ASTVผู้จัดการรายวัน - "กรณ์"เตรียมชงกรอบเงินกู้ขาดดุลงบประมาณ 9.4 หมื่นล้านบาทเข้าที่ประชุมครม.อังคารนี้ ยันเป็นไปตามกฎหมายที่สามารถกู้ได้ 20% ของงบประมาณรายจ่าย ย้ำรัฐบาลยังจำเป็นที่ต้องกู้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ ระบุออกเป็นพันธบัตรระดมเงินภายในประเทศ และหากแนวโน้มรายได้ลดลงอีก เตรียมใช้วิธีอื่นในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
นายกรณ์ จาติกวนิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า วันอังคารที่ 7 เม.ย.นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติการกู้เงินชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 2552 เพิ่มเติมอีก 9.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามกรอบกฎหมายของ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายที่รัฐสามารถกู้เงินได้ 20% ของวงเงินรายจ่าย ซึ่งถือเป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐบาลต้องดำเนินการกู้เงินมาใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่การจัดเก็บรายได้ ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
"รัฐบาลไม่สามารถนิ่งเฉยได้ในภายใต้สภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ภาครัฐต้องมีบทบาทในการใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง เพราะหากไม่ทำอะไร แนวโน้มของกำลังซื้อที่ลดลงและการตกงานจะมีมากขึ้น ซึ่งเหมือนกับปัญหาที่ทั่วโลกกำลังประสบอยู่ และการกำหนดนโยบายต่างๆ จำเป็นต้องใช้เงินงบประมาณที่มาจากการจัดเก็บภาษี แต่หากรายได้ลดลงก็ต้องกู้เงินมาใช้จ่าย ซึ่งส่วนใหญ่เน้นใช้เงินกู้ในประเทศ จึงเชื่อมั่นว่าการกู้เงินมาใช้จ่ายถือเป็นแนวทางที่เดินทางถูกต้องแล้ว เพราะจะทำให้ประชาชนมีงานทำและมีเงินใช้จ่าย" นายกรณ์กล่าว
สำหรับการกู้เงินชดชเยขาดดุลอีก 9.4 หมื่นล้านบาทนั้น จะเป็นการกู้ยิมปกติของกระรวงการคลังที่ใช้วิธีการออกพันธบัตรในประเทศ เหมือนการกู้ชดเชยขาดดุลก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตแนวโน้มของรายได้ยังปรับลดลงอีก ก็กำลังพิจารณาแนวทางอื่นๆในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ เพราะจากการเข้าร่วมประชุมกลุ่มประเทศ จี 20 ก็พบว่าประเทศที่มีปัญหาการจัดเก็บรายได้มาใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ล้วนมีแนวทางหาเงินมาใช้จ่ายเช่นกัน
ขณะที่ไทยเองยังมีความได้เปรียบที่สถาบันการเงินมีความเข้มแข็งและเครดิตของประเทศยังอยู่ในระดับดี ทำให้ต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับต่ำ และไม่เป็นภาระกับรัฐบาลมากเกินไป จึงมั่นใจว่ายังสามารถหาเงินมาใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพิ่มเติมหากมีความจำเป็น โดยเฉพาะในปีงบประมาณ 2553 ก็ยังเป็นงบขาดดุลเพื่ออัดฉีดเงินงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า จึงต้องเตรียมความพร้อมเอาไว้
นอกจากนั้นมองว่า การที่กลุ่มประเทศ จี 20 มีความตั้งใจอัดฉีดเงินเข้าระบบ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังของแต่ละประเทศและการกู้ยืมของรัฐบาลทั่วโลก เป็นการสะท้อนให้เห็นความจำเป็นของการแก้ไขปัยหากำลังซื้อที่ลดลงทั่วโลก และการจ้างงานเพื่อไม่ให้มีปัญหารุนแรงขึ้นนั้นถือว่าสอดคล้องกับแนวทางที่ไทยดำเนินการอยู่เช่นเดียวกัน
นายกรณ์ กล่าวว่า ในการจัดงานไทยรวมพลัง กู้เศรษฐกิจชาติ ในส่วนของสถาบันการเงินของรัฐ 13 แห่ง ที่เข้าร่วมด้วยนั้นถือว่าได้รับความสนใจเกินคาด โดยรัฐต้องการสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของรัฐบาลที่มีต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เพียงลำพัง แต่ต้องได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนด้วย จึงจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเดินต่อไปได้
“เป้าหมายการจัดงานครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ในส่วนของการจับจ่ายใช้สอยผ่านความร่วมมือของผู้ประกอบการธุรกิจ รวมถึงสถาบันการเงินภาคต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงเสถียรภาพ และพลังเศรษฐกิจของไทยขณะนี้ยังมีอยู่มากและเชื่อมั่นว่าไทยจะผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจไปได้ เบื้องต้นเท่าที่ได้รับรายงาน ทราบว่าสถาบันการเงินแต่ละแห่งทำงานได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้วเกือบทุกสถาบัน จึงเชื่อว่าความต้องการในส่วนของบริการภาคการเงินของประชาชนยังมีอยู่"
รายงานข่าวแจ้งว่า สถาบันการเงินทุกแห่งแข่งขันกันปล่อยสินเชื่อ และระดมเงินฝากเป็นหลัก โดยในส่วนของการระดมเงินฝากนั้น ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก เช่น ธนาคารกรุงไทย ออกเงินฝาก 3 เดือน ดอกเบี้ย 3% ซึ่งวันแรกมีเงินฝากถึง 103 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มีเงินฝาก 2 ปี ดอกเบี้ย 2% ฝาก 3 ปี ดอกเบี้ย 2.35% ปรากฎว่า มีผู้ฝากรายเดียว 250 ล้านบาท แต่โดยเฉลี่ยทั้งวันแล้วมีถึง 300 ล้านบาท ขณะที่ปล่อยเงินกู้ได้ 163 ล้านบาท บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) มีผู้นำเช็คช่วยชาติ 2,00 บาทกว่า 20 ราย มาจองซื้อคอนโดมิเนี่ยม และที่อยู่พร้อมอาศัย ซึ่งได้รับมูลค่าเพิ่ม 5 เท่า หรือเป็น 10,000 บาท ทำให้วันแรกมียอดขายทรัพย์ได้ 50 ล้านบาท และทำให้คาดว่าทั้งงานจะได้ถึง 200 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย วางเป้าหมายปล่อยสินเชื่อในงาน 200 ล้านบาท แต่คาดว่าเมื่อจบงานจะได้ถึง 1,000 ล้านบาท เนื่องจากสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านและบัตรเครดิตนั้นได้รับความสนใจอย่างมาก เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังมีผลิตภัณฑ์และกิจกรรมต่างๆ ที่หลากหลายสำหรับประชาชน เช่น ให้บริการฝึกอาชีพของ ธนาคารออมสิน ฝึกทำอาหาร ซ่อมรองเท้า ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก รวมทั้ง การจับจ่ายซื้อสินค้าราคาประหยัดและสินค้าโอทอป ของดีราคาถูกของแต่ละภูมิภาคภายในงาน
นายกรณ์ จาติกวนิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า วันอังคารที่ 7 เม.ย.นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติการกู้เงินชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 2552 เพิ่มเติมอีก 9.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามกรอบกฎหมายของ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายที่รัฐสามารถกู้เงินได้ 20% ของวงเงินรายจ่าย ซึ่งถือเป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐบาลต้องดำเนินการกู้เงินมาใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่การจัดเก็บรายได้ ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
"รัฐบาลไม่สามารถนิ่งเฉยได้ในภายใต้สภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ภาครัฐต้องมีบทบาทในการใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง เพราะหากไม่ทำอะไร แนวโน้มของกำลังซื้อที่ลดลงและการตกงานจะมีมากขึ้น ซึ่งเหมือนกับปัญหาที่ทั่วโลกกำลังประสบอยู่ และการกำหนดนโยบายต่างๆ จำเป็นต้องใช้เงินงบประมาณที่มาจากการจัดเก็บภาษี แต่หากรายได้ลดลงก็ต้องกู้เงินมาใช้จ่าย ซึ่งส่วนใหญ่เน้นใช้เงินกู้ในประเทศ จึงเชื่อมั่นว่าการกู้เงินมาใช้จ่ายถือเป็นแนวทางที่เดินทางถูกต้องแล้ว เพราะจะทำให้ประชาชนมีงานทำและมีเงินใช้จ่าย" นายกรณ์กล่าว
สำหรับการกู้เงินชดชเยขาดดุลอีก 9.4 หมื่นล้านบาทนั้น จะเป็นการกู้ยิมปกติของกระรวงการคลังที่ใช้วิธีการออกพันธบัตรในประเทศ เหมือนการกู้ชดเชยขาดดุลก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตแนวโน้มของรายได้ยังปรับลดลงอีก ก็กำลังพิจารณาแนวทางอื่นๆในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ เพราะจากการเข้าร่วมประชุมกลุ่มประเทศ จี 20 ก็พบว่าประเทศที่มีปัญหาการจัดเก็บรายได้มาใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ล้วนมีแนวทางหาเงินมาใช้จ่ายเช่นกัน
ขณะที่ไทยเองยังมีความได้เปรียบที่สถาบันการเงินมีความเข้มแข็งและเครดิตของประเทศยังอยู่ในระดับดี ทำให้ต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับต่ำ และไม่เป็นภาระกับรัฐบาลมากเกินไป จึงมั่นใจว่ายังสามารถหาเงินมาใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพิ่มเติมหากมีความจำเป็น โดยเฉพาะในปีงบประมาณ 2553 ก็ยังเป็นงบขาดดุลเพื่ออัดฉีดเงินงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า จึงต้องเตรียมความพร้อมเอาไว้
นอกจากนั้นมองว่า การที่กลุ่มประเทศ จี 20 มีความตั้งใจอัดฉีดเงินเข้าระบบ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังของแต่ละประเทศและการกู้ยืมของรัฐบาลทั่วโลก เป็นการสะท้อนให้เห็นความจำเป็นของการแก้ไขปัยหากำลังซื้อที่ลดลงทั่วโลก และการจ้างงานเพื่อไม่ให้มีปัญหารุนแรงขึ้นนั้นถือว่าสอดคล้องกับแนวทางที่ไทยดำเนินการอยู่เช่นเดียวกัน
นายกรณ์ กล่าวว่า ในการจัดงานไทยรวมพลัง กู้เศรษฐกิจชาติ ในส่วนของสถาบันการเงินของรัฐ 13 แห่ง ที่เข้าร่วมด้วยนั้นถือว่าได้รับความสนใจเกินคาด โดยรัฐต้องการสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของรัฐบาลที่มีต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เพียงลำพัง แต่ต้องได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนด้วย จึงจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเดินต่อไปได้
“เป้าหมายการจัดงานครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ในส่วนของการจับจ่ายใช้สอยผ่านความร่วมมือของผู้ประกอบการธุรกิจ รวมถึงสถาบันการเงินภาคต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงเสถียรภาพ และพลังเศรษฐกิจของไทยขณะนี้ยังมีอยู่มากและเชื่อมั่นว่าไทยจะผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจไปได้ เบื้องต้นเท่าที่ได้รับรายงาน ทราบว่าสถาบันการเงินแต่ละแห่งทำงานได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้วเกือบทุกสถาบัน จึงเชื่อว่าความต้องการในส่วนของบริการภาคการเงินของประชาชนยังมีอยู่"
รายงานข่าวแจ้งว่า สถาบันการเงินทุกแห่งแข่งขันกันปล่อยสินเชื่อ และระดมเงินฝากเป็นหลัก โดยในส่วนของการระดมเงินฝากนั้น ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก เช่น ธนาคารกรุงไทย ออกเงินฝาก 3 เดือน ดอกเบี้ย 3% ซึ่งวันแรกมีเงินฝากถึง 103 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มีเงินฝาก 2 ปี ดอกเบี้ย 2% ฝาก 3 ปี ดอกเบี้ย 2.35% ปรากฎว่า มีผู้ฝากรายเดียว 250 ล้านบาท แต่โดยเฉลี่ยทั้งวันแล้วมีถึง 300 ล้านบาท ขณะที่ปล่อยเงินกู้ได้ 163 ล้านบาท บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) มีผู้นำเช็คช่วยชาติ 2,00 บาทกว่า 20 ราย มาจองซื้อคอนโดมิเนี่ยม และที่อยู่พร้อมอาศัย ซึ่งได้รับมูลค่าเพิ่ม 5 เท่า หรือเป็น 10,000 บาท ทำให้วันแรกมียอดขายทรัพย์ได้ 50 ล้านบาท และทำให้คาดว่าทั้งงานจะได้ถึง 200 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย วางเป้าหมายปล่อยสินเชื่อในงาน 200 ล้านบาท แต่คาดว่าเมื่อจบงานจะได้ถึง 1,000 ล้านบาท เนื่องจากสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านและบัตรเครดิตนั้นได้รับความสนใจอย่างมาก เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังมีผลิตภัณฑ์และกิจกรรมต่างๆ ที่หลากหลายสำหรับประชาชน เช่น ให้บริการฝึกอาชีพของ ธนาคารออมสิน ฝึกทำอาหาร ซ่อมรองเท้า ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก รวมทั้ง การจับจ่ายซื้อสินค้าราคาประหยัดและสินค้าโอทอป ของดีราคาถูกของแต่ละภูมิภาคภายในงาน