แปลกใจที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ยังพยายามอย่างยิ่ง ที่จะจ้อกับชาวโลก คงต้องลงทุนไม่น้อย ผ่านบริษัทพีอาร์ ประชาสัมพันธ์ทางการเมือง เพื่อต่อสู้กับสัจธรรม ต่อสู้กับความยุติธรรม ต่อสู้กับแผ่นดินเกิดของตัวเอง ถึงขั้นที่บอกว่า “พร้อมจะกลืนเลือดอดทนรอ”
การที่ท่านออกไปโพนทนากับชาวโลกอย่างเด็กขี้แยว่าขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว 3 ฉบับ ก็อาจทำร้ายตัวเองมากขึ้น เพราะชาวโลกศรัทธาในความทรงพระทศพิธราชธรรมของพระองค์ ทรงปกครองบ้านเมืองโดยธรรม ผ่านความเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ด้วยพระเมตตา ด้วยพระปรีชา และ ด้วยความยุติธรรมเสมอมาเป็นที่ประจักษ์กว่า 60 ปี
ทั้งหมดนี้ ไทยทนเชื่อว่า ถ้าท่านเรียนรู้สักทีที่จะต่อสู้สัจธรรม และความยุติธรรม ด้วยหลักฐานและเหตุผล ชนะก็ชนะอย่างขาวสะอาด แพ้ก็ยอมรับความจริงสักที ท่านจะไม่ขมขื่นถึงขั้นกลืนเลือด
แต่ถ้าท่านต่อสู้โดยหวังทำลายความน่าเชื่อถือของแผ่นดินเกิดเช่นนี้ ท่านใช้เล่ห์อุบายมากกว่าความจริงเช่นนี้ ท่านทำบาปและความผิดและโกหกมากขึ้น เพื่อหวังจะกลบเกลื่อนบาปและความผิดในอดีต ท่านจะมีความสุขใจได้อย่างไร ก็ต้องทุกข์ใจแทบกระอักจึงต้องกลืนเลือด
การที่ท่านจะขอพระราชทานอภัย และให้ชาวไทยเข้าใจท่าน ท่านควรจะใช้หลักฐาน และความจริงโต้ตอบประเด็นเหล่านี้เสียก่อน
1.ตามที่ท่านกับหญิงอ้อ โอนหุ้นให้ลูกมูลค่า 734 ล้านบาท ในวันที่ 1 กันยายน 2543 แต่ 1 วันก่อนหน้านั้น ในวันที่ 31 สิงหาคม 2543 พานทองแท้ ต้องทำตั๋วสัญญาใช้เงินอีก 4,500 ล้านบาท ให้แม่เพิ่มด้วย คำถามง่ายๆ คือ “มีตั๋วสัญญานี้หรือไม่ ?” เป็น “ค่าอะไรถึง 4,500 ล้านบาท ?” เพราะด้วยตั๋วนี้ ทำให้เป็นเครื่องมือในการโอนประโยชน์กลับไปให้แม่ทั้งหมด และแสดงว่าเป็นการถือหุ้นแทน
2.ท่านและหญิงอ้อขายหุ้น 5-6 บริษัทให้วินมาร์ค ในวันที่ 1 สิงหาคม 2543 ทุกบริษัทที่ราคาพาร์ใช่หรือไม่ ? ท่านเคยอธิบายเท็จว่า เขาเป็นนักลงทุนต่างประเทศธรรมดา มาซื้อหุ้นในยามวิกฤต เพื่อรอเข้าตลาด แต่เอสซีเป็นบริษัทเดียวที่เข้าตลาดฯได้ กลับขายไป 3 สัปดาห์ก่อนยื่นไฟลิ่ง ให้กองทุน VAF ซึ่งขายต่อให้ OGF และ ODF ใน 3 สัปดาห์ แล้วต่อมา วินมาร์ค ก็ขายหุ้นทั้ง 5 บริษัท ให้ น.ส. พินทองทา ในวันที่ 27 ตุลาตม 2547 ก็ในราคาพาร์ทุกบริษัทเช่นเดียวกัน ทำไมจึงเป็นราคาเหมาเข่งที่ราคาพาร์ทุกบริษัท ? ทุกครั้ง ทั้งที่ฐานะแต่ละบริษัทต่างกัน? และแต่ละเวลาก็ต่างกัน มูลค่าก็ยิ่งต่างกันไป ? เกือบ 10 ปีแล้ว ท่านก็ยังคงไม่ตอบ อย่างกรณีผู้ซื้ออิสระอย่างเทมาเส็ก ยังต้องต่อรองถึงหลักสลึงเป็น 49.25 บาท ทำไมกรณีวินมาร์ค จึงเป็นราคาพาร์ ทุกบริษัท ทุกเวลา ?
ซึ่ง กลต. (โดยท่านเลขาฯ ธีระชัย) และ ดีเอสไอ (สมัยท่านสุนัย) มีหลักฐานว่า ทั้ง 3 กองทุนมีที่อยู่เดียวกันที่มาเลเซีย และมีหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า เป็นกองทุนโนมินีของท่าน ท่านจะอธิบายเรื่องการซุกหุ้นนี้อย่างไร ? แล้ววินมาร์คมีเลขบัญชี 121751 ซึ่งถือหุ้นชินฯ อันเป็นเจ้าของกิจการสัมปทานของรัฐด้วย อันเป็นหลักฐานความผิดตามรัฐธรรมนูญ และเปิดช่องให้ท่านเอื้อประโยชน์ให้กิจการที่ท่านเป็นเจ้าของโดยซุกซ่อนใช่หรือไม่ ?
3.หลังพานทองแท้ พิณทองทา บรรณพจน์ และยิ่งลักษณ์ขายหุ้นแล้ว ตามข่าว มีการโอนเงินผ่าน ประไหมสุหรี เพื่อส่งเงินไปซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ซิตี้ แต่ไม่เห็นชื่อ นาย บรรณพจน์ หรือ พานทองแท้เป็นผู้ซื้อเลย มีแต่ชื่อท่าน แสดงว่า ท่านให้คนใกล้ชิดถือ เฉพาะเมื่อต้องรับตำแหน่ง เพื่อเลี่ยงรัฐธรรมนูญหรือไม่ เมื่อลงจากตำแหน่งแล้ว ก็เผยโฉมด้วยการจ่ายเงินคืนท่านใช่หรือไม่ ?
4.แล้วการซื้อตัวนักกีฬาเพิ่ม และผู้จัดการเสวนเอามาจากไหน ? คือเงินที่ท่านซุกซ่อน มาจ่าย “เติมเงิน” แล้วขายได้ราคาสูงขึ้น ? นี่คือการฟอกเงินใช่หรือไม่ ? นี่คือเหตุที่ท่านถูกเพิกถอนวีซาหรือไม่ ? นี่คือเหตุแห่งข่าวลือว่าท่านถูกอายัดทรัพย์อีกนับแสนล้านบาทที่อังกฤษหรือไม่ ?
5.ก่อนท่านเป็นนายกฯ สัมปทานที่ท่านมี เป็นแบบ Build-Transfer-Operate (BTO) ซึ่งมีอายุสัมปทานจำกัด เมื่อครบอายุต้องโอนคืนให้ ทศท. ใช่หรือไม่ ? หลังท่านเป็นนายกฯ เครือข่ายโทรศัพท์ของท่าน จะต้องคืนให้ภาครัฐหรือไม่ ?
6.ก่อนท่านเป็นนายกฯ อัตราแบ่งรายได้ พรีเพด คือ 25-30% และหลังท่านเป็นนายกฯ เปลี่ยนเป็น 20% เท่านั้น ใช่หรือไม่ ? นโยบายกิจการโทรคมนาคมที่ท่านดูแล จะต้องให้ไม่มีความเป็นธรรมในการแข่งขัน โดยต้องให้ท่านได้เปรียบตลอดไปหรือไม่ ?
รวมทั้งคดีที่ดินรัชดา คดีภรรยาท่านโอนหุ้นให้นายบรรณพจน์โดยลวงเป็นการขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเลี่ยงภาษี หากท่านหนีศาล หนีการอภิปรายซักถามในสภาฯด้วยการยุบสภาฯ ท่านก็ไม่ควรบอกว่าประเทศไทยขาดความยุติธรรม หรือไม่เป็นประชาธิปไตย
ท่านอ้างเรื่องปฏิวัติช่วยให้ไม่เจ๊งหุ้น เหมือนเตือนให้คนรู้ว่า เกิดการปฏิวัติขึ้น รัฐบาลเขาก็ลงจากอำนาจไปแล้ว เขามาล้างอำนาจมืดที่ครอบงำ เขาดูแลบ้านเมืองด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้ไทยไม่ให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจลูกโป่งแตกเหมือนชาวโลก
รัฐบาลขิงแก้ดำเนินคดีเรื่องของท่านด้วยหลักฐานและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งท่านมักจะบิดเบือนว่า ไม่เป็นธรรมต่อท่าน เพราะเป็นหลักฐานที่ได้มาหลังปฏิวัติ แต่ท่านก็ไม่เคยสามารถชี้ได้ว่า ชิ้นไหนหรือ ที่เป็นหลักฐานเท็จ ทำปลอม ล้วนเป็นหลักฐานจริง ที่หากไม่พ้นอำนาจมืดสมัยท่าน ก็คงไม่สามารถปรากฏได้ คนไทย และไทยทนรักความยุติธรรม หากท่านแสดงได้ว่า หลักฐานที่หาได้สมัยปฏิวัติเป็นหลักฐานเท็จ ถูกกลั่นแกล้ง เปิดโปงตีแผ่ต่อชาวโลกก็ได้ ตอนโฟนอินก็ได้ คนก็พร้อมจะทบทวนและสนับสนุนท่าน
แต่ตามข่าวในหนังสือพิมพ์เสตรทไทม์วันที่ 26 ธันวาคม 2551 ตามลิงค์ http://www.straitstimes.com/Breaking%2BNews/SE%2BAsia/Story/STIStory_318574.html ซึ่งท่านไม่เคยฟ้องหมิ่นประมาทเขาแสดงข่าวว่า ท่านกลับขาดทุนเงินที่ต่างประเทศจนเหลือ 500 ล้านเหรียญ จากที่เคยมี 5 พันล้านเหรียญ ขาดทุนหุ้น น้ำมัน ข้าว และอสังหาริมทรัพย์ ด้วยกู้เกินตัว ไม่เรียนรู้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ก็ยังโชคดีที่เมืองไทยพ้นการบริหารจากคนคิดอย่างไม่พอเพียง ชอบเป่าลูกโป่งเศรษฐกิจมาได้ จึงพ้นวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว ที่ท่านสนับสนุนรัฐบาลช่วง 2540 จนตอนท้ายท่านเข้าไปเป็นรองนายกฯ และเอาอดีตมือการเงินของท่านไปดูแลกระทรวงการคลังจนประเทศเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งไป
แล้วจะอ้างว่า เอานโยบาย ทรท. มารีไซเคิล ไทยทนเห็นว่าไร้สาระสิ้นดี การอัดฉีดโดยภาครัฐ ไม่ควรทำตอนเศรษฐกิจฟื้นแล้วเช่นนั้น ตอนนั้นก็เริ่มทยอยฟื้นตัว เดินได้ดี คนกล้าซื้อบ้าน กล้าจับจ่าย ท่านกลับอัดฉีดเพิ่ม จนเสาเข็มขาด วิศวกรขาด ของแพงเกินความจำเป็น ตอนอย่างนั้น รัฐบาลไม่ควรจ่ายมากจนร้อนแรงเกินไป ควรสะสมฐานะ เอาไว้ใช้ตอนเศรษฐกิจถดถอยอย่างช่วงนี้ ท่านก็ไม่ได้ทำ กลับบริหารให้เกิดการสร้างหนี้ครัวเรือนมากมาย ในช่วงนี้ ต้องกระตุ้นการใช้จ่าย ชดเชยต่างชาติที่เดี้ยงไป ท่านกลับวิจารณ์ว่า คนจะไม่ลงทุน คนจะใช้จ่าย ก็ถูกต้องแล้ว เศรษฐกิจถดถอย คนก็ขาดกำลังจับจ่าย เครื่องยนต์เศรษฐกิจกำลังจะหยุด การแจก 2 พันบาท ให้คนจับจ่าย ในยามซบเซาตกต่ำสุดๆอย่างนี้ก็ถูกต้องแล้ว และทุกประเทศทั่วโลกก็ทำกัน
แล้วท่านยังบังอาจไปดูถูกอเมริกา เขาก็สร้างสรรค์ด้านเทคโนโลยีไม่หยุด ด้านคอมพิวเตอร์ ด้านไอที ด้านอินเตอร์เน็ต ไปทำให้ทั่วโลกเห็นว่าอดีตผู้นำไทยกล่าวหาว่าเขาเอาแต่ด้านการเงิน ทำให้ชาวโลกเกิดความเข้าใจผิดเกลียดชังอเมริกาประเทศผู้นำโลก แล้วไปตอกลิ่มความแตกแยกให้จีนเป็นผู้นำแทน และขยายความว่าจีนไม่กล้า ก็ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างประเทศมหาอำนาจได้อีก จะทำไปทำไม ?
ดูอย่างนี้แล้ว อย่าหนีความจริง หนีสภาฯ หนีศาล หนีคดี หนีคุก แล้วไปจ้อไร้สาระ ไร้หลักฐาน ไร้สัจธรรมความจริง ในต่างประเทศแบบหลบๆซ่อนๆอีกเลย กลับมาสู้ความอย่างถูกต้องในเมืองไทยดีกว่า ชนะทุกคนก็ศรัทธา แพ้ก็เข้าคุกไป บ้านเมืองจะได้ไม่วุ่นวาย ในความเท็จและความปั่นป่วนที่ท่านพยายามสร้างต่อไป
การที่ท่านออกไปโพนทนากับชาวโลกอย่างเด็กขี้แยว่าขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว 3 ฉบับ ก็อาจทำร้ายตัวเองมากขึ้น เพราะชาวโลกศรัทธาในความทรงพระทศพิธราชธรรมของพระองค์ ทรงปกครองบ้านเมืองโดยธรรม ผ่านความเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ด้วยพระเมตตา ด้วยพระปรีชา และ ด้วยความยุติธรรมเสมอมาเป็นที่ประจักษ์กว่า 60 ปี
ทั้งหมดนี้ ไทยทนเชื่อว่า ถ้าท่านเรียนรู้สักทีที่จะต่อสู้สัจธรรม และความยุติธรรม ด้วยหลักฐานและเหตุผล ชนะก็ชนะอย่างขาวสะอาด แพ้ก็ยอมรับความจริงสักที ท่านจะไม่ขมขื่นถึงขั้นกลืนเลือด
แต่ถ้าท่านต่อสู้โดยหวังทำลายความน่าเชื่อถือของแผ่นดินเกิดเช่นนี้ ท่านใช้เล่ห์อุบายมากกว่าความจริงเช่นนี้ ท่านทำบาปและความผิดและโกหกมากขึ้น เพื่อหวังจะกลบเกลื่อนบาปและความผิดในอดีต ท่านจะมีความสุขใจได้อย่างไร ก็ต้องทุกข์ใจแทบกระอักจึงต้องกลืนเลือด
การที่ท่านจะขอพระราชทานอภัย และให้ชาวไทยเข้าใจท่าน ท่านควรจะใช้หลักฐาน และความจริงโต้ตอบประเด็นเหล่านี้เสียก่อน
1.ตามที่ท่านกับหญิงอ้อ โอนหุ้นให้ลูกมูลค่า 734 ล้านบาท ในวันที่ 1 กันยายน 2543 แต่ 1 วันก่อนหน้านั้น ในวันที่ 31 สิงหาคม 2543 พานทองแท้ ต้องทำตั๋วสัญญาใช้เงินอีก 4,500 ล้านบาท ให้แม่เพิ่มด้วย คำถามง่ายๆ คือ “มีตั๋วสัญญานี้หรือไม่ ?” เป็น “ค่าอะไรถึง 4,500 ล้านบาท ?” เพราะด้วยตั๋วนี้ ทำให้เป็นเครื่องมือในการโอนประโยชน์กลับไปให้แม่ทั้งหมด และแสดงว่าเป็นการถือหุ้นแทน
2.ท่านและหญิงอ้อขายหุ้น 5-6 บริษัทให้วินมาร์ค ในวันที่ 1 สิงหาคม 2543 ทุกบริษัทที่ราคาพาร์ใช่หรือไม่ ? ท่านเคยอธิบายเท็จว่า เขาเป็นนักลงทุนต่างประเทศธรรมดา มาซื้อหุ้นในยามวิกฤต เพื่อรอเข้าตลาด แต่เอสซีเป็นบริษัทเดียวที่เข้าตลาดฯได้ กลับขายไป 3 สัปดาห์ก่อนยื่นไฟลิ่ง ให้กองทุน VAF ซึ่งขายต่อให้ OGF และ ODF ใน 3 สัปดาห์ แล้วต่อมา วินมาร์ค ก็ขายหุ้นทั้ง 5 บริษัท ให้ น.ส. พินทองทา ในวันที่ 27 ตุลาตม 2547 ก็ในราคาพาร์ทุกบริษัทเช่นเดียวกัน ทำไมจึงเป็นราคาเหมาเข่งที่ราคาพาร์ทุกบริษัท ? ทุกครั้ง ทั้งที่ฐานะแต่ละบริษัทต่างกัน? และแต่ละเวลาก็ต่างกัน มูลค่าก็ยิ่งต่างกันไป ? เกือบ 10 ปีแล้ว ท่านก็ยังคงไม่ตอบ อย่างกรณีผู้ซื้ออิสระอย่างเทมาเส็ก ยังต้องต่อรองถึงหลักสลึงเป็น 49.25 บาท ทำไมกรณีวินมาร์ค จึงเป็นราคาพาร์ ทุกบริษัท ทุกเวลา ?
ซึ่ง กลต. (โดยท่านเลขาฯ ธีระชัย) และ ดีเอสไอ (สมัยท่านสุนัย) มีหลักฐานว่า ทั้ง 3 กองทุนมีที่อยู่เดียวกันที่มาเลเซีย และมีหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า เป็นกองทุนโนมินีของท่าน ท่านจะอธิบายเรื่องการซุกหุ้นนี้อย่างไร ? แล้ววินมาร์คมีเลขบัญชี 121751 ซึ่งถือหุ้นชินฯ อันเป็นเจ้าของกิจการสัมปทานของรัฐด้วย อันเป็นหลักฐานความผิดตามรัฐธรรมนูญ และเปิดช่องให้ท่านเอื้อประโยชน์ให้กิจการที่ท่านเป็นเจ้าของโดยซุกซ่อนใช่หรือไม่ ?
3.หลังพานทองแท้ พิณทองทา บรรณพจน์ และยิ่งลักษณ์ขายหุ้นแล้ว ตามข่าว มีการโอนเงินผ่าน ประไหมสุหรี เพื่อส่งเงินไปซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ซิตี้ แต่ไม่เห็นชื่อ นาย บรรณพจน์ หรือ พานทองแท้เป็นผู้ซื้อเลย มีแต่ชื่อท่าน แสดงว่า ท่านให้คนใกล้ชิดถือ เฉพาะเมื่อต้องรับตำแหน่ง เพื่อเลี่ยงรัฐธรรมนูญหรือไม่ เมื่อลงจากตำแหน่งแล้ว ก็เผยโฉมด้วยการจ่ายเงินคืนท่านใช่หรือไม่ ?
4.แล้วการซื้อตัวนักกีฬาเพิ่ม และผู้จัดการเสวนเอามาจากไหน ? คือเงินที่ท่านซุกซ่อน มาจ่าย “เติมเงิน” แล้วขายได้ราคาสูงขึ้น ? นี่คือการฟอกเงินใช่หรือไม่ ? นี่คือเหตุที่ท่านถูกเพิกถอนวีซาหรือไม่ ? นี่คือเหตุแห่งข่าวลือว่าท่านถูกอายัดทรัพย์อีกนับแสนล้านบาทที่อังกฤษหรือไม่ ?
5.ก่อนท่านเป็นนายกฯ สัมปทานที่ท่านมี เป็นแบบ Build-Transfer-Operate (BTO) ซึ่งมีอายุสัมปทานจำกัด เมื่อครบอายุต้องโอนคืนให้ ทศท. ใช่หรือไม่ ? หลังท่านเป็นนายกฯ เครือข่ายโทรศัพท์ของท่าน จะต้องคืนให้ภาครัฐหรือไม่ ?
6.ก่อนท่านเป็นนายกฯ อัตราแบ่งรายได้ พรีเพด คือ 25-30% และหลังท่านเป็นนายกฯ เปลี่ยนเป็น 20% เท่านั้น ใช่หรือไม่ ? นโยบายกิจการโทรคมนาคมที่ท่านดูแล จะต้องให้ไม่มีความเป็นธรรมในการแข่งขัน โดยต้องให้ท่านได้เปรียบตลอดไปหรือไม่ ?
รวมทั้งคดีที่ดินรัชดา คดีภรรยาท่านโอนหุ้นให้นายบรรณพจน์โดยลวงเป็นการขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเลี่ยงภาษี หากท่านหนีศาล หนีการอภิปรายซักถามในสภาฯด้วยการยุบสภาฯ ท่านก็ไม่ควรบอกว่าประเทศไทยขาดความยุติธรรม หรือไม่เป็นประชาธิปไตย
ท่านอ้างเรื่องปฏิวัติช่วยให้ไม่เจ๊งหุ้น เหมือนเตือนให้คนรู้ว่า เกิดการปฏิวัติขึ้น รัฐบาลเขาก็ลงจากอำนาจไปแล้ว เขามาล้างอำนาจมืดที่ครอบงำ เขาดูแลบ้านเมืองด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้ไทยไม่ให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจลูกโป่งแตกเหมือนชาวโลก
รัฐบาลขิงแก้ดำเนินคดีเรื่องของท่านด้วยหลักฐานและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งท่านมักจะบิดเบือนว่า ไม่เป็นธรรมต่อท่าน เพราะเป็นหลักฐานที่ได้มาหลังปฏิวัติ แต่ท่านก็ไม่เคยสามารถชี้ได้ว่า ชิ้นไหนหรือ ที่เป็นหลักฐานเท็จ ทำปลอม ล้วนเป็นหลักฐานจริง ที่หากไม่พ้นอำนาจมืดสมัยท่าน ก็คงไม่สามารถปรากฏได้ คนไทย และไทยทนรักความยุติธรรม หากท่านแสดงได้ว่า หลักฐานที่หาได้สมัยปฏิวัติเป็นหลักฐานเท็จ ถูกกลั่นแกล้ง เปิดโปงตีแผ่ต่อชาวโลกก็ได้ ตอนโฟนอินก็ได้ คนก็พร้อมจะทบทวนและสนับสนุนท่าน
แต่ตามข่าวในหนังสือพิมพ์เสตรทไทม์วันที่ 26 ธันวาคม 2551 ตามลิงค์ http://www.straitstimes.com/Breaking%2BNews/SE%2BAsia/Story/STIStory_318574.html ซึ่งท่านไม่เคยฟ้องหมิ่นประมาทเขาแสดงข่าวว่า ท่านกลับขาดทุนเงินที่ต่างประเทศจนเหลือ 500 ล้านเหรียญ จากที่เคยมี 5 พันล้านเหรียญ ขาดทุนหุ้น น้ำมัน ข้าว และอสังหาริมทรัพย์ ด้วยกู้เกินตัว ไม่เรียนรู้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ก็ยังโชคดีที่เมืองไทยพ้นการบริหารจากคนคิดอย่างไม่พอเพียง ชอบเป่าลูกโป่งเศรษฐกิจมาได้ จึงพ้นวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว ที่ท่านสนับสนุนรัฐบาลช่วง 2540 จนตอนท้ายท่านเข้าไปเป็นรองนายกฯ และเอาอดีตมือการเงินของท่านไปดูแลกระทรวงการคลังจนประเทศเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งไป
แล้วจะอ้างว่า เอานโยบาย ทรท. มารีไซเคิล ไทยทนเห็นว่าไร้สาระสิ้นดี การอัดฉีดโดยภาครัฐ ไม่ควรทำตอนเศรษฐกิจฟื้นแล้วเช่นนั้น ตอนนั้นก็เริ่มทยอยฟื้นตัว เดินได้ดี คนกล้าซื้อบ้าน กล้าจับจ่าย ท่านกลับอัดฉีดเพิ่ม จนเสาเข็มขาด วิศวกรขาด ของแพงเกินความจำเป็น ตอนอย่างนั้น รัฐบาลไม่ควรจ่ายมากจนร้อนแรงเกินไป ควรสะสมฐานะ เอาไว้ใช้ตอนเศรษฐกิจถดถอยอย่างช่วงนี้ ท่านก็ไม่ได้ทำ กลับบริหารให้เกิดการสร้างหนี้ครัวเรือนมากมาย ในช่วงนี้ ต้องกระตุ้นการใช้จ่าย ชดเชยต่างชาติที่เดี้ยงไป ท่านกลับวิจารณ์ว่า คนจะไม่ลงทุน คนจะใช้จ่าย ก็ถูกต้องแล้ว เศรษฐกิจถดถอย คนก็ขาดกำลังจับจ่าย เครื่องยนต์เศรษฐกิจกำลังจะหยุด การแจก 2 พันบาท ให้คนจับจ่าย ในยามซบเซาตกต่ำสุดๆอย่างนี้ก็ถูกต้องแล้ว และทุกประเทศทั่วโลกก็ทำกัน
แล้วท่านยังบังอาจไปดูถูกอเมริกา เขาก็สร้างสรรค์ด้านเทคโนโลยีไม่หยุด ด้านคอมพิวเตอร์ ด้านไอที ด้านอินเตอร์เน็ต ไปทำให้ทั่วโลกเห็นว่าอดีตผู้นำไทยกล่าวหาว่าเขาเอาแต่ด้านการเงิน ทำให้ชาวโลกเกิดความเข้าใจผิดเกลียดชังอเมริกาประเทศผู้นำโลก แล้วไปตอกลิ่มความแตกแยกให้จีนเป็นผู้นำแทน และขยายความว่าจีนไม่กล้า ก็ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างประเทศมหาอำนาจได้อีก จะทำไปทำไม ?
ดูอย่างนี้แล้ว อย่าหนีความจริง หนีสภาฯ หนีศาล หนีคดี หนีคุก แล้วไปจ้อไร้สาระ ไร้หลักฐาน ไร้สัจธรรมความจริง ในต่างประเทศแบบหลบๆซ่อนๆอีกเลย กลับมาสู้ความอย่างถูกต้องในเมืองไทยดีกว่า ชนะทุกคนก็ศรัทธา แพ้ก็เข้าคุกไป บ้านเมืองจะได้ไม่วุ่นวาย ในความเท็จและความปั่นป่วนที่ท่านพยายามสร้างต่อไป