพังครืนลงในชั่วพริบตา และได้ก่อศัตรูขึ้นทั่วทั้งกรุงเทพฯ ทั้งในต่างจังหวัด แม้กระทั่งในโลกอิสลาม
การที่คนเสื้อแดงไปถึงไหน โยนระเบิดเพลิงใส่ถึงนั่น ไปถึงไหนทุบตีทำร้ายทำลายผู้คนและทรัพย์สินราษฎรถึงนั่น แม้ได้สร้างความหวาดกลัวในตอนต้น แต่ในที่สุดคนไทยทั้งประเทศและชาวโลกก็ได้รู้เช่นเห็นชาติของความป่าเถื่อนผิดมนุษย์ และทำให้กลยุทธ์ในแผนตากสินที่ใช้ชื่อว่า “ดิบ เถื่อน ถ่อย” ต้องพินาศลงอย่างยับเยิน
ความจริงที่เกิดขึ้นคือคนกรุงเทพฯ ตามชุมชนต่างๆ ได้ก้าวพ้นความหวาดกลัว แล้วรวมตัวกันปกป้องชุมชนของตนเอง เข้าต่อสู้ต่อต้านและขับไล่พวกป่าเถื่อนอย่างกล้าหาญ
ตัวอย่างการลุกขึ้นสู้เพื่อต่อต้านขับไล่คนเสื้อแดงของชาวชุมชนสาทร ของชาวชุมชนนางเลิ้ง ของพี่น้องมุสลิมและชาวพุทธชุมชนถนนเพชรบุรี ซอย 5 ซอย 7 ของพี่น้องมุสลิมชุมชนบ้านครัว ของพี่น้องไทยพุทธย่านกิ่งเพชร ของชุมชนผู้ใช้แรงงานรถไฟมักกะสันและรถไฟ และอีกหลายพื้นที่ รวมทั้งอีกหลายพื้นที่ในต่างจังหวัด คือปรากฏการณ์ลุกขึ้นสู้ของเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง ที่ไม่ยอมให้ใครอ้างชื่อประชาชนไปเผาบ้านเผาเมืองอีกต่อไป
การลุกขึ้นสู้ของประชาชนชุมชนต่างๆ ได้รับการสดุดีว่าเป็นวีรชนเยี่ยงบรรพบุรุษบางระจันของคนไทย และกำลังขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง
เหล่านี้คือโลกธรรมอันได้พิสูจน์ความจริงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า “ผู้ที่ใช้ความรุนแรงโดยปราศจากแนวทางจะต้องพ่ายแพ้” และเป็นความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ทั้งภายในประเทศและในทางสากลของระบอบทักษิณ
ขบวนการก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองเตรียมแผนการรองรับในการปลุกระดมครั้งใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ หากว่ามีประชาชนบาดเจ็บ ล้มตาย จากการสลายการชุมนุม และทันทีที่มีการสลายการชุมนุมก็เปิดฉากการรณรงค์อย่างทั่วด้านในทันที กล่าวหารัฐบาลและกองทัพไทยว่าเข่นฆ่าประชาชน
แต่แผนนั้นไม่บรรลุผล มิหนำซ้ำยังถูกกระชากหน้ากากอย่างล่อนจ้อนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะความรุนแรงไม่ได้เกิดขึ้นดังคาดหวัง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเป็นผู้นำที่มีสติมั่นคงและยึดมั่นในการไม่ใช้ความรุนแรงไปหยุดยั้งหรือระงับความรุนแรงอย่างได้ผล ได้บรรลุภารกิจอันแสนยาก “แต่ไม่ยากเกิน” ได้สำเร็จอย่างงดงาม จนได้รับการสดุดีและชื่นชมทั่วทั้งสากล
ในนาทีระทึกขวัญของการเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งมีการเตรียมการระเบิดถังแก๊สจำนวนมาก ตลอดจนเตรียมใช้ระเบิดแก๊สระเบิดรถบัสและเผารถบัสอีกจำนวนมากนั้น กองทัพสามารถใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ใช้ความว่างและความนิ่งเข้าสลายความรุนแรงอย่างมีพลังยิ่ง จนเหตุการณ์คลี่คลายไปโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อเลยแม้แต่หยดเดียว
นั่นคือชัยชนะของสันติต่อความรุนแรง เป็นชัยชนะที่ได้มาโดยไม่ต้องรบ นับเป็นชัยชนะชั้นเลิศ
ในประเทศสังคมนิยมบางประเทศเคยมีคำประกาศในลักษณะที่ว่า “เราจะใช้ความรุนแรงที่ปฏิวัติเข้าปราบปรามความรุนแรงที่ปฏิปักษ์ปฏิวัติได้” และก็เคยใช้สำเร็จมาแล้ว
เช่นเดียวกัน รัฐบาลสามารถใช้ความรุนแรงตามกฎหมายเข้าหยุดยั้งหรือระงับความรุนแรงนอกกฎหมายได้ ทำนองเดียวกับประชาชนสามารถใช้อาวุธป้องกันตนได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็มิได้ใช้ หากมุ่งยึดมั่นในการใช้สันติระงับยับยั้งความรุนแรงอย่างมั่นคง และได้ผลที่งดงามจนนำความสงบสุขกลับคืนมาได้
ถึงกระนั้นความเสียหายมหาศาลก็เกิดขึ้นแล้ว และมันกำลังจะเกิดขึ้นอีก เพราะทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคน และแกนนำคนเสื้อแดงบางคนก็ได้ประกาศข่มขู่ออกมาแล้วว่าจะเกิดความรุนแรงครั้งใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเก่า และกำลังมีการเคลื่อนไหวสอดคล้องรองรับกันอยู่ในขณะนี้
ดังนั้นทั้งรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคง ตลอดจนประชาชน จึงไม่อาจนิ่งนอนใจได้ ภยันตรายที่ร้ายแรงกำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว จึงต้องใช้ความระมัดระวังและเตรียมการป้องกันตนเองไว้ให้พรั่งพร้อมอยู่เสมอ และการป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับรัฐบาลนั้นคือการหยุดยั้งการก่อเหตุร้ายให้ทันท่วงที ไม่ต้องปล่อยให้เผาบ้านเผาเมืองเสียก่อนเหมือนครั้งที่ผ่านมา.