มนุษย์เมื่อเกิดมาก็ย่อมพานพบกับอุปสรรคของชีวิต จะช้าหรือเร็วเราก็ต้องเผชิญกับมันอย่างแน่นอน ความปวดร้าว ความขมขื่น ความยากลำบากของอุปสรรคคือ ด่านที่ขวางกั้นทางของเราทุกคน แต่คงมีน้อยครั้งเหลือเกินที่มนุษย์จำนวนมากจากหลากหลายที่มาจะมารวมตัวกัน เพื่อพานพบอุปสรรคร่วมกัน และฝ่าฟันเอาชนะอุปสรรคร่วมกัน อย่างกรณีของขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในปี 2551
พวกเขา ได้สอนบทเรียนอันมีค่าบทหนึ่งให้สังคมไทยได้เรียนรู้ร่วมกันว่า “คนที่พ่ายแพ้คือคนที่ใจยอมแพ้ก่อน และการเป็นผู้ชนะไม่ได้ชนะ เพราะเป็นผู้ที่เก่งกว่าเสมอไป แต่ชนะเพราะไม่มีวันยอมแพ้ต่างหาก ...ไม่มีวันยอมแพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
แม้จนบัดนี้แล้ว ผมก็ยังรำลึกถึงพวกเขา ซึ่งก็คือ “พวกเรา” เสมอ...พวกเราพี่น้องพันธมิตรฯ ข้อเขียนชุดนี้ของผมเป็นการเขียนเพื่อรำลึกถึงพี่น้องพันธมิตรฯ จากแง่มุมต่างๆ เพื่อให้เรื่องราว และคุณูปการของพี่น้องพันธมิตรฯ ยังคงได้รับการเล่าขานสืบต่อไปตราบนานเท่านาน อีกทั้ง ผมยังขอเชิญชวนพี่น้องพันธมิตรฯ ทั้งหลายให้ช่วยกัน “แบ่งปัน” และ “บอกต่อ” เรื่องราวและประสบการณ์ของพี่น้องพันธมิตรฯ ในห้วงยามนั้น โดยใช้ข้อเขียนชุดนี้เป็นสื่อกลาง ผมหวังว่า “พวกเรา” จะได้พบสิ่งดีๆ และกำลังใจในชีวิตจากการ “แบ่งปัน” และ “บอกต่อ” ร่วมกันในครั้งนี้
* * *
ผมได้อ่านร้อยแก้วเรื่อง “รอยทรายใต้ฟองคลื่น” ของอาจารย์เสกสรร ประเสริฐกุล ใน นิตยสาร ฅ.คน คอลัมน์ คนค้นธรรม ด้วยความรู้สึกที่สะเทือนใจ ขณะนั้นเป็นช่วงปลายปี 2551 กว่าสามสัปดาห์หลังจากที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศยุติการชุมนุมที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 193 วัน และการเมืองไทยได้เปลี่ยนโฉมอีกครั้งอย่างแทบจะเรียกได้ว่า จากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ผมกลายเป็นหนึ่งเดียวกับร้อยแก้วอันงดงามบทนี้ของอาจารย์เสกสรร โดยผ่านการให้ความหมาย และตีความความหมายของร้อยแก้ว “รอยทรายใต้ฟองคลื่น” ชิ้นนี้ด้วย ประสบการณ์การต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ ในปี 2551
ใช่หรือไม่ว่า การต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ ในรอบปี 2551 ที่ผ่านมาจะเป็นเพียงแค่ “รอยช้ำ” บนหาดทรายแห่งประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ รอยหนึ่งที่จะค่อยๆ ถูกฟองคลื่นแห่งกาลเวลาสลายไปจนหมดสิ้น ไม่ช้าก็เร็ว?
ในสายตาของคนบางคน สังคมบางส่วน และสื่อบางกลุ่มอาจจะเป็นเช่นนั้นก็จริง แต่ผมเชื่อว่า ไม่ใช่แน่นอน สำหรับ “พวกเรา” พี่น้องพันธมิตรฯ ที่ได้มี ประสบการณ์และความทรงจำรวมหมู่ อันเข้มข้นตลอดช่วง 193 วันนั้น!
เพราะในห้วงยามนั้น การยืนหยัดต่อสู้ของ “พวกเรา” แทบไม่ต่างไปจาก ห้วงยามแห่งการภาวนา เลย การต่อสู้ของพวกเราได้กลายเป็นการปฏิบัติบำเพ็ญธรรมอย่างหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ “พวกเรา” ในห้วงยามนั้น จึงมิใช่กรวดทรายเม็ดน้อยที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจายเหมือนในอดีต นอกจากนี้ บาดแผลแห่งตัวตน ที่พวกเราแต่ละคนมีบ้างไม่มากก็น้อย ก็ได้ถูกลืมเลือนไปชั่วคราว
ณ ห้วงเวลานั้น ทรายน้ำกลายเป็นหนึ่งเดียว แผลหาดล้วนเลือนหาย ทุกช่วงฉาก และทุกวรรคตอนล้วนแสดงออกซึ่งลีลาแห่งเอกภาพที่เผยมายาแห่งริ้วรอยออกมาเท่านั้น
ถามว่า พี่น้องพันธมิตรฯ เป็นใคร? ไฉนจึงไม่ได้รับคำอวยพรจากคนบางคน สังคมบางส่วน และสื่อบางกลุ่ม?
พี่น้องเอย พวกเราต้องพร้อมเผชิญหน้ากับทุกปรากฏกรรม ยินดีร่ายรำกับกาลเวลา และเต็มใจฟันฝ่าทุกผองภัย ด้วยการจ้องแลกับทุกบาดแผลที่พวกเราได้รับให้เต็มตา จากนั้นพวกเราก็ต้องปลดวางตัวตนที่เคยยึดถือแล้วปล่อยปลงบาดแผลเหล่านั้นลงเสีย
พี่น้องเอย ที่ผ่านมา พวกเราได้ต่อสู้ยืนหยัด ใช้สองมือประคองโลกค้ำยันสังคมที่กำลังล่มสลาย เพราะฉะนั้น ต่อให้การต่อสู้ที่ผ่านมาของพวกเราจะเป็นดั่งรอยทรายใต้ฟองคลื่นที่ถูกกลืนหาย แต่ก็ขอให้พวกเราจงได้รับรู้เถิดว่า พวกเราพี่น้องพันธมิตรฯ อาจถูกกลืนด้วยฟองคลื่นแห่งกาลเวลาก็จริง แต่ขณะเดียวกัน มันก็เป็นการหวนกลับไปสู่ความงามแห่งอ้อมกอดของมหานทีที่ได้โอบรัดพสุธาด้วนรักอันสืบทอดธำรงมาด้วยเช่นกัน
* * *
คงเป็นการยากที่จะปฏิเสธได้ว่า การลุกขึ้นสู้ใน “สงครามครั้งสุดท้าย”ของพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี 2551 นั้น มิใช่ การลุกขึ้นสู้เพื่อทำหน้าที่ในการสร้างความหมาย และคุณค่าของความจริง ความรู้ ความดี และความงาม ซึ่งถ้าพูดด้วยสำนวนของพลตรีจำลอง ศรีเมือง หนึ่งในห้าแกนนำรุ่นหนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็จะเป็นว่า
“เรามาทำหน้าที่เพื่อใช้หนี้แผ่นดิน และมาทำบุญ”
จริงๆ แล้ว ผมคิดว่าพี่น้องพันธมิตรฯ ทุกคนก็คงตระหนักดีถึงหน้าที่ในการสร้างความหมาย และคุณค่าของความจริง ความรู้ ความดี และความงามนี้ว่า มันเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนเพื่อทำให้บ้านนี้เมืองนี้ดีขึ้นกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ พี่น้องพันธมิตรฯ จึงได้มารวมตัวกันและกลายเป็น พลังทางศีลธรรม ที่ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็น ขุมพลังที่ทรงพลังที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่
การลุกขึ้นสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ ในปี 2551 ในด้านหนึ่งจึงเป็นเสมือนการ “ตบหน้า” สังคมไทยฉาดใหญ่ที่มี ความจอมปลอม ดำรงอยู่ โดยที่ ความจอมปลอม ของสังคมนี้ได้ปรากฏออกมาให้เห็นชัดในรูปลักษณ์ที่ สังคมนี้บางส่วนสามารถสำแดงโวหาร หรือวาทกรรมด้วยเหตุผลต่างๆ นานาเพียงเพื่อที่จะไม่ยอมทำอะไรเลย ในการต่อสู้กับความชั่วร้ายที่ดำรงอยู่จริงในการเมืองไทย
นอกจากนี้ ความจอมปลอมนี้ยังปรากฏออกมาให้เห็นโดยผ่าน “ร่างทรง” นานาชนิดที่แม้จะใช้วาทกรรม และตรรกะเหตุผลที่หลากหลาย แต่กลับสะท้อนจิตใจที่ “ต่ำต้อย” และ “สามานย์” เหมือนกันออกมาทั้งสิ้น
จิตใจที่ ต่ำต้อย และ สามานย์ ชนิดนี้แหละที่ได้พยายาม ครอบงำ สังคมนี้ด้วยโลกทัศน์ที่คับแคบด้านเดียว ระยะสั้น เป็นวัตถุนิยมและมุ่งที่ผลลัพธ์เป็นหลัก โลกทัศน์เช่นนี้แหละที่ได้หล่อหลอมคนไทยจำนวนมากในยุคนี้ให้มองผู้อื่นว่าเป็นคู่แข่งที่ต้องเอาชนะ โดยที่เป้าหมายและความหมายของชีวิตก็มีแค่การแก่งแย่งช่วงชิงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดเลย ที่เดี๋ยวนี้สังคมไทยได้มั่งคั่งขึ้นทางวัตถุกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด
แต่คนไทยจำนวนไม่น้อยกลับมีชีวิตอยู่อย่างอึดอัด อย่างหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เมื่อพวกเขาได้ค้นพบว่า พวกเขากำลังอยู่ในโลกที่เปลี่ยวเหงา รู้สึกแปลกแยกกับผู้คน และไม่อาจไว้วางใจผู้อื่นได้เลย มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่พวกเขาได้ค้นพบว่า ทั้งๆ ที่พวกเขาได้พยายามเห็นแก่ตัวมากขึ้น พยายามใส่ใจแต่ในเรื่องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่พวกเขากลับมีความสุขน้อยลง และหาความหมายในชีวิตแทบไม่เจอ
จะว่าไปแล้ว ระบอบทักษิณ ที่พี่น้องพันธมิตรฯ ลุกขึ้นมาสู้เพื่อโค่นล้มก็เป็นเพียง ปรากฏการณ์ที่สุดโต่ง ของ “ความจริงวันนี้” แห่งวิกฤตทางจิตวิญญาณของสังคมไทยดังข้างต้นเท่านั้น ขณะที่ การก่อกำเนิดของขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่ต้นปี 2549 เป็นต้นมา ในด้านหนึ่งก็คือ การสถาปนา “การเมืองแห่งความหมาย” (Politics of Meaning) ขึ้นในการเมืองภาคประชาชน เพื่อกอบกู้บ้านเมืองและกอบกู้จิตวิญญาณของปัจเจกไปพร้อมๆ กันนั่นเอง
แกนนำทั้งห้าของพันธมิตรฯ ได้ใช้พฤติกรรมของพวกเขาที่ยึดหลักสันติ-อหิงสา โดยได้รับแรงบันดาลใจจากวิถีของท่านมหาตมะ คานธีมาเป็นแม่แบบให้แก่พี่น้องพันธมิตรฯ ได้เคลื่อนไหวตามไปในทิศทางนี้ และยังเป็นการให้ “ความหมาย” แก่การต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ โดยบอกแก่พี่น้องพันธมิตรฯ ทั้งหลายว่า ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายคือครั้งนี้ของพวกเรานั้น พวกเราต้องกล้าเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ชนิดที่แม้แต่ชีวิตก็ต้องอุทิศให้ได้ ซึ่งพี่น้องพันธมิตรฯ ก็ทำได้จริงตามนั้น เพราะต่อให้ต้องลุยไฟฝ่าเส้นทางข้างหน้าออกไปอันเป็นเส้นทางที่ผู้ขยาดจะไม่ยอมเดิน แต่พี่น้องพันธมิตรฯ ก็กล้าลุยฝ่าออกไป
พี่น้องพันธมิตรฯ มิได้ถูกแกนนำทั้งห้าจูงจมูก หรือถูกล้างสมอง แต่เพราะพี่น้องพันธมิตรฯ ล้วนเดินตามเสียงเรียกร้องซึ่งเกิดจากภายในของตนเองเหมือนกับแกนนำทุกคน ผลจึงออกมาเป็นว่า ทั้งหมดทุกคนล้วนร่วมเดินทางกันไปบนเส้นทางเดียวกันอย่างมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ในโลกที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ความต่ำต้อย และความสามานย์เช่นทุกวันนี้ จะมีวิถีการเมืองอื่นใดให้เลือกเดินได้อีก นอกจาก วิถีแห่งสันติ-อหิงสา ของพี่น้องพันธมิตรฯ?
พวกเราจึงต้องยืนหยัดต่อสู้กับความชั่วร้าย ความต่ำต้อย และความสามานย์ของสังคมนี้ แม้ว่าอาจจะต้องยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยวบ้างในบางครั้งก็ตาม
พวกเราจะต้องจับตาแลดูใบหน้าของสังคม แม้ว่าสังคมบางส่วนจะมองพวกเราด้วยสายตาอันแดงก่ำไปด้วยความเกลียดชัง และความเข้าใจผิดก็ตาม พวกเราจะต้องไม่หวั่นไหว แต่จงเชื่อมั่นและยืนหยัดอยู่กับสิ่งที่พวกเราได้ต่อสู้มา และเพื่อสิ่งที่พวกเราได้ยอมอุทิศชีวิตให้แล้ว
ในท่ามกลางโลกและสังคมที่ดำเนินไปด้วยหลักตัวใครตัวมัน และมือใครยาวสาวได้สาวเอาเช่นทุกวันนี้ การจะหาคนเสียสละเพื่อสังคมจึงยากเย็นยิ่งขึ้นทุกที แต่การปรากฏขึ้นของพี่น้องพันธมิตรฯที่รวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นเป็นเสมือนแสงอันสว่างไสว ที่ถูกจุดขึ้นมาโดย “เทียนแห่งธรรม” ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน ทำให้ผมได้รับรู้ว่า สังคมนี้ยังมีความหวังในการสร้างสรรค์สิ่งดีงาม เพื่อให้สังคมของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้นกว่าเดิมได้
ความกตัญญูคือ การรู้คุณ โดยเฉพาะการรู้คุณแผ่นดินเกิด แต่แค่สำนึกรู้บุญคุณแผ่นดินหรือแค่มี กตัญญู แม้จะเป็นสิ่งที่ดีก็จริง แต่ผมว่ามันยังไม่เพียงพอหรอก ผมคิดว่า คนเราจะต้องมี กตเวทิตา คือการสนองคุณแผ่นดินเข้าไปด้วย จึงจะเป็นการทำเพื่อแผ่นดินที่สมบูรณ์พร้อม
พี่น้องเอย พี่น้องรู้มั้ยว่า การต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ ในช่วงปี 2551 ที่ผ่านมานั้น พี่น้องได้แสดงออกซึ่ง กตัญญู และ กตเวทิตา ให้แก่แผ่นดินเกิดอย่างสมบูรณ์พร้อมอย่างยากที่จะหากลุ่มพลังใดในสังคมเสมอเหมือนได้อีกแล้ว
www.suvinai-dragon.com
พวกเขา ได้สอนบทเรียนอันมีค่าบทหนึ่งให้สังคมไทยได้เรียนรู้ร่วมกันว่า “คนที่พ่ายแพ้คือคนที่ใจยอมแพ้ก่อน และการเป็นผู้ชนะไม่ได้ชนะ เพราะเป็นผู้ที่เก่งกว่าเสมอไป แต่ชนะเพราะไม่มีวันยอมแพ้ต่างหาก ...ไม่มีวันยอมแพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
แม้จนบัดนี้แล้ว ผมก็ยังรำลึกถึงพวกเขา ซึ่งก็คือ “พวกเรา” เสมอ...พวกเราพี่น้องพันธมิตรฯ ข้อเขียนชุดนี้ของผมเป็นการเขียนเพื่อรำลึกถึงพี่น้องพันธมิตรฯ จากแง่มุมต่างๆ เพื่อให้เรื่องราว และคุณูปการของพี่น้องพันธมิตรฯ ยังคงได้รับการเล่าขานสืบต่อไปตราบนานเท่านาน อีกทั้ง ผมยังขอเชิญชวนพี่น้องพันธมิตรฯ ทั้งหลายให้ช่วยกัน “แบ่งปัน” และ “บอกต่อ” เรื่องราวและประสบการณ์ของพี่น้องพันธมิตรฯ ในห้วงยามนั้น โดยใช้ข้อเขียนชุดนี้เป็นสื่อกลาง ผมหวังว่า “พวกเรา” จะได้พบสิ่งดีๆ และกำลังใจในชีวิตจากการ “แบ่งปัน” และ “บอกต่อ” ร่วมกันในครั้งนี้
* * *
ผมได้อ่านร้อยแก้วเรื่อง “รอยทรายใต้ฟองคลื่น” ของอาจารย์เสกสรร ประเสริฐกุล ใน นิตยสาร ฅ.คน คอลัมน์ คนค้นธรรม ด้วยความรู้สึกที่สะเทือนใจ ขณะนั้นเป็นช่วงปลายปี 2551 กว่าสามสัปดาห์หลังจากที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศยุติการชุมนุมที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 193 วัน และการเมืองไทยได้เปลี่ยนโฉมอีกครั้งอย่างแทบจะเรียกได้ว่า จากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ผมกลายเป็นหนึ่งเดียวกับร้อยแก้วอันงดงามบทนี้ของอาจารย์เสกสรร โดยผ่านการให้ความหมาย และตีความความหมายของร้อยแก้ว “รอยทรายใต้ฟองคลื่น” ชิ้นนี้ด้วย ประสบการณ์การต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ ในปี 2551
ใช่หรือไม่ว่า การต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ ในรอบปี 2551 ที่ผ่านมาจะเป็นเพียงแค่ “รอยช้ำ” บนหาดทรายแห่งประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ รอยหนึ่งที่จะค่อยๆ ถูกฟองคลื่นแห่งกาลเวลาสลายไปจนหมดสิ้น ไม่ช้าก็เร็ว?
ในสายตาของคนบางคน สังคมบางส่วน และสื่อบางกลุ่มอาจจะเป็นเช่นนั้นก็จริง แต่ผมเชื่อว่า ไม่ใช่แน่นอน สำหรับ “พวกเรา” พี่น้องพันธมิตรฯ ที่ได้มี ประสบการณ์และความทรงจำรวมหมู่ อันเข้มข้นตลอดช่วง 193 วันนั้น!
เพราะในห้วงยามนั้น การยืนหยัดต่อสู้ของ “พวกเรา” แทบไม่ต่างไปจาก ห้วงยามแห่งการภาวนา เลย การต่อสู้ของพวกเราได้กลายเป็นการปฏิบัติบำเพ็ญธรรมอย่างหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ “พวกเรา” ในห้วงยามนั้น จึงมิใช่กรวดทรายเม็ดน้อยที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจายเหมือนในอดีต นอกจากนี้ บาดแผลแห่งตัวตน ที่พวกเราแต่ละคนมีบ้างไม่มากก็น้อย ก็ได้ถูกลืมเลือนไปชั่วคราว
ณ ห้วงเวลานั้น ทรายน้ำกลายเป็นหนึ่งเดียว แผลหาดล้วนเลือนหาย ทุกช่วงฉาก และทุกวรรคตอนล้วนแสดงออกซึ่งลีลาแห่งเอกภาพที่เผยมายาแห่งริ้วรอยออกมาเท่านั้น
ถามว่า พี่น้องพันธมิตรฯ เป็นใคร? ไฉนจึงไม่ได้รับคำอวยพรจากคนบางคน สังคมบางส่วน และสื่อบางกลุ่ม?
พี่น้องเอย พวกเราต้องพร้อมเผชิญหน้ากับทุกปรากฏกรรม ยินดีร่ายรำกับกาลเวลา และเต็มใจฟันฝ่าทุกผองภัย ด้วยการจ้องแลกับทุกบาดแผลที่พวกเราได้รับให้เต็มตา จากนั้นพวกเราก็ต้องปลดวางตัวตนที่เคยยึดถือแล้วปล่อยปลงบาดแผลเหล่านั้นลงเสีย
พี่น้องเอย ที่ผ่านมา พวกเราได้ต่อสู้ยืนหยัด ใช้สองมือประคองโลกค้ำยันสังคมที่กำลังล่มสลาย เพราะฉะนั้น ต่อให้การต่อสู้ที่ผ่านมาของพวกเราจะเป็นดั่งรอยทรายใต้ฟองคลื่นที่ถูกกลืนหาย แต่ก็ขอให้พวกเราจงได้รับรู้เถิดว่า พวกเราพี่น้องพันธมิตรฯ อาจถูกกลืนด้วยฟองคลื่นแห่งกาลเวลาก็จริง แต่ขณะเดียวกัน มันก็เป็นการหวนกลับไปสู่ความงามแห่งอ้อมกอดของมหานทีที่ได้โอบรัดพสุธาด้วนรักอันสืบทอดธำรงมาด้วยเช่นกัน
* * *
คงเป็นการยากที่จะปฏิเสธได้ว่า การลุกขึ้นสู้ใน “สงครามครั้งสุดท้าย”ของพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี 2551 นั้น มิใช่ การลุกขึ้นสู้เพื่อทำหน้าที่ในการสร้างความหมาย และคุณค่าของความจริง ความรู้ ความดี และความงาม ซึ่งถ้าพูดด้วยสำนวนของพลตรีจำลอง ศรีเมือง หนึ่งในห้าแกนนำรุ่นหนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็จะเป็นว่า
“เรามาทำหน้าที่เพื่อใช้หนี้แผ่นดิน และมาทำบุญ”
จริงๆ แล้ว ผมคิดว่าพี่น้องพันธมิตรฯ ทุกคนก็คงตระหนักดีถึงหน้าที่ในการสร้างความหมาย และคุณค่าของความจริง ความรู้ ความดี และความงามนี้ว่า มันเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนเพื่อทำให้บ้านนี้เมืองนี้ดีขึ้นกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ พี่น้องพันธมิตรฯ จึงได้มารวมตัวกันและกลายเป็น พลังทางศีลธรรม ที่ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็น ขุมพลังที่ทรงพลังที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่
การลุกขึ้นสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ ในปี 2551 ในด้านหนึ่งจึงเป็นเสมือนการ “ตบหน้า” สังคมไทยฉาดใหญ่ที่มี ความจอมปลอม ดำรงอยู่ โดยที่ ความจอมปลอม ของสังคมนี้ได้ปรากฏออกมาให้เห็นชัดในรูปลักษณ์ที่ สังคมนี้บางส่วนสามารถสำแดงโวหาร หรือวาทกรรมด้วยเหตุผลต่างๆ นานาเพียงเพื่อที่จะไม่ยอมทำอะไรเลย ในการต่อสู้กับความชั่วร้ายที่ดำรงอยู่จริงในการเมืองไทย
นอกจากนี้ ความจอมปลอมนี้ยังปรากฏออกมาให้เห็นโดยผ่าน “ร่างทรง” นานาชนิดที่แม้จะใช้วาทกรรม และตรรกะเหตุผลที่หลากหลาย แต่กลับสะท้อนจิตใจที่ “ต่ำต้อย” และ “สามานย์” เหมือนกันออกมาทั้งสิ้น
จิตใจที่ ต่ำต้อย และ สามานย์ ชนิดนี้แหละที่ได้พยายาม ครอบงำ สังคมนี้ด้วยโลกทัศน์ที่คับแคบด้านเดียว ระยะสั้น เป็นวัตถุนิยมและมุ่งที่ผลลัพธ์เป็นหลัก โลกทัศน์เช่นนี้แหละที่ได้หล่อหลอมคนไทยจำนวนมากในยุคนี้ให้มองผู้อื่นว่าเป็นคู่แข่งที่ต้องเอาชนะ โดยที่เป้าหมายและความหมายของชีวิตก็มีแค่การแก่งแย่งช่วงชิงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดเลย ที่เดี๋ยวนี้สังคมไทยได้มั่งคั่งขึ้นทางวัตถุกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด
แต่คนไทยจำนวนไม่น้อยกลับมีชีวิตอยู่อย่างอึดอัด อย่างหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เมื่อพวกเขาได้ค้นพบว่า พวกเขากำลังอยู่ในโลกที่เปลี่ยวเหงา รู้สึกแปลกแยกกับผู้คน และไม่อาจไว้วางใจผู้อื่นได้เลย มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่พวกเขาได้ค้นพบว่า ทั้งๆ ที่พวกเขาได้พยายามเห็นแก่ตัวมากขึ้น พยายามใส่ใจแต่ในเรื่องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่พวกเขากลับมีความสุขน้อยลง และหาความหมายในชีวิตแทบไม่เจอ
จะว่าไปแล้ว ระบอบทักษิณ ที่พี่น้องพันธมิตรฯ ลุกขึ้นมาสู้เพื่อโค่นล้มก็เป็นเพียง ปรากฏการณ์ที่สุดโต่ง ของ “ความจริงวันนี้” แห่งวิกฤตทางจิตวิญญาณของสังคมไทยดังข้างต้นเท่านั้น ขณะที่ การก่อกำเนิดของขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่ต้นปี 2549 เป็นต้นมา ในด้านหนึ่งก็คือ การสถาปนา “การเมืองแห่งความหมาย” (Politics of Meaning) ขึ้นในการเมืองภาคประชาชน เพื่อกอบกู้บ้านเมืองและกอบกู้จิตวิญญาณของปัจเจกไปพร้อมๆ กันนั่นเอง
แกนนำทั้งห้าของพันธมิตรฯ ได้ใช้พฤติกรรมของพวกเขาที่ยึดหลักสันติ-อหิงสา โดยได้รับแรงบันดาลใจจากวิถีของท่านมหาตมะ คานธีมาเป็นแม่แบบให้แก่พี่น้องพันธมิตรฯ ได้เคลื่อนไหวตามไปในทิศทางนี้ และยังเป็นการให้ “ความหมาย” แก่การต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ โดยบอกแก่พี่น้องพันธมิตรฯ ทั้งหลายว่า ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายคือครั้งนี้ของพวกเรานั้น พวกเราต้องกล้าเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ชนิดที่แม้แต่ชีวิตก็ต้องอุทิศให้ได้ ซึ่งพี่น้องพันธมิตรฯ ก็ทำได้จริงตามนั้น เพราะต่อให้ต้องลุยไฟฝ่าเส้นทางข้างหน้าออกไปอันเป็นเส้นทางที่ผู้ขยาดจะไม่ยอมเดิน แต่พี่น้องพันธมิตรฯ ก็กล้าลุยฝ่าออกไป
พี่น้องพันธมิตรฯ มิได้ถูกแกนนำทั้งห้าจูงจมูก หรือถูกล้างสมอง แต่เพราะพี่น้องพันธมิตรฯ ล้วนเดินตามเสียงเรียกร้องซึ่งเกิดจากภายในของตนเองเหมือนกับแกนนำทุกคน ผลจึงออกมาเป็นว่า ทั้งหมดทุกคนล้วนร่วมเดินทางกันไปบนเส้นทางเดียวกันอย่างมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ในโลกที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ความต่ำต้อย และความสามานย์เช่นทุกวันนี้ จะมีวิถีการเมืองอื่นใดให้เลือกเดินได้อีก นอกจาก วิถีแห่งสันติ-อหิงสา ของพี่น้องพันธมิตรฯ?
พวกเราจึงต้องยืนหยัดต่อสู้กับความชั่วร้าย ความต่ำต้อย และความสามานย์ของสังคมนี้ แม้ว่าอาจจะต้องยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยวบ้างในบางครั้งก็ตาม
พวกเราจะต้องจับตาแลดูใบหน้าของสังคม แม้ว่าสังคมบางส่วนจะมองพวกเราด้วยสายตาอันแดงก่ำไปด้วยความเกลียดชัง และความเข้าใจผิดก็ตาม พวกเราจะต้องไม่หวั่นไหว แต่จงเชื่อมั่นและยืนหยัดอยู่กับสิ่งที่พวกเราได้ต่อสู้มา และเพื่อสิ่งที่พวกเราได้ยอมอุทิศชีวิตให้แล้ว
ในท่ามกลางโลกและสังคมที่ดำเนินไปด้วยหลักตัวใครตัวมัน และมือใครยาวสาวได้สาวเอาเช่นทุกวันนี้ การจะหาคนเสียสละเพื่อสังคมจึงยากเย็นยิ่งขึ้นทุกที แต่การปรากฏขึ้นของพี่น้องพันธมิตรฯที่รวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นเป็นเสมือนแสงอันสว่างไสว ที่ถูกจุดขึ้นมาโดย “เทียนแห่งธรรม” ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน ทำให้ผมได้รับรู้ว่า สังคมนี้ยังมีความหวังในการสร้างสรรค์สิ่งดีงาม เพื่อให้สังคมของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้นกว่าเดิมได้
ความกตัญญูคือ การรู้คุณ โดยเฉพาะการรู้คุณแผ่นดินเกิด แต่แค่สำนึกรู้บุญคุณแผ่นดินหรือแค่มี กตัญญู แม้จะเป็นสิ่งที่ดีก็จริง แต่ผมว่ามันยังไม่เพียงพอหรอก ผมคิดว่า คนเราจะต้องมี กตเวทิตา คือการสนองคุณแผ่นดินเข้าไปด้วย จึงจะเป็นการทำเพื่อแผ่นดินที่สมบูรณ์พร้อม
พี่น้องเอย พี่น้องรู้มั้ยว่า การต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ ในช่วงปี 2551 ที่ผ่านมานั้น พี่น้องได้แสดงออกซึ่ง กตัญญู และ กตเวทิตา ให้แก่แผ่นดินเกิดอย่างสมบูรณ์พร้อมอย่างยากที่จะหากลุ่มพลังใดในสังคมเสมอเหมือนได้อีกแล้ว
www.suvinai-dragon.com