ASTV ผู้จัดการรายวัน - ระบุปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อ ลูกค้าเปลี่ยนใจไม่กู้ซื้อบ้านเอื้อฯ สะท้อนการผลดำเนินงานโครงการบ้านเอื้อฯขาดการวางแผน ไม่คำนึงถึงผลกระทบจากปัญหาสต็อกคงค้าง สร้างภาระดอกเบี้ยสะสม จากการรีไฟล์แนนช์ สร้างบัญหาองค์กรในอนาคต ส่งผล กคช.ต้องของบช่วยเหลือจากรัฐจ่ายต้นทุนดอกเบี้ยเกินประมาณการณ์
แหล่งข่าวจาก การเหะแห่งชาติ (กคช.) กล่าว ถึงปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินซึ่งส่งผลกระทบทำให้ยอดขายบ้านเอื้อไม่เป็นไปตามเป้าในแต่ละปี ว่า ปัจจุบันจำนวนการปฏิเสธสินเชื่อประชาชนที่จองซื้อบ้านเอื้ออาทร เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 40-50% เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยกู้สินเชื่อเพิ่มขึ้นเนื่องจากกังวลปัญหาการเกิดสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ส่งผลให้ยอดขายบ้านเอื้อฯไม่เป็นไปตามประการณ์ที่วางไว้
นอกจากนี้ ปัญหายอดขายบ้านเอื้อฯที่ไม่สามารถเป็นไปตามเป้า ยังเกิดจากการเปลี่ยนใจของลูกค้า ซึ่งไม่มาแสดงตัวหรือยืนยันสิทธิ์ในการขอกู้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านอเอื้อฯตามที่ได้ลงชื่อสิทธิ์การซื้อบ้านไว้ตั้งแต่แรก ซึ่งในส่วนนี้มีจำนวนมาก10-15% เมื่อนับรวมกับยอดการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินแล้ว ทำให้สต็อกบ้านเอื้อฯพร้อมขายที่ประมาณการว่าจะสามารถระบายออกได้ในแต่ละปีหายไปกว่า60-65% หรือมียอดที่สามารถขายออกได้จริงเพียง 40-45% เท่านั้น
จากจำนวนยอดการจองสิทธิ์ซื้อบ้านเอื้อฯของประชาชนที่ผ่านการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ที่หายไปกว่าครึ่งในระหว่างขั้นตอนการยื่นกู้นั้น ทำให้การเคหะฯต้องผลักดันโครงการเช่าซื้อบ้านเอื้อฯ เพื่อรองรับความต้องการซื้อของประชาชน ซึ่งความต้องการที่แท้จริงทำให้ กคช. ต้องหาเงินก้อนใหญ่เพื่อชำระดอกเบี้ยของบ้านที่ก่อสร้างเสร็จ แต่ไม่สามารถขายได้ ซึ่ง กคช.ได้เสนอของบช่วยเหลือจากรัฐบาลเพิ่ม6,000 ล้านบาทในปีนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาการหาเงินมาก้อนมาชำระดอกเบี้ยอาจะหมดไปหากรัฐบาลสามารถหาเงินช่วยเหลือจำนวนดังกล่าวมาให้ กคช.ได้ แต่ปัญหาเงินต้นของบ้านที่สร้างเสร็จซึ่งจะครบกำหนดชำระในแต่ละปีนี้ กคช.ยังต้อเร่งแก้ไขอยู่
ด้านนายศิริโรจน์ ชาวปากน้ำ ผู้ช่วยผู้ว่าการก (กคช.) กล่าวว่า แนวทางการแก้ปัญหาลูกค้าบ้านเอื้อฯถูกปฏิเสธสินเชื่อนั้น ปัจจุบัน กคช. จะเปิดรับลูกค้าที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินจำนวนหนึ่งเข้าสูโครงการเช่าซื้อบ้านเอื้อฯกับ กคช. เพื่อสร้างประวัติการเงินที่ดีของลูกค้าโดยลูกค้าที่เข้าโครงการดังกล่าวจะผ่อนจ่ายกับ กคช.ในระยะหนึ่งเพื่อให้มีเงินออมและมีประวัติการเงินที่ดีและนำลูกค้ากลุ่มดังกล่าวยื่นกู้เงินสถาบันการเงินอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตามการเปิดโครงการเช่าซื้อนั้น กคช.จำเป็นต้องมีเงินก้อน เพื่อรองรับการจ่ายดอกเบี้ยบ้านที่สร้างเสร็จรออการขายและเพื่อรองรับการจ่ายคืนเงินต้นสินเชื่อเงินกู้ที่ กคช. กู้ยืมมาซื้อโครงการแบบเบ็ดเสร็จหรือ (เทิร์นคีย์) และค่าก่อสร้างจากบริษัทรับเหมาก่อนจะสามารถขายโครงการนั้นให้แก่ลูกค้าบ้านเอื้อฯได้ทั้งหมด ซึ่งแนวทางการแก้ปัญหาเงินกู้ดังกล่าวนั้น กคช.จะใช้วิธีการรีไฟล์แนนช์โครงการเพื่อนำเงินมาจ่ายเงินคืนเงินกู้จากสถาบันการเงินต่อไป
“อย่างไรก็ตามด้วยรูปแบบปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการารีไฟล์แนนช์ และการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากแบงก์ จะส่งผลให้เกิดหนี้จากดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง และสะสมในอนาคต เนื่องจากโครงการไม่มีการวางแผนที่ดี เพราะไม่ได้คำนึงถึงปัญหาการเกิดสต็อกสะสม มองอย่างเดียวว่ามีดีมานด์และจะขายได้เท่ากับจำนวนดีมานด์ที่ประมาณการณ์ไว้ โดยไม่คำนึงว่าจะมีการปฏิเสธสินเชื่อ ซึ่งจะก่อให้เกิดสต็อก และมีต้นทุนดอกเบี้ยตามมา แน่นอนว่า กคช.ดำเนินการแบบไม่คิดเรื่องกำไร แต่ก็ต้องคำนึกด้วยว่าจะเกิดปัญหา ทำให้มีหนี้จากการดำเนินการ และยังทำให้เกิดปัญหากับองค์กรในอนาคตด้วย”
แหล่งข่าวจาก การเหะแห่งชาติ (กคช.) กล่าว ถึงปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินซึ่งส่งผลกระทบทำให้ยอดขายบ้านเอื้อไม่เป็นไปตามเป้าในแต่ละปี ว่า ปัจจุบันจำนวนการปฏิเสธสินเชื่อประชาชนที่จองซื้อบ้านเอื้ออาทร เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 40-50% เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยกู้สินเชื่อเพิ่มขึ้นเนื่องจากกังวลปัญหาการเกิดสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ส่งผลให้ยอดขายบ้านเอื้อฯไม่เป็นไปตามประการณ์ที่วางไว้
นอกจากนี้ ปัญหายอดขายบ้านเอื้อฯที่ไม่สามารถเป็นไปตามเป้า ยังเกิดจากการเปลี่ยนใจของลูกค้า ซึ่งไม่มาแสดงตัวหรือยืนยันสิทธิ์ในการขอกู้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านอเอื้อฯตามที่ได้ลงชื่อสิทธิ์การซื้อบ้านไว้ตั้งแต่แรก ซึ่งในส่วนนี้มีจำนวนมาก10-15% เมื่อนับรวมกับยอดการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินแล้ว ทำให้สต็อกบ้านเอื้อฯพร้อมขายที่ประมาณการว่าจะสามารถระบายออกได้ในแต่ละปีหายไปกว่า60-65% หรือมียอดที่สามารถขายออกได้จริงเพียง 40-45% เท่านั้น
จากจำนวนยอดการจองสิทธิ์ซื้อบ้านเอื้อฯของประชาชนที่ผ่านการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ที่หายไปกว่าครึ่งในระหว่างขั้นตอนการยื่นกู้นั้น ทำให้การเคหะฯต้องผลักดันโครงการเช่าซื้อบ้านเอื้อฯ เพื่อรองรับความต้องการซื้อของประชาชน ซึ่งความต้องการที่แท้จริงทำให้ กคช. ต้องหาเงินก้อนใหญ่เพื่อชำระดอกเบี้ยของบ้านที่ก่อสร้างเสร็จ แต่ไม่สามารถขายได้ ซึ่ง กคช.ได้เสนอของบช่วยเหลือจากรัฐบาลเพิ่ม6,000 ล้านบาทในปีนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาการหาเงินมาก้อนมาชำระดอกเบี้ยอาจะหมดไปหากรัฐบาลสามารถหาเงินช่วยเหลือจำนวนดังกล่าวมาให้ กคช.ได้ แต่ปัญหาเงินต้นของบ้านที่สร้างเสร็จซึ่งจะครบกำหนดชำระในแต่ละปีนี้ กคช.ยังต้อเร่งแก้ไขอยู่
ด้านนายศิริโรจน์ ชาวปากน้ำ ผู้ช่วยผู้ว่าการก (กคช.) กล่าวว่า แนวทางการแก้ปัญหาลูกค้าบ้านเอื้อฯถูกปฏิเสธสินเชื่อนั้น ปัจจุบัน กคช. จะเปิดรับลูกค้าที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินจำนวนหนึ่งเข้าสูโครงการเช่าซื้อบ้านเอื้อฯกับ กคช. เพื่อสร้างประวัติการเงินที่ดีของลูกค้าโดยลูกค้าที่เข้าโครงการดังกล่าวจะผ่อนจ่ายกับ กคช.ในระยะหนึ่งเพื่อให้มีเงินออมและมีประวัติการเงินที่ดีและนำลูกค้ากลุ่มดังกล่าวยื่นกู้เงินสถาบันการเงินอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตามการเปิดโครงการเช่าซื้อนั้น กคช.จำเป็นต้องมีเงินก้อน เพื่อรองรับการจ่ายดอกเบี้ยบ้านที่สร้างเสร็จรออการขายและเพื่อรองรับการจ่ายคืนเงินต้นสินเชื่อเงินกู้ที่ กคช. กู้ยืมมาซื้อโครงการแบบเบ็ดเสร็จหรือ (เทิร์นคีย์) และค่าก่อสร้างจากบริษัทรับเหมาก่อนจะสามารถขายโครงการนั้นให้แก่ลูกค้าบ้านเอื้อฯได้ทั้งหมด ซึ่งแนวทางการแก้ปัญหาเงินกู้ดังกล่าวนั้น กคช.จะใช้วิธีการรีไฟล์แนนช์โครงการเพื่อนำเงินมาจ่ายเงินคืนเงินกู้จากสถาบันการเงินต่อไป
“อย่างไรก็ตามด้วยรูปแบบปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการารีไฟล์แนนช์ และการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากแบงก์ จะส่งผลให้เกิดหนี้จากดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง และสะสมในอนาคต เนื่องจากโครงการไม่มีการวางแผนที่ดี เพราะไม่ได้คำนึงถึงปัญหาการเกิดสต็อกสะสม มองอย่างเดียวว่ามีดีมานด์และจะขายได้เท่ากับจำนวนดีมานด์ที่ประมาณการณ์ไว้ โดยไม่คำนึงว่าจะมีการปฏิเสธสินเชื่อ ซึ่งจะก่อให้เกิดสต็อก และมีต้นทุนดอกเบี้ยตามมา แน่นอนว่า กคช.ดำเนินการแบบไม่คิดเรื่องกำไร แต่ก็ต้องคำนึกด้วยว่าจะเกิดปัญหา ทำให้มีหนี้จากการดำเนินการ และยังทำให้เกิดปัญหากับองค์กรในอนาคตด้วย”
