ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.เอวายเอฟเศร้า ลูกค้าสถาบันถอนเงินออกจากกองทุนหุ้น พบวันเดียว 2 กองทุนเงินหายไปรวมกันกว่า 1,300 ล้านบาท "อยุธยาทุนทวีปันผล 70/30" อ่วมสุด วูบจาก 1,000 ล้านบาทเหลือ 5 ล้านเศษๆ แต่ได้อานิสงส์ดันผลตอบแทนในรอบ 3 เดือนพุ่ง 95.61% เหตุได้ค่าฟีการขายไหลเข้าบวกผลตอบแทนสะสม เผยเร็วๆ นี้ ได้ลูกค้ากองทุนส่วนบุคคล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ผันผวนต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีจนจบไตรมาสแรกที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนหลายราย หมดความเชื่อมั่นต่อการลงทุนไปพอสมควร ส่วนหนึ่งมีการโยกเงินลงทุนไปไว้ในเงินฝากแทน หรือบางส่วนก็ลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้ ทั้งมันนี่มาร์เกต หรือกองทุนตราสารหนี้ในต่างประเทศที่ล็อกอายุการลงทุน รวมถึงหุ้นกู้เอกชนด้วย ส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้น ต้องบอกว่าได้รับผลกระทบเช่นกัน จากการที่ราคาหลักทรัพย์ค่อนข้างผันผวน ซึ่งจากปัจจัยเหล่านี้ ทำให้นักลงทุนตัดสินใจถอนเงินออกมาจากการลงทุนในหุ้น
ทั้งนี้ จากการสำรวจกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด หรือ เอวายเอฟ พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงของเงินลงทุนในกองทุนหุ้นพอสมควร โดยเฉพาะกองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล 70/30 และกองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผล 70/30 ซึ่งรวมแล้วมีเงินลงทุนถูกถอนออกไปถึง 1,300 ล้านบาท โดยจากการเปิดเผยของเอวายเอฟพบว่า เป็นการถอนหน่วยลงทุนของนักลงทุนสถาบันรายใหญ่รายหนึ่งออกไป
โดยจากการสำรวจมูลค่าทรัพย์สินสุทธิย้อนหลังไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา พบว่าในส่วนของกองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล 70/30 มีเงินลงทุนรวมอยู่เพียง 5.2451 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ วันที่ 26 มีนาคม กองทุนดังกล่าวยังมีเงินลงทุนรวมสูงถึง 1,024.7897 ล้านบาท เช่นเดียวกับกองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผล 70/30 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิย้อนหลังวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา กองทุนมีเงินลงทุนรวมเหลืออยู่ 9.4858 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เช่นกัน (26 มีนาคม 2552) กองทุนดังกล่าวยังมีเงินลงทุนรวมสูงถึง 308.7585 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากสำรวจไปถึงผลการดำเนินงานของกองทุนทั้ง 2 กองทุน (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552) พบว่า กองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล 70/30 ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีสูงถึง 95.61% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทน -4.10%) 99.71% โดยผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างสูงถึง 95.61% ดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลตอบแทนสะสมจากการลงทุน และส่วนที่เพิ่มขึ้นมา เกิดจากการขายหน่วยลงทุนของลูกค้า ทำให้กองทุนมีค่าธรรมเนียนการขายเข้ามาในกองทุน ส่งผลให้เอ็นเอวีเพิ่มสูงขึ้นเป็น 13.3114 บาท (31 มี.ค.) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเอ็นเอวีในช่วงต้นปีที่ 7.1315 บาท
ส่วนกองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผล 70/30 ก็พบว่า ให้ผลตอบแทนย้อนหลังต้นแต่ต้นปีค่อนข้างสูงอยู่ที่ 10.15% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 14.25% โดยกองทุนนี้ ก็ประสบกับการขายหน่วยลงทุนออกไปเช่นกัน ส่งผลให้เอ็นเอวีของกองทุนเพิ่มขึ้นจากค่าฟี และทำให้ผลตอบแทนออกมาค่อนข้างสูงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกองทุนหุ้นกองอื่นๆ พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ
สำหรับกองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล 70/30 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนภายใต้นโยบายการลงทุนที่กำหนดไว้ตลอดจนสภาวการณ์เศรษฐกิจต่าง ๆ โดยกองทุนมีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ขณะเดียวกัน กองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าปีละ 2 ครั้ง โดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานสิ้นสุดตามช่วงเวลาที่บริษัทจัดการเห็นสมควร ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิในงวดบัญชีที่จะจ่ายเงินปันผลหรือกำไรสะสมแล้วแต่กรณี ส่วนประวัติการจ่ายปันผลที่ผ่านมา กองทุนจ่ายไปทั้งหมด 53 ครั้ง จำนวนเงินปันผลทั้งหมด 6.4975 บาท
ส่วนกองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผล 70/30 มีนโยบายการลงทุนคล้ายคลึงกัน โดยจะเลือกลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าปีละ 2 ครั้ง โดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานสิ้นสุดตามช่วงเวลาที่บริษัทจัดการเห็นสมควร ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิในงวดบัญชีที่จะจ่ายเงินปันผลหรือกำไรสะสมแล้วแต่กรณี
อย่างไรก็ตาม บลจ.อยุธยา เพิ่งได้รับรางวัลจากงาน The Post / Lipper Thailand Fund Awards 2009 จำนวน 2 รางวัล ซึ่งเป็นรางวัลจากกองทุนหุ้นทั้ง 2 รางวัล ประกอบด้วย รางวัล Best Fund Over Ten Years : Equity Fund สำหรับกองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล (AYF Star Capital) และ Best Fund Group Over Three Years : Mixed Asset Group สำหรับกลุ่มกองทุนผสม ซึ่งได้แก่ กองทุนเปิดอยุธยาทุนทวี 2 (AYFTW2) กองทุนเปิดอยุธยาทุนทวี 3 (AYFTW3) และกองทุนเปิดอยุธยาทวีทรัพย์เพื่อการเลี้ยงชีพ (AYFTSRMF)
ทั้งนี้ ในส่วนของกองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล ผู้บริหารระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้กองทุนดังกล่าวได้รางวัลประเภทกองทุนตราสารทุนยอดเยี่ยมในช่วงระยะเวลา 10 ปี จาก The Post-Lipper Thailand Fund Awards 2009 น่าจะมาจากกองทุนได้ผลตอบแทนสูงที่สุดในรอบ 10 ปี อยู่ที่ 200% หรือเฉลี่ย 13% ต่อปี ซึ่งกองทุนนี้จะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่องใน 3-5 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ได้รับการเปิดเผยจากบลจ.อยุธยาว่า เร็วๆนี้ สินทรัพย์ในส่วนของกองทุนส่วนบุคคล (ไพรเวตฟันด์) ของเอวายเอฟ จะขยับเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 30,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีสินทรัพย์รวมประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตหลายร้อยเท่า โดยจำนวนเงินลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นดังกล่าว มาจากนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ ซึ่งเป็นสถาบันจากต่างประเทศที่มีชื่อเสียงพอสมควร ให้ความไว้วางใจให้เราบริหารเงินลงทุนดังกล่าวให้ ซึ่งสถาบันรายนี้เอง ยังไม่เคยให้บริษัทจัดการรายใดในประเทศไทย บริหารเงินให้มาก่อน
ทั้งนี้ เงินลงทุนดังกล่าว จะนำมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก ซึ่งสถาบันแห่งนี้ มีการลงทุนอยู่ในประเทศไทยอยู่บ้างแล้ว เพียงแต่เป็นการลงทุนผ่านภูมิภาคเท่านั้น แต่ครั้งนี้ เป็นการจ้างบริษัทจัดการกองทุนในประเทศให้บริหารเงินลงทุนให้เป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาลงทุนครั้งนี้ เขาไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไมถึงสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่ก็เชื่อว่าการลงที่ราคาหุ้นทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยปรับลดลงไปค่อนข้างมาก ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจและเลือกเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่ใช้กระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
ทั้งนี้ หากเอวายเอฟได้บริหารเงินจำนวนดังกล่าวแล้ว จะทำให้เอวายเอฟมีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมกองทุนส่วนบุคคลทันที โดยคาดว่าการให้บริหารเงินดังกล่าว จะมีความชัดเจนในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ผันผวนต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีจนจบไตรมาสแรกที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนหลายราย หมดความเชื่อมั่นต่อการลงทุนไปพอสมควร ส่วนหนึ่งมีการโยกเงินลงทุนไปไว้ในเงินฝากแทน หรือบางส่วนก็ลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้ ทั้งมันนี่มาร์เกต หรือกองทุนตราสารหนี้ในต่างประเทศที่ล็อกอายุการลงทุน รวมถึงหุ้นกู้เอกชนด้วย ส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้น ต้องบอกว่าได้รับผลกระทบเช่นกัน จากการที่ราคาหลักทรัพย์ค่อนข้างผันผวน ซึ่งจากปัจจัยเหล่านี้ ทำให้นักลงทุนตัดสินใจถอนเงินออกมาจากการลงทุนในหุ้น
ทั้งนี้ จากการสำรวจกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด หรือ เอวายเอฟ พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงของเงินลงทุนในกองทุนหุ้นพอสมควร โดยเฉพาะกองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล 70/30 และกองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผล 70/30 ซึ่งรวมแล้วมีเงินลงทุนถูกถอนออกไปถึง 1,300 ล้านบาท โดยจากการเปิดเผยของเอวายเอฟพบว่า เป็นการถอนหน่วยลงทุนของนักลงทุนสถาบันรายใหญ่รายหนึ่งออกไป
โดยจากการสำรวจมูลค่าทรัพย์สินสุทธิย้อนหลังไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา พบว่าในส่วนของกองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล 70/30 มีเงินลงทุนรวมอยู่เพียง 5.2451 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ วันที่ 26 มีนาคม กองทุนดังกล่าวยังมีเงินลงทุนรวมสูงถึง 1,024.7897 ล้านบาท เช่นเดียวกับกองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผล 70/30 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิย้อนหลังวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา กองทุนมีเงินลงทุนรวมเหลืออยู่ 9.4858 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เช่นกัน (26 มีนาคม 2552) กองทุนดังกล่าวยังมีเงินลงทุนรวมสูงถึง 308.7585 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากสำรวจไปถึงผลการดำเนินงานของกองทุนทั้ง 2 กองทุน (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552) พบว่า กองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล 70/30 ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีสูงถึง 95.61% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทน -4.10%) 99.71% โดยผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างสูงถึง 95.61% ดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลตอบแทนสะสมจากการลงทุน และส่วนที่เพิ่มขึ้นมา เกิดจากการขายหน่วยลงทุนของลูกค้า ทำให้กองทุนมีค่าธรรมเนียนการขายเข้ามาในกองทุน ส่งผลให้เอ็นเอวีเพิ่มสูงขึ้นเป็น 13.3114 บาท (31 มี.ค.) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเอ็นเอวีในช่วงต้นปีที่ 7.1315 บาท
ส่วนกองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผล 70/30 ก็พบว่า ให้ผลตอบแทนย้อนหลังต้นแต่ต้นปีค่อนข้างสูงอยู่ที่ 10.15% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 14.25% โดยกองทุนนี้ ก็ประสบกับการขายหน่วยลงทุนออกไปเช่นกัน ส่งผลให้เอ็นเอวีของกองทุนเพิ่มขึ้นจากค่าฟี และทำให้ผลตอบแทนออกมาค่อนข้างสูงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกองทุนหุ้นกองอื่นๆ พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ
สำหรับกองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล 70/30 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนภายใต้นโยบายการลงทุนที่กำหนดไว้ตลอดจนสภาวการณ์เศรษฐกิจต่าง ๆ โดยกองทุนมีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ขณะเดียวกัน กองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าปีละ 2 ครั้ง โดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานสิ้นสุดตามช่วงเวลาที่บริษัทจัดการเห็นสมควร ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิในงวดบัญชีที่จะจ่ายเงินปันผลหรือกำไรสะสมแล้วแต่กรณี ส่วนประวัติการจ่ายปันผลที่ผ่านมา กองทุนจ่ายไปทั้งหมด 53 ครั้ง จำนวนเงินปันผลทั้งหมด 6.4975 บาท
ส่วนกองทุนเปิดอยุธยาหุ้นปันผล 70/30 มีนโยบายการลงทุนคล้ายคลึงกัน โดยจะเลือกลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าปีละ 2 ครั้ง โดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานสิ้นสุดตามช่วงเวลาที่บริษัทจัดการเห็นสมควร ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิในงวดบัญชีที่จะจ่ายเงินปันผลหรือกำไรสะสมแล้วแต่กรณี
อย่างไรก็ตาม บลจ.อยุธยา เพิ่งได้รับรางวัลจากงาน The Post / Lipper Thailand Fund Awards 2009 จำนวน 2 รางวัล ซึ่งเป็นรางวัลจากกองทุนหุ้นทั้ง 2 รางวัล ประกอบด้วย รางวัล Best Fund Over Ten Years : Equity Fund สำหรับกองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล (AYF Star Capital) และ Best Fund Group Over Three Years : Mixed Asset Group สำหรับกลุ่มกองทุนผสม ซึ่งได้แก่ กองทุนเปิดอยุธยาทุนทวี 2 (AYFTW2) กองทุนเปิดอยุธยาทุนทวี 3 (AYFTW3) และกองทุนเปิดอยุธยาทวีทรัพย์เพื่อการเลี้ยงชีพ (AYFTSRMF)
ทั้งนี้ ในส่วนของกองทุนเปิดอยุธยาทุนทวีปันผล ผู้บริหารระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้กองทุนดังกล่าวได้รางวัลประเภทกองทุนตราสารทุนยอดเยี่ยมในช่วงระยะเวลา 10 ปี จาก The Post-Lipper Thailand Fund Awards 2009 น่าจะมาจากกองทุนได้ผลตอบแทนสูงที่สุดในรอบ 10 ปี อยู่ที่ 200% หรือเฉลี่ย 13% ต่อปี ซึ่งกองทุนนี้จะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่องใน 3-5 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ได้รับการเปิดเผยจากบลจ.อยุธยาว่า เร็วๆนี้ สินทรัพย์ในส่วนของกองทุนส่วนบุคคล (ไพรเวตฟันด์) ของเอวายเอฟ จะขยับเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 30,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีสินทรัพย์รวมประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตหลายร้อยเท่า โดยจำนวนเงินลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นดังกล่าว มาจากนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ ซึ่งเป็นสถาบันจากต่างประเทศที่มีชื่อเสียงพอสมควร ให้ความไว้วางใจให้เราบริหารเงินลงทุนดังกล่าวให้ ซึ่งสถาบันรายนี้เอง ยังไม่เคยให้บริษัทจัดการรายใดในประเทศไทย บริหารเงินให้มาก่อน
ทั้งนี้ เงินลงทุนดังกล่าว จะนำมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก ซึ่งสถาบันแห่งนี้ มีการลงทุนอยู่ในประเทศไทยอยู่บ้างแล้ว เพียงแต่เป็นการลงทุนผ่านภูมิภาคเท่านั้น แต่ครั้งนี้ เป็นการจ้างบริษัทจัดการกองทุนในประเทศให้บริหารเงินลงทุนให้เป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาลงทุนครั้งนี้ เขาไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไมถึงสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่ก็เชื่อว่าการลงที่ราคาหุ้นทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยปรับลดลงไปค่อนข้างมาก ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจและเลือกเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่ใช้กระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
ทั้งนี้ หากเอวายเอฟได้บริหารเงินจำนวนดังกล่าวแล้ว จะทำให้เอวายเอฟมีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมกองทุนส่วนบุคคลทันที โดยคาดว่าการให้บริหารเงินดังกล่าว จะมีความชัดเจนในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้