“บัญญัติ”ชี้ “แม้ว”เปิดเกมแรงมุ่งแตกหัก ลามปามองคมนตรี กระทบสถาบันแน่ เชื่อ “ทักษิณ”ตกที่นั่งลำบาก หวั่นถูกลากคอมารับโทษ โดนยึดทรัพย์ เส้นสายในวงราชการที่วางไว้ 6 ปี จ่อถูกรื้อ แถม ปชป.เป็นรัฐบาลได้นาน แก้ ศก.สำเร็จ คนลืม “แม้ว”แน่ “พล.ต.จำลอง”เตือนรัฐบาลใช้กฎหมายคุมม็อบเสื้อแดง รับเป็นคนบอก “จารุภัทร”ลาเก้าอี้ กกต. เพราะเคยรู้จักกัน ไม้อยากให้เข้าปิ้งพร้อม “3หนา”
รายการ “รู้ทันประเทศไทย” ออกอากาศทางเอเอสทีวี วันที่ 1 เม.ย. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และนายสันติสุข มะโรงศรี ดำเนินรายการ โดยในช่วงสนทนา นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการที่ปรึกษา และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาร่วมให้มุมมองต่อการชุมนุมของคนในเครือข่ายระบอบทักษิณในนามกลุ่มคนเสื้อแดงที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
นายบัญญัติ กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้ เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดีมีเป้าหมายที่แท้จริงคือรบแตกหัก สังเกตจากการใช้คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่แรงมาก ตั้งแต่การชุมนุมวันแรกๆ คือวันที่ 22 มี.ค. ที่เชียงใหม่ ซึ่งวันนั้นก็พูดแรงมาก แม้ว่าเนื้อหาในการพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณทุกครั้งจะแบ่งได้ 3 ส่วน คือ ส่วนแรก เรียกร้องความสนใจ ว่าตนเองถูกกลั่นแกล้งไม่ได้รับความเป็นธรรม 2.เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเอง ถึงขนาดขอให้เลิกแล้วต่อกันเรื่องคดีความ 3.อวดอ้างว่าตัวเองเก่งเรื่องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติ
นายบัญญัติกล่าวต่อว่า ยิ่งคราวนี้มีการเปิดเผยชื่อบุคคล ซึ่งถือว่าน่าเกลียด เพราะถึง พ.ต.ท.ทักษิณจะชอบหรือไม่ชอบอย่างไรก็แล้วแต่ ทั้ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กับ พล.อ.สรยุทธ์ จุลานนท์นั้น เป็นคนดี เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองและมีต้นทุนทางสังคมสูงกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ที่สำคัญทั้ง 2 ท่านเป้นองคมนตรี ซึ่งตามรัฐธรรมนูญนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเลือกทรงแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย การไปละลาบละล้วงองคมนตรีจึงไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง
“ความรุนแรงเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณเองก็น่ากลัวอยู่แล้ว แต่ที่รุนแรงกว่านั้นคือการขยายความโดยกลุ่มคนที่ชุมนุมบนเวที ซึ่งคนฟังแทบฟังไม่ได้ ช่วงนี้ผมรับโทรศัพท์ไม่หวาดไม่ไหว เพราะมีคนโทร.มาบ่นว่า ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้บ้านเมืองมันจะไปยังไง รัฐบาลจะทำอะไร ทำไมยังไม่เห็นเคลื่อนไหวอะไรมากมาย”นายบัญญัติกล่าว
นายบัญญัติกล่าวต่อว่า ที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องรบแตกหักนั้น เพราะว่าตัวเองกำลังจะตกที่นั่งลำบาก ที่อ้างว่าเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ ถ้าอ้างว่าไม่เป็นประชาธิปไตยทำไมไม่บอยคอตการเลือกตั้ง เหมือนที่ประชาธิปัตย์เคยทำ นอกจากนั้นพอเลือกตั้งเสร็จ เมื่อคนของตัวเองตั้งรัฐบาลได้ เริ่มตั้งแต่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ถัดมาก็รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ไม่เห็นโอดครวญ เพราะเป็นรัฐบาลของตัวเอง ถือว่ามีถูมิคุ้มกันอยู่ พอวันนี้รัฐบาลเป็นคนอื่น ก็รู้สึกขาดภูมิคุ้มกัน กลัวจะถูกรัฐบาลล่าตัวมาดำเนินคดี ที่สำคัญคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นนายกษิต ภิรมย์ จึงกลัวจะถูกตามตัวมาติดคุก และวิตกเรื่องพาสปอร์ตจะถูกยึด ซึ่งจะทำให้การเข้าเมืองในประเทศต่างๆ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นจึงต้องทุบหม้อข้าวสู้ ซึ่งบางคนบอกว่าเป็นแผนตากสิน ซึ่งไม่ใช่ เพราะพระยาตากนั้นกู้ชาติ แต่นี่เป็นแผนทำลายชาติ
“สิ่งที่ 2 ที่คุณทักษิณกลัว คือกลัวว่าเครือข่ายราชการที่เขาวางเอาไว้ 5-6 ปี จะถูกรื้อ ส่วนประการที่ 3 กลัวว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลไปอีกนาน และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ความสำคัญของตัวคุณทักษิณเองก็จะลดลงๆ จนคนลืม โอกาสจะกลบมามีอำนาจมีตำแหน่งอีกก็ลดน้อยถอยลง
“ที่มันกดทับความรู้สึกของคุณทักษิณมากก็คือ การเห็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่มีบทบาทในเวทีโลก ไม่น้อยหน้าน้อยตาคนอื่น บทบาทในอาเซียนก็ทำได้ดี บทบาทตรงนี้คุณอภิสิทธิ์ทำได้แล้ ต่อไปถ้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อีก ความเป็นกูรูทางเศรษฐกิจที่ พ.ต.ท.ทักษิณอวดอ้างก็จะหายไป ก็เลยต้อหาทางทำลายรัฐบาลนี้”
นายบัญญัติกล่าวต่อว่า สาเหตุต่อมาที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องรบแตกหักคือ ทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ 7.6 หมื่นล้านบาท รวมทั้งคดีความที่ คตส.ทำไว้อีก 13-14 คดี มูลค่าการทุจริตประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งดคีเหล่านี้อาจต้องรอให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับเข้ามาก่อน แต่คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทนั้น ศาลพิจารณาต่อได้โดยไม่ต้องรอ
ด้าน พล.ต.จำลอง กล่าวว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการรบแตกหักน่าจะมีแค่ 2 เรื่องหลักคือ 1.กลัวติดคุก 2.กลัวถูกยึดทรัพย์ ส่วนเรื่องหน้าตาเป็นเรื่องรอง ไม่เป็นไร แต่ถ้าคดีความนั้นปล่อยเวลาเนิ่นนาน จะไม่ถูกจำคุกแค่คดีเดียว เดี๋ยวคงมีคดีอื่นตามมาและต้องติดคุกเพิ่ม
“ที่อ้างว่าเป็นปฏิวัติซ่อนรูป มันไม่ใช่ แล้วทีรัฐบาลตัวเองได้เป็นไม่โวยวาย ที่อ้างว่าประชาธิปัตย์ไมได้เสียงข้างมากแต่ไปจัดตั้งรัฐบาลนั้น ไม่จำเป็น หลายประเทศ เช่น มาเลเซียก็เคยมีรัฐบาลเสียงข้างน้อยมาแล้ว เรื่องพวกนี้มันแค่ข้ออ้าง ที่อ้างว่าอำมาตยาธิปไตย ขุนนางทำให้บ้านเมืองเสียหาย ผมไม่เห็นเสียหายอะไร มีแต่ทำคุณต่อบ้านเมือง แต่พวกเสื้อแดงเขาจะแยกองคมนตรีจากสถาบันสูงสุด ถ้าเราหลงเชื่อสถาบันสูงสุดก็ถูกทำลาย แล้วใครจะช่วยธำรงสถาบัน เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องใหญ่โตมาก ที่เขาอ้างว่ามีอำมาตย์ไปเพ็จทูลนั้น ก็เท่ากับว่า เข้ากำลังต่อว่าสถาบันกษัตริย์ เพราะท่านเหล่านั้นไม่ใช่ตำแหน่งเล็กๆ แต่เป็นตำแหน่งที่ทรงวินิจฉัยแล้ว”พล.ต.จำลองกล่าว
สำหรับ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าเป็นผู้ให้ข้อมูลเบื้องหลังการปฏิวัตินั้น พล.ต.จำลองกล่าวว่า ขอไม่พูดถึง เพราะความเป็นเพื่อนร่วมรุ่น พูดไปก็เหมือนหยิบเล็บเจ็บเนื้อ แต่คิดว่า พล.อ.พัลลภคงไปพูดเรื่องนี้กับ พ.ต.ท.ทักษิณจริง แต่ข้อมูลที่เอามาพูดไม่แน่ใจว่าจะตรงกันหรือไม่ เพราะไม่ได้ฟังเองและไม่ได้ให้ความสนใจ
พล.ต.จำลองกล่าวต่อว่า กรณีนี้ต้องถามนายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ที่ออกมาพูดอย่างชัดเจน เป็นเรื่องที่น่าฟัง ส่วนที่ พล.อ.พัลลภ เคยต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ แต่กลับไปอยู่ข้าง พ.ต.ท.ทักษิณอีกนั้น หลายคนก็รู้สึกว่าแปลก ไม่ว่าจุเป็นเพื่อร่วมารุ่น เพื่อนรุ่นน้อง ทุกคนแปลกใจกันหมด ถ้าใครจะบอกว่าเป็นนกสองหัว ก็คงจะบอกได้ เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ เขาคิดอย่างไร
ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวหาว่าตนไปบีบ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ ให้ลาออกจากตำแหน่ง กกต.นั้น พล.ต.จำลองกล่าวว่า ตนไมได้ไปบีบ แต่ไปพูดคุยด้วยความหวังดี เนื่องจากตนรู้จักกับ พล.อ.จารุภัทรมาก่อน ไม่อยากให้ต้องเสียหาย เพราะตอนนั้นสถานการณ์แย่ลงทุกที
“ตอนนั้นเขาเป็น กกต. ผมถือว่าเป็นน้องผม สมัยผมเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ท่าน พล.อ.เปรม ผมก็ขอจารภัทรมาทำงานกับผม ขึ้นกับสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เรารู้จักชอบพอกันมาก่อน วันหนึ่งพอเราเห็นว่าเขาจะไม่ไหว เราก็ไปบอก ซึ่งผมไม่ได้เตือนแค่จารุภัทร คนอื่นๆ อย่างคุณทักษิณผมก็เตือน ผมเคยทำจดหมายเปิดผนึกถึงคุณทักษิณ 4 ฉบับ ตั้งแต่เรื่องขอให้เขาเสียภาษีจากการขายหุ้น ผมคำนวณให้เสร็จว่าเขาควรเสียภาษี 2.6 หมื่นล้าน ถ้าเชื่อผมตั้งแต่วันนั้นเรื่องก็จบ เหมือนที่จะออกหวย เพื่อหาเงินซื้อหุ้นลิเวอร์พูล ผมเป็นคนออกมาเตือน แล้วท่านหยุด มันก็จบ”
พล.ต.จำลองกล่าวต่อว่า ตนแนะนำให้ พล.อ.จารุภัทรลาออก ไม่ใช่เพราะว่าต้องการกลั่นแกล้งไม่ให้ กกต.ครบ 4 คน แต่เพราะหวังดีกับเขา เพื่อไม่ให้ต้องติดคุกเหมือน กกต.อีก 3 คน และเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า
“ที่ผมทำ ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมไม่ได้บีบ เพราะไม่มีอำนาจที่จะบีบ เพียงแต่เคยชอบพอกันมาก่อน ตอนพัลลภ และเพื่อนผมเขาทำปฏิวัติ (2524) แต่พวกเขาไม่บอกผม เพราะผมเป็นเลขาฯ ของป๋า พอจารุภัทรเขารู้ข่าว เขาก็มาบอกผม และชวนผมหนีไปที่อีสาน เพื่อไปช่วยป๋า จัดประชุม ครม.สัญจรเป็นครั้งแรกที่โคราช ซึ่งก็ถือว่าจารุภัทรเคยมีบุญคุณต่อผม” พล.ต.จำลองกล่าว
นายบัญญัติ กล่าวเพิ่มเติมถึงการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองจนทำให้เกิดรัฐบาลชุดนี้ว่า มีสาเหตุมาจากหลายส่วน ในภาคเอกชนเองทั้งสภาอุตสาหกรรม หอการค้าไทย ก็อยากให้มีการเปลี่ยนขั้ว หลังจากพรรคใหญ่เป็นรัฐบาลมา 2 สมัย ไม่สามารถเอาประเทศออกจากวิกฤติได้ และในขณะนั้นมีการยุบพรรค ส.ส.จึงมีสิทธิที่จะไปอยู่พรรคไหนก็ได้ และกลุ่ม ส.ส.ที่แตกออกมาจากพรรคใหญ่ เขาพูดชัดว่า พวกเขาไม่อยากสู้กับเจ้า
นอกจากนี้ ส.ส.มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะใช้เอกสิทธิของตัวเองมายกมือสนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ดังนั้น การเข้ามาเป็นรัฐบาลของประชาธิปัตย์จึงเป็นไปอย่างถูกต้อง
นายบัญญัติ กล่าวอีกว่า กลุ่มคนเสื้อแดงไม่ใช่แค่ต้องการแยกองคมนตรีออกจากสถาบันกษัตริย์ จะเห็นว่ามาเที่ยวนี้เขาตีองคมนตรีอย่างหนัก นอกจากนั้นก็โจมตีศาล และกองทัพอย่างหนัก ซึ่งศาลมีอำนาจหน้าที่พิจารณาคดีตามตัวบทกฎหมายและกระทำในพระปรมาภิไธ ส่วนกองทัพมีหน้าทีปกป้องราชบัลลังก์ ดังนั้นเมื่อเขาโจมตีองคมนตรีและศาล เหมือนเขามาตัดขาเก้าอี้ แล้วบอกว่าไม่เป็นไร เราไม่ได้ทำอะไรท่าน แต่พอเก้าอี้โดนตัดขาจนล้ม ท่านก็ล้มเลย
“เรารู้ว่าการทำงานมันยาก แต่สถานการณ์ตอนนี้ ต้องทำอะไรมากกว่านี้ มันไม่ใช่สถานการณ์ปกติ มันไม่ใช้การชุมนุมใต้กรอบรัฐธรรมนูญ มันเป็นสงคราม รัฐบาลอย่าไปมัวแต่กลัว แต่ที่จับความได้ เขากลัวความรุนแรง
หลายคนต้องยอมรับว่าทักษิณทำได้ตามเป้า ยึดพื้นที่สื่อได้ สาระเนื้อหาที่ปรากฏ สื่อเสนอเฉพาะแง่มุมที่ทักษิณถูกข่มเหงรังแก ไมได้รับความเป็นธรรม แต่สื่อที่จะบอกเรื่องเก่าๆ ที่ทำให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องมีปัญหามันไปไหนหมด เราลืมกันไปหมด ยึดอำนาจ 4 ข้อ เป็นเหตุผลที่เราฟังขึ้น โดยเฉพาะการตั้ง คตส. มันเห็นชัดเจนว่ามีการทุจรีต จะอ้างว่า คตส.มาจาก คมช.แต่งตั้ง แต่ถ้าดูชื่อเสียงเรียงนาม มันน่าเชื่อถือกว่า”นายบัญญัติ กล่าว
พล.ต.จำลอง กล่าวเสริมว่า การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงครั้งนี้กระทบกระเทือนความมั่นคงของชาติมากที่สุด ม.77 ของรัฐธรรมนูญพูดชัดว่า รัฐต้องพิทักษ์รักษากฎหมาย เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ ซึ่งรัฐบาลก็ปฏิเสธไมได้ เพราะไม่มีใครมาบังคับให้เป็นรัฐบาล เมื่อมาอาสาแล้ว ก็ต้องทำ มันไม่ทำไมได้ เหตุการณ์ชุมนุมหน้าทำเนียบครั้งนี้ ทำให้เพื่อนที่เป็นตำรวจ บอกว่า รู้สึกเจ็บปวดมากที่ไม่มีการดำเนินการตามกฎหมายกับคนที่ทำผิดซึ่งหน้า คือพวกที่เรารถปั้นจั่นมายกตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งเป็นทรัพย์สินราชการทิ้งลงคลอง ตำรวจเห็นอยู่ว่าเป็นการทำผิดซึ่งหน้า แต่ก็ไม่ดำเนินการจับกุมเลย
“เราคาดการณ์สถานการณ์ไมได้ แต่ผมมั่นใจว่ารัฐบาลเอาอยู่ ถ้ารัฐบาลเอาจริงทำตามกฎหมายให้เคร่งครัด มั่นใจจริงๆ ผมไม่วิตก ถ้าเอาจริง ถ้าลงเอยในทางที่ไม่ดีต่อสถาบันจะมีปัญหาแน่นอน เพราะถูกบั่นทอนมาเยอะแล้ว ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้จะได้รับความเสียหาย” พล.ต.จำลองกล่าว