xs
xsm
sm
md
lg

ไฟต์บังคับของ นายกฯ อภิสิทธิ์

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล

“มีแต่ในสถานที่ต่ำต้อยและสถานการณ์ต่ำช้า ความสูงส่งจึงปรากฎ ดังเช่นบัวงามผุดกำเนิดจากโคลนตม และศาสดากำเนิดจากวงวัฏแห่งกรรมเวร” - - - เสกสรรค์ ประเสริฐกุล [1]

ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ประเทศชาติและประชาชนชาวไทยรอดพ้นวิกฤตบนปากเหวมาได้อย่างหวุดหวิด ด้วยความร่วมแรงร่วมใจกันของปวงชนชาวไทย ความเสียสละของเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้ภาวะการนำของชายวัย 44 ปี นาม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ปฏิบัติการภายใต้การกำกับของคุณอภิสิทธิ์ รัฐมนตรีและผู้รับผิดชอบ โดยเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนในช่วงวันที่ 13 และ 14 เมษายน ถือได้ว่าเป็นปฏิบัติการการสลายการชุมนุมที่หมดจด เรียบร้อย และไร้ข้อครหาจากทั้งสื่อในประเทศและสื่อต่างรประเทศโดยสิ้นเชิง

จะมีคำติฉินนินทาก็เพียงในหมู่ของ สื่อมวลชน นักวิชาการ ส.ส. ส.ว. ริบบิ้นขาว-กางเกงในแดงไม่กี่คนเท่านั้นที่จงใจรับข้อมูลมาจากฝ่ายระบอบทักษิณ อีกทั้งปลุกปั่นสถานการณ์ว่า “รัฐใช้ความรุนแรงเกินเหตุกับประชาชน” และนำข้ออ้างนี้มาจี้ให้นายกรัฐมนตรียุบสภา หรือ ลาออกจากตำแหน่ง

โดยทัศนะส่วนตัว ผมขอยืนยันสนับสนุนให้คุณอภิสิทธิ์นั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยไม่ต้องยุบสภา หรือ ลาออก เพราะในสถานการณ์ของประเทศเช่นนี้ เมื่อมองไปทั่วทั้งแผ่นดินแล้ว ผมยังไม่เห็นใครเหมาะสมกับสถานการณ์เช่นนี้กว่าคุณอภิสิทธิ์อีก

ที่ว่าเช่นนี้มิได้เป็นการประจบประแจง หวังจะเอาใจนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด เพราะหากพูดกันอย่างตรงไปตรงมา หากผู้บริหารประเทศคนใดปล่อยให้ประเทศชาติตกอยู่ในสภาวะเช่นเดียวกับประเทศไทยในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ ปล่อยให้มีกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงปิดถนนทั่วเมือง ปล่อยให้ม็อบเข้าไปทำลายการประชุมสุดยอดอาเซียน ปล่อยให้มีการก่อการจลาจลทั่วกรุงเทพฯ จนส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก และผู้เสียชีวิตอีกจำนวนหนึ่งเช่นนี้ ผู้นำคนนั้นก็สมควรพิจารณาตัวเองโดยทันที

เนื่องจาก ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติ ประชาชนและบ้านเมืองนั้นปรากฎขึ้นจริงแล้ว กระนั้นความเสียหายทางเศรษฐกิจจะกี่หมื่นล้าน หรือ แสนล้านบาทไม่ว่า แต่การที่ปล่อยให้บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะระส่ำระสาย ผู้นำต่างชาติไม่ได้รับความปลอดภัย อีกทั้งบีบคั้นให้ประชาชนในชุมชนทั้งหลายต้องออกมาปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตัวเอง จนทำให้เกิดเหตุการณ์น่าโศกสลด คือ มีชาวบ้านย่านนางเลิ้งเสียชีวิตไป 2 คน จากการก่อการของคนเสื้อแดง

ถามว่าชื่อเสียงของประเทศที่สูญหาย และ ชีวิตประชาชนที่สูญเสียไป ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ?

สิ่งที่เกิดขึ้นแทบจะเรียกได้ว่า ประเทศไทยใกล้เคียงกับการเป็น รัฐที่ล้มละลาย (Failed State) เต็มที เนื่องจากรัฐไม่สามารถทำหน้าที่เป็นหลักประกันด้านความมั่นคง ปลอดภัยแก่ประชาชนได้ ทั้งๆ ที่ปัจจัยด้านการให้ความมั่นคงและปลอดภัยแก่ประชาชนนั้น เป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานของการดำรงความเป็นรัฐ

ทั้งนี้อย่าว่าแต่การให้ความปลอดภัยหรือความคุ้มครองแก่ประชาชนเลย เหตุการณ์การทุบรถนายกฯ ที่พัทยา ต่อเนื่องมาจนการประทุษร้ายหวังเอาชีวิตนายกรัฐมนตรีและคณะที่กระทรวงมหาดไทย ที่ผู้ก่อการจลาจลได้ลากคุณนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ ลงมากระทืบจนซี่โครงหัก อีกทั้งยังจับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยไปเป็นตัวประกันพร้อมกับยึดอาวุธปืน ก็อาจเรียกได้แล้วว่าตัวผู้นำเองก็แทบจะ “เอาตัวไม่รอด”

แต่อย่างที่กล่าว เหตุการณ์ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา การลงมือแก้ไขสถานการณ์อย่างเอาจริงของคุณอภิสิทธิ์ได้กอบกู้ชื่อเสียงและสถานภาพของตัวเองในฐานะผู้นำประเทศมาได้ระดับหนึ่ง

ในความเป็นจริง ก่อนที่คุณอภิสิทธิ์จะได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงปลายปี 2551 ผมเคยเขียนบทความเรื่อง “ภารกิจอภิสิทธิ์” ลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ ASTVผู้จัดการ และ หนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการรายวัน ตั้งแต่ช่วงวันที่ 10-11 ธันวาคม 2551 แล้วว่า ภารกิจหลักและภารกิจเร่งด่วนของคุณอภิสิทธิ์และรัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีอยู่ 4 ประการ คือ การแก้ไขปัญหาความมั่นคง-การเมือง การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ และ การแก้ไขปัญหาเรื่องเขาพระวิหารและชายแดน

ซึ่งหากเรียงลำดับความสำคัญแล้ว ภารกิจอันดับแรกสุดที่รัฐบาลต้องเร่งทำก็คือ การปกป้องและรักษาสถาบันหลักของชาติโดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์และการสร้างความสามัคคีของคนในชาติ โดยในขณะนั้นผมให้ความเห็นดังนี้

“สาเหตุที่ผมขอจัดอันดับปัญหานี้ไว้เป็นลำดับแรกแทนที่จะเป็นปัญหาเศรษฐกิจหรือปัญหาภาคใต้ ก็เพราะ รัฐบาลมิอาจมีสมาธิในการบริหารเศรษฐกิจในภาวะที่คลื่นสึนามิเศรษฐกิจโลกกำลังโถมทับประเทศไทยได้เลย หากไม่มีการแก้ปัญหาเรื่องการบ่อนทำลายสถาบันอันเป็นที่เคารพของประชาชน และ ปัญหาทางการเมืองให้บรรเทาเบาบางลงเสียก่อน

“ส่วนวิธีการหรือยุทธวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์ และคณะผู้บริหารประเทศของเขาจะเป็นเช่นไร พวกเราก็จำเป็นต้องจับตาดูต่อไป แต่เชื่อแน่ได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เรื่องหมูๆ เพราะ การแก้ไขปัญหาดังกล่าวคุณอภิสิทธิ์หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องยึดหลัก ‘คุณธรรมและความถูกต้อง’ เข้าไปปฏิรูปภาคส่วนต่างๆ ท่ามกลางกระแสการต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาลระดับเขี้ยวลากดิน และการบ่อนทำลายจากฝั่งระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบยุติธรรม ปฏิรูปสื่อสารมวลชน ปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูปความเน่าเฟะของการปกครองส่วนท้องถิ่น ฯลฯ ซึ่งถูกละเลยมาตลอดระยะเวลา 6-7 ปีที่ระบอบทักษิณครองอำนาจในการบริหารประเทศ”

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนว่า รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ จะจัดลำดับความสำคัญของการแก้ไขปัญหาของชาติผิดพลาด คือ นำปัญหาเศรษฐกิจมาเป็นภารกิจสำคัญอันดับที่หนึ่ง และ จัดลำดับปัญหาความมั่นคง-การเมืองไว้ในอันดับรอง

ซึ่งสถานการณ์ ณ วันนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ปัญหาเรื่องความมั่นคง-การเมือง ที่ถูกละเลยได้ลุกลามจนกลายเป็นเหตุให้ ผลสำเร็จจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการสร้างความเชื่อมั่น ที่รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ คุณกรณ์ จาติกวณิช คุณกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีหลายท่านและข้าราชการที่เกี่ยวข้องได้เสียสละ ทุ่มเทและเหนื่อยยาก ต้องกลายเป็นความพยายามที่สูญเปล่า

ทั้งนี้ทั้งนั้น จากเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งแหล่ที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าได้ประสบการณ์ได้ช่วยหล่อหลอมให้คุณอภิสิทธิ์กลายเป็น “อภิสิทธิ์คนใหม่” เรียบร้อยแล้ว และ เมื่อได้ฟังจากคำพูดในห้วง 3-4 วันที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าผู้นำที่เฉลียวฉลาด หลักแหลม และซื่อสัตย์อย่างคุณอภิสิทธิ์คงตกผลึกทางความคิดในระดับหนึ่งแล้วว่า ควรจะต้องทำอย่างไรต่อไป

ในฐานะของประชาชนชาวไทยและสื่อมวลชนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ผมขอให้กำลังใจท่านครับ ในการนำพาประเทศชาติฟันฝ่าอุปสรรคและภยันตรายทั้งปวงที่กำลังคุกคาม

ในวิกฤตทั้งหลายย่อมมีโอกาส ขอให้ท่านเป็นดังเช่น “บัวงาม” ที่ผุดขึ้นจาก “โคลนตม”

---------------

หมายเหตุ :
[1] ท่อนหนึ่งจากหนังสือ บุตรธิดาแห่งดวงดาว โดยเสกสรรค์ ประเสริฐกุล, มีนาคม 2552
กำลังโหลดความคิดเห็น