ASTVผู้จัดการรายวัน- กคช.เล็งเจรจากรุงไทยฯ จัดแพกเกจการเงินรูปแบบเดียวกับกทม.พร้อมหาลูกค้าข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ซื้อบ้านเอื้อฯ หวังระบายพอร์ตบ้านสร้างเสร็จยกล็อต ระบุเศรษฐกิจถดถอยกลุ่มลูกค้าบ้านเอื้อฯถูกเลิกจ้าง ยอดยกเลิกซื้อเพิ่ม 10% ล่าสุดดึงลูกค้ากลับจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นกว่า 6,000ราย เสนอกู้แบงก์ ธอส.- ออมสิน 4,000 ราย อีก2,000 รายเข้าโครงการเช่าซื้อ
นายศิริโรจน์ ชาวปากน้ำ ผู้ช่วยผู้ว่าการ การเคหะแห่งชาติ (กคช.) กล่าวว่า ในวันที่ 25.ก.พ.นี้ กคช.เข้าหารือกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้จัดแพกเกจทางการเงินรูปแบบเดียวกับที่จัดให้แก่ข้าราชการและพนักงานกทม. ในโครงการสวัสดิการที่อยู่อาศัยกทม. คือ ให้เงินกู้ดอกเบี้ย ต่ำคงที่ 2.75% ระยะยาว 30 ปีในการซื้อที่อยู่อาศัยพร้อมเฟอร์นิเจอร์ มุ้งลวด เหล็กดัด และแอร์ ให้แก่ลูกค้าข้าราชการ รัฐวิสาหกิจที่ต้องการซื้อบ้านในโครงการบ้านเอื้ออาทร
นอกจาก จะเสนอให้ธนาคารกรุงไทยฯ ช่วยเจรจากับหน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจให้จัดทำโครงการในรูปแบบเดียวกับกทม.โดยดึงบ้านเอื้ออาทรเข้าร่วมโครงการ ซึ่งหาก กคช.สามารถดำเนินการในรูปแบบดังกล่าวได้ จะช่วยให้ระบายบ้านออกไปได้จำนวนมาก
“ ในการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมระหว่างกคช.และกทม.จำนวน 10,000 หน่วย มูลค่า 3,900 ล้านบาท คงต้องเลื่อนไปในช่วงต้นเดือนมี.ค.จากเดิมจะเซ็นสัญญาในวันที่ 27 ก.พ.”นายศิริโรจน์ กล่าวว่าและแสดงความเป็นห่วงว่า
จากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยในปัจจุบัน อาจจะส่งผลให้มีการเลิกจ้างงานอีกมาก และมีผลต่อการยกเลิกการตัดสินใจซื้อบ้านเอื้อฯเพิ่มขึ้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีกลุ่มลูกค้าที่ตัดสินใจยกเลิกการจองซื้อแล้ว 10% และกลุ่มที่กู้ไม่ผ่านอีกส่วนหนึ่ง โดยทั้ง 2 กลุ่ม ดังกล่าว กคช.จะลูกค้าเข้าโครงการเช่าซื้อกับกคช.ก่อน แล้วจึงส่งรายขอกู้ต่อสถาบันการเงินต่อไป
ก่อนหน้านั้น กคช.ได้มีการส่งรายชื่อลูกค้าที่ซื้อบ้านเอื้อฯให้แก่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด จำนวนหนึ่ง เพื่ออนุมัติปล่อยกู้ซื้อบ้าน แต่เนื่องจากระยะเวลาในการพิจารณาค่อนข้างนานและดอกเบี้ยสูง ทำให้กคช.ได้นำกลุ่มลูกค้าจำนวน 6,000 ราย กลับมาของกู้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) และธนาคารออมสิน 4,000ราย ที่เหลือ 2,000 ราย ได้นำเข้าโครงการเช่าซื้อกับ กคช.
ด้านนายสุชาติ ศิริโยธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กคช. กล่าวว่า การดำเนินงานแก้ปัญหาแฟลตดินแดงนั้น กคช.ได้มีการดำเนินการและจัดทำกิจกรรมร่วมกับผู้อยู่อาศัยมาตลอด1ปีที่ผ่านมา ซึ่งในเบื้องต้น จะยังดำเนินการตามแผนการฟื้นฟูเมืองที่เคยเสนอต่อรัฐบาลไว้ โดยเตรียมนำแผนขออนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี( ครม.)ให้ทันปีงบประมาณ2552นี้ คาดว่าการดำเนินการในเฟสแรกจะใช้งบประมาณ 500-600ล้านบาท
นายศิริโรจน์ ชาวปากน้ำ ผู้ช่วยผู้ว่าการ การเคหะแห่งชาติ (กคช.) กล่าวว่า ในวันที่ 25.ก.พ.นี้ กคช.เข้าหารือกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้จัดแพกเกจทางการเงินรูปแบบเดียวกับที่จัดให้แก่ข้าราชการและพนักงานกทม. ในโครงการสวัสดิการที่อยู่อาศัยกทม. คือ ให้เงินกู้ดอกเบี้ย ต่ำคงที่ 2.75% ระยะยาว 30 ปีในการซื้อที่อยู่อาศัยพร้อมเฟอร์นิเจอร์ มุ้งลวด เหล็กดัด และแอร์ ให้แก่ลูกค้าข้าราชการ รัฐวิสาหกิจที่ต้องการซื้อบ้านในโครงการบ้านเอื้ออาทร
นอกจาก จะเสนอให้ธนาคารกรุงไทยฯ ช่วยเจรจากับหน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจให้จัดทำโครงการในรูปแบบเดียวกับกทม.โดยดึงบ้านเอื้ออาทรเข้าร่วมโครงการ ซึ่งหาก กคช.สามารถดำเนินการในรูปแบบดังกล่าวได้ จะช่วยให้ระบายบ้านออกไปได้จำนวนมาก
“ ในการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมระหว่างกคช.และกทม.จำนวน 10,000 หน่วย มูลค่า 3,900 ล้านบาท คงต้องเลื่อนไปในช่วงต้นเดือนมี.ค.จากเดิมจะเซ็นสัญญาในวันที่ 27 ก.พ.”นายศิริโรจน์ กล่าวว่าและแสดงความเป็นห่วงว่า
จากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยในปัจจุบัน อาจจะส่งผลให้มีการเลิกจ้างงานอีกมาก และมีผลต่อการยกเลิกการตัดสินใจซื้อบ้านเอื้อฯเพิ่มขึ้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีกลุ่มลูกค้าที่ตัดสินใจยกเลิกการจองซื้อแล้ว 10% และกลุ่มที่กู้ไม่ผ่านอีกส่วนหนึ่ง โดยทั้ง 2 กลุ่ม ดังกล่าว กคช.จะลูกค้าเข้าโครงการเช่าซื้อกับกคช.ก่อน แล้วจึงส่งรายขอกู้ต่อสถาบันการเงินต่อไป
ก่อนหน้านั้น กคช.ได้มีการส่งรายชื่อลูกค้าที่ซื้อบ้านเอื้อฯให้แก่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด จำนวนหนึ่ง เพื่ออนุมัติปล่อยกู้ซื้อบ้าน แต่เนื่องจากระยะเวลาในการพิจารณาค่อนข้างนานและดอกเบี้ยสูง ทำให้กคช.ได้นำกลุ่มลูกค้าจำนวน 6,000 ราย กลับมาของกู้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) และธนาคารออมสิน 4,000ราย ที่เหลือ 2,000 ราย ได้นำเข้าโครงการเช่าซื้อกับ กคช.
ด้านนายสุชาติ ศิริโยธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กคช. กล่าวว่า การดำเนินงานแก้ปัญหาแฟลตดินแดงนั้น กคช.ได้มีการดำเนินการและจัดทำกิจกรรมร่วมกับผู้อยู่อาศัยมาตลอด1ปีที่ผ่านมา ซึ่งในเบื้องต้น จะยังดำเนินการตามแผนการฟื้นฟูเมืองที่เคยเสนอต่อรัฐบาลไว้ โดยเตรียมนำแผนขออนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี( ครม.)ให้ทันปีงบประมาณ2552นี้ คาดว่าการดำเนินการในเฟสแรกจะใช้งบประมาณ 500-600ล้านบาท
