xs
xsm
sm
md
lg

สื่อมีมุมมองต่อ “ผู้นำจอมปลอม” อย่าง “ทักษิณ” อย่างไร

เผยแพร่:   โดย: ไทยทน

ฮิลลารี คลินตัน ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเธอประมาณว่า “Politics is managing public perception through the filter of mass media.” คือ “การเมืองเป็นเรื่องการจัดการความรับรู้ และความรู้สึกของประชาชนผ่านการกรองของสื่อมวลชน” คนที่มองอย่างเข้าใจก็เป็นประโยชน์ คนที่มองอย่างเล่ห์ร้าย ก็ใช้วิธีทำให้สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือในการยึดครองอำนาจของตัว

พ.ต.ท. ทักษิณ มีพฤติกรรมแสดงออกถึงความปรารถนาที่จะ “หลอกยึดประเทศไทย” อย่างชัดเจน ในความรู้สึกของคนไทยแล้ว อับอายชาวโลกจริงๆ ว่า เรามี “ผู้นำจอมปลอม” ขนาดนี้ พยายามทำให้ประชาชนรู้สึกว่า ท่านเป็น “นักสู้ประชาธิปไตยผู้กล้าหาญเพื่อชาติ” แต่ในความเป็นจริง .. ไม่เห็นเป็นเช่นนั้น

1. เป็นผู้นำการต่อสู้ที่ไม่ “กล้าหาญ” จริง : ผู้นำของชาติใดๆ ทั่วโลก จะน่ายกย่องที่ความ “กล้าหาญ” ไม่ใช่เพียงวีรบุรุษ แม้วีรสตรี เช่น ย่าโม หรือท้าวเทพกษัตรี หรือท้าวศรีสุนทร ฯลฯ ก็ยังต่อสู้เพื่อชาติไทย ด้วยความเข้มแข็งและกล้าหาญ ท่าที นช.ทักษิณ ทำวิดีโอลิงก์บนหน้าจอนั้น ดูฮึกเหิม เข้มแข็ง ราวกับผู้นำทัพ บัญชาการรบ ยั่วยุให้เกิดอารมณ์โกรธ ทำให้คนไทยกลุ่มหนึ่งคิดต่อสู้กับคนไทยกันเอง แต่ความจอมปลอมก็คือ ผู้นำทัพประชาชนกลับอยู่ต่างประเทศ เราเห็นการนำการต่อสู้ที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ไม่เห็นผู้นำการต่อสู้คนไหน ที่ “หัวหด” ขนาดนี้ ปลุกระดมคนจำนวนมาก ให้เกิดความโกรธ และความวุ่นวาย แต่ตัวกลับไม่อยู่ นอกจากนั้น พร้อมๆ กัน ภรรยา (ที่อ้างว่าหย่ากันแล้ว) ลูกๆ และครอบครัว ก็หนีไปต่างประเทศไปหมดแล้ว

ไทยทนไม่เข้าใจว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจะต่อสู้ไปทำไม เพื่อใคร ในเมื่อแม่ทัพเองเอาแต่ “หัวหด” เช่นนี้

2. ข้อเรียกร้องในการต่อสู้ไม่ใช่ “ความจริง” : อ้างว่าล้มอำนาจอำมาตย์ อ้างว่าต่อต้านการรัฐประหาร ทั้งๆ ที่คณะรัฐบาลก็ไม่ได้มาจากการรัฐประหารเลย โดยเวลาแล้ว ไม่ใช่เรื่องจวนตัวของการต่อต้านอำนาจรัฐประหาร แต่เป็นเรื่องจวนตัวของการที่คดีความต่างๆ จะประกฏชัดขึ้น หลักฐานที่มีการซุกซ่อนเงินผ่านเกาะฟอกเงินกำลังจะปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นกรณี แอมเพิลริช วินมาร์ค หรือการที่มีหลักฐานว่า โอนหุ้นให้ลูกก็ยังเป็นเท็จ เพราะทั้งๆ ที่บอกเสมอว่า เป็นเรื่องที่พ่อแม่ยกหุ้นให้ลูกธรรมดา แต่ทำไมวันที่ 31 สิงหาคม 2543 จึงต้องให้ลูกทำหนังสือสัญญาใช้เงิน 4,500 ล้านบาทให้แม่ 1 วันก่อนโอนหุ้นให้ในวันที่ 1 กันยายน 2543 ซึ่งไม่เคยอธิบายได้ว่าเป็นหนี้ค่าอะไร แต่เป็นหลักฐานชัดเจนว่า โอนไปเพื่อหลบกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ ด้วยเป็นทางผ่านผลประโยชน์กลับมาให้แม่ทั้งหมด และเมื่อขายแล้ว ก็ยังโอนผ่าน ประไหมสุหรี ไปอังกฤษ เพื่อใช้เป็นส่วนในการซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล ซึ่งก็เป็นข่าวทั่วโลกว่า ท่านคือเจ้าของ ไม่ใช่ลูกเลย

แสดงว่าที่ผ่านมา แม้รัฐธรรมนูญจะห้ามถือหุ้น กฎหมาย ป.ป.ช. ไม่ให้ถือหุ้นกิจการสัมปทาน ท่านกลับซุกไว้ในชื่อลูก และมีพฤติกรรมเอื้อประโยชน์กิจการขอตน เช่น การลดส่วนแบ่งรายได้ที่จ่ายภาครัฐ และการให้ภาครัฐรับภาระทั้งหมด เมื่อตั้งนโยบายให้เก็บภาษีสรรพสามิต และเมื่อเสร็จภารกิจ ก็โอนกลับมาให้ท่าน

2. ข้อเรียกร้องในการต่อสู้ไม่ใช่ “ความจริง” : อ้างว่าล้มอำนาจอำมาตย์ อ้างว่าต่อต้านการรัฐประหาร ทั้งๆ ที่คณะรัฐบาลก็ไม่ได้มาจากการรัฐประหารเลย โดยเวลาแล้ว ไม่ใช่เรื่องจวนตัวของการต่อต้านอำนาจรัฐประหาร แต่เป็นเรื่องจวนตัวของการที่คดีความต่างๆจะประกฏชัดขึ้น หลักฐานที่มีการซุกซ่อนเงินผ่านเกาะฟอกเงินกำลังจะปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นกรณี แอมเพิลริช วินมาร์ค หรือการที่มีหลักฐานว่า โอนหุ้นให้ลูกก็ยังเป็นเท็จ เพราะทั้งๆ ที่บอกเสมอว่า เป็นเรื่องที่พ่อแม่ยกหุ้นให้ลูกธรรมดา แต่ทำไมวันที่ 31 สิงหาคม 2543 จึงต้องให้ลูกทำหนังสือสัญญาใช้เงิน 4,500 ล้านบาทให้แม่ 1 วันก่อนโอนหุ้นให้ในวันที่ 1 กันยายน 2543 ซึ่งไม่เคยอธิบายได้ว่าเป็นหนี้ค่าอะไร แต่เป็นหลักฐานชัดเจนว่า โอนไปเพื่อหลบกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ ด้วยเป็นทางผ่านผลประโยชน์กลับมาให้แม่ทั้งหมด และเมื่อขายแล้ว ก็ยังโอนผ่าน ประไหมสุหรี ไปอังกฤษ เพื่อใช้เป็นส่วนในการซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล ซึ่งก็เป็นข่าวทั่วโลกว่า ท่านคือเจ้าของ ไม่ใช่ลูกเลย

3. การต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่ “ประชาธิปไตย” จริง : ท่านพยายามอยู่มากที่จะจับโยง พันธมิตรฯ กับปชป. คุณสนธิ คุณจำลองก็ไม่ได้สู้เพื่ออำนาจส่วนตัว แม้กระทั่ง อ.สมเกียรติ ก็ไม่ได้รับรางวัลตอบแทนการต่อสู้อะไร ทุกคนทำด้วยอุดมการณ์อันสูงส่งเพื่อประเทศชาติ แต่ท่านเปิดเผยธาตุแท้ นำม็อบเอง และต่อสู้ด้วยเป้าหมาย และข้อเรียกร้องอันเป็นเท็จ อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่ยอมตอบคำถามผ่านระบบรัฐสภา ต่างกับรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่ตอบสภาฯ ทุกคำถาม เมื่อมีการอภิปราย ก็ยุบสภาฯ หนี พรรคที่จะแข่งขันด้วยไปอภิปรายหาเสียง กลับถูกกลั่นแกล้งแบบอันธพาลจากคนเสื้อแดง แล้วจะอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร?

4. ยุทธวิธีการรบ แสดงว่าท่านไม่ใช่ “ผู้นำเพื่อชาติ” จริง : รัฐบุรุษ คือผู้เสียสละเพื่อประโยชน์ แต่ท่านยุยงคนไทยสร้างความแตกแยก เอาความสุขของคนไทยในเทศกาลสงกรานต์เป็นประกัน ถ้าท่านรักเมืองไทยจริง รอให้ผ่านเทศกาลสำคัญนี้ไปก่อนก็ได้ และเมื่อไม่พอใจ ถึงกับจะยกระดับสกัดงานประชุมนานาชาติ อาเซียน + 3 ยกระดับไปสู่นรกชั้นไหนไม่ทราบ ถึงเอาประเทศเป็นตัวประกัน เพียงเพื่อต่อรองเอาสมบัติที่ได้จากการโกงชาติ ทำผิดกฎหมาย และรัฐธรรมนูญกลับไป ไทยทนเกิดมา ยังไม่เห็นการปล้นชาติโดยการจับประชาชนและประเทศตัวประกันที่เลวร้ายขนาดนี้ วีรบุรษส่วนใหญ่ “สละตนเพื่อชาติ และส่วนรวม” แต่ผู้นำแบบไหนที่ “สละชาติเพื่อตัวเอง” เช่นนี้

เราเห็นทักษิณ เป็น “ผู้นำจอมปลอม” หลอกประชาชนว่าเป็นนักสู้ประชาธิปไตยผู้กล้าหาญ แต่ “ไม่กล้าหาญ” จริง “ไม่รับผิดชอบ” เลย “ไม่ใช่เพื่อประชาธิปไตย แต่เพื่ออำนาจของตัว” “ไม่สละตัวเพื่อชาติ แต่สละชาติเพื่อตัว” แล้วสื่อมวลชนก็ทนรับสภาพตามเกมเขาไป โดยยังเป็นทางผ่านความเท็จไปให้ทำลายชาติเช่นนี้จะดีหรือ?

หน้าที่การเป็น “ตัวกรอง” ของสื่อมวลชนนั้น เป็นศักดิ์ศรียิ่งใหญ่ที่น่าภาคภูมิใจจริงๆ เป็นผู้นำความคิด ทิศทางสังคมที่มีความยิ่งใหญ่จริงๆ และ “อำนาจยิ่งใหญ่มาคู่กับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่งจริงๆ” ครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น