xs
xsm
sm
md
lg

โพธิสัตตบูรณาเทียนแห่งธรรมกับการบูรณาภูมิปัญญาเพื่อการกู้โลก (ตอนที่ 52)

เผยแพร่:   โดย: ดร.สุวินัย ภรณวลัย

52. ด้วยรักและผูกพัน...แด่เหล่านักรบแห่งชาติ

...กลางเดือนตุลาคม พ.ศ. 2551 กรุงเทพมหานคร

เช้าตรู่วันนั้น “เขา” เดินออกจากบ้านพักเพื่อไปนั่งสมาธิที่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ ริมคลองเหมือนเช่นทุกวัน ขณะที่เดินอยู่ “เขา” เกิดความรู้สึกตัวในขณะที่ฝ่าเท้ากระทบพื้น ความคิดแวบเข้ามาอีก “เขา” เผลอหลุดเข้าไปอยู่ในกระแสความคิดนั้นชั่วครู่ก่อนที่ตัวเขาจะรู้สึกตัวอีกว่า เมื่อกี้ “เขา” เผลอไปอีกแล้ว “เขา” ฝึกรู้สึกตัวในขณะใช้ชีวิตประจำวันนี้ไปเรื่อยๆ โดยพยายามฝึกให้รู้สึกตัวให้ได้บ่อยๆ ครั้งเท่าที่จะกระทำได้ ไม่ว่า “เขา” จะทำกิจกรรมอะไรในชีวิตประจำวันอยู่ก็ตาม

เมื่อ “เขา” เดินมาถึงบริเวณต้นโพธิ์ใหญ่ริมคลอง กระรอกน้อยสองตัวกระโดดโลดแล่นไปมาบนกิ่งไม้ใหญ่ของต้นโพธิ์ราวกับกำลังทักทายเขา เสียงนกร้องโดยรอบราวกับกำลังขับขานประสานเสียงจำนรรจากับตัวเขา เจ้าเต่าตัวหนึ่งกำลังคืบคลานอยู่ริมร่องน้ำราวกับแวะมาเยี่ยมเขา โลกรอบตัวเขาในขณะนี้เปี่ยมไปด้วยศานติและความมีชีวิตชีวา ขณะที่จิตใจของเขาก็เอ่อล้นไปด้วยความแช่มชื่นและเบิกบาน “เขา” ดื่มด่ำกับแต่ละห้วงขณะ ณ ที่นั่นและเดี๋ยวนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตในทุกห้วงยามที่ผ่านพ้น ไม่มีห้วงเวลาไหนเป็นพิเศษเฉพาะสำหรับตัวเขา เพราะทุกห้วงเวลาทุกห้วงขณะ ล้วนเป็นห้วงยามที่พิเศษและมีคุณค่าสำหรับตัวเขาเสมอ

เมื่อ “เขา” เริ่มนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ริมคลอง ฝนก็เริ่มตกพรำๆ ลงมา “เขา” ปรับลมหายใจเข้าออก ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกายแล้วตั้งจิตไว้ที่ โครงกระดูก ของเขา ขณะที่ตัวเขาเดินลมเข้าออกไปมาจนจิตของเขาเริ่มเข้าสู่ความสงบ จากนั้น “เขา” ก็ใช้ พลังแห่งจินตนาการ ของเขา ค่อยๆ สลายโครงกระดูกของเขา รวมทั้งร่างกายส่วนอื่นๆ ของเขา จนตัวเขากลายเป็น หยดน้ำ ที่ค่อยๆ ไหลซึมลงไปในแผ่นดินใต้ต้นโพธิ์ที่ตัวเขากำลังบำเพ็ญสมาธิอยู่ หยดน้ำ นี้ค่อยๆ ไหลลงสู่ลำคลอง กลายเป็น หยดน้ำ ในแม่น้ำเจ้าพระยาที่กำลังไหลลงสู่ทะเลอันกว้างใหญ่

สายลมพัด หยดน้ำ นั้น ให้ไหลขึ้นเริงร่าอยู่บนยอดคลื่น ภายหลังจากที่ลมสงบลง ทะเลใหญ่คืนสู่ความนิ่งงันราวกับผืนกระจก ขณะที่ตัวเขาที่เป็นหยดน้ำค่อยๆ ดำดิ่งลงไปสู่พื้นมหาสมุทรที่ลึกล้ำที่สุดราวกับอยู่ที่หว่างกลาง “ใจน้ำ” ของท้องสมุทรนั้น จนตัวเขารับรู้ถึงความเงียบสงัด ณ ที่แห่งนั้น ทำให้ตัวเขามีเวลาใคร่ครวญเหตุการณ์ที่ตัวเขาได้เข้าไปร่วม “สงครามครั้งสุดท้าย” กับขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนกระทั่งเข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาลได้ในตอนเย็นวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ในฐานะที่เป็น สัญลักษณ์แห่งอารยะขัดขืนขั้นสูงสุด

หลังจากนั้น “เขา” ได้รับข่าวสารจาก “จิตเบื้องบน” ที่ตัวเขารับรู้ได้ด้วยใจจากสัมผัสพิเศษของเขาให้ตัวเขาปลีกตัวจากการเข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ที่ตัวเขาเคยไปร่วมเป็นประจำ แล้วให้มาปฏิบัติ ภารกิจทางจิต เพียงลำพังใน พิธีร่วมทุกข์กับแผ่นดิน ที่ตัวเขากำลังทำอยู่นี้ โดยตัวเขาต้องกระทำไปเรื่อยๆ จนกว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ของพันธมิตรฯ จะได้รับชัยชนะ ซึ่ง “จิตเบื้องบน” ได้ให้คำรับรองและความมั่นใจแก่ตัวเขาว่า พันธมิตรฯ จะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน แต่จะชนะอย่างที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของฟ้าดินเท่านั้น

พรอันประเสริฐ (grace) เป็นรหัสสำคัญในการพาผู้นั้นไปสู่ระดับจิตที่สูงขึ้น จนสามารถเชื่อมต่อกับ “จิตเบื้องบน” และกลายเป็น พลังในการหยั่งรู้ (intuitive power) ของผู้นั้นได้ พรอันประเสริฐ นี้เป็นสิ่งนามธรรมที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา แต่สามารถสัมผัสได้ด้วยใจ หรือด้วยความรู้สึกอันบริสุทธิ์ของผู้นั้น ทำให้ผู้นั้นกลายเป็น ผู้หยั่งรู้ชีวิต ได้ว่า ผู้นั้นสมควรเลือกกระทำอะไร และอย่างไรในสถานการณ์หนึ่งๆ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อวิวัฒนาการของจักรวาฬโดยรวม

ผู้แสวงธรรมที่เป็น นักรบแห่งสันติ (peaceful warrior) อย่างตัวเขาได้ใช้หลักการที่บูรณา เหตุผล กับ ญาณหยั่งรู้ เข้าด้วยกันนี้เป็นเข็มทิศชี้นำการกระทำ และการเคลื่อนไหวมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีมานี้ที่ตัวเขาได้ถูกยุคสมัยม้วนพัดให้กระโดดเข้ามาร่วม ขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อโค่นล้ม ระบอบทักษิณ ทั้งๆ ที่ตัวเขาได้ถอนตัวจากวงการ “ยุทธจักร” มาหลายปีแล้ว

จาก หยดน้ำ ณ ใจกลางท้องสมุทร ตัวเขาค่อยๆ รู้สึกว่า ตัวเขากำลังลอยสูงขึ้นๆ กลับขึ้นสู่ผิวน้ำ แสงจากดวงตะวันค่อยๆ ทำให้ตัวเขาซึ่งเป็น หยดน้ำ ค่อยๆ ระเหยกลายเป็นไอน้ำที่ลอยสูงขึ้นๆ จากผิวมหาสมุทร สูงขึ้นไปในอากาศกลายเป็นก้อนเมฆที่เคลื่อนคล้อยอยู่บนท้องฟ้า ก่อนที่ตัวเขาจะค่อยๆ เริ่มรู้สึกหนักขึ้นๆ เพราะกำลังจะกลับกลายมาเป็น หยดน้ำ อีกครั้งหนึ่ง โดยกลับกลายมาเป็น หยาดฝน ที่กำลังตกลงมาจากฟากฟ้า โดยตกลงมาที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลที่ ผองเพื่อนพี่น้องชาวพันธมิตรฯ ของเขากำลังยืนหยัดปักหลักชุมนุมพักค้างอยู่ที่นั่น

นี่เป็นหยาดฝนที่ตกลงมาชะล้างคราบเหงื่อ คราบน้ำตา และคราบเลือดของพวกเขา ให้ความแช่มชื่นแก่พวกเขา ขณะเดียวกันนี่ก็เป็น หยาดฝนที่ตกลงมาชะล้างคราบน้ำลายที่พ่นออกมาจากฝ่ายที่ต่อต้านเกลียดชังพันธมิตรฯ ทั้งด้วยความเข้าใจผิด ความหลงผิด และอคติ จากนั้นหยาดฝนที่ตกลงมากระทบผืนดินก็ค่อยๆ ซึมกลับลงไปในแผ่นดินอีกครั้ง ก่อนที่ หยดน้ำ เหล่านี้จะไหลกลับมารวมกันเป็น “ตัวตน” ของเขาอีกครั้งหนึ่ง ณ ใต้ต้นโพธิ์ต้นนี้ จากนั้นตัวเขาค่อยๆ ลืมตาถอนตัวออกจากสมาธิและจบ พิธีร่วมทุกข์กับแผ่นดิน ของเขาในวันนั้น

คุรุ ของเขาเคยสอนตัวเขาว่า ธรรมะ ควรมีไว้เพื่อกำกับดูแลกิริยาของตนเองให้เป็น นักรบ ที่องอาจ กล้าหาญ โดดเด่น เด็ดเดี่ยว ซื่อตรง มั่นคง และฉลาด โดยต้องเป็นคนที่กล้าทำ กล้าพูด กล้าคิด กล้าเขียน กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง และกล้าปฏิเสธสิ่งที่ผิดพลาด ถึงจะเป็น คนที่มีธรรมะในใจ

เพราะฉะนั้น ตัวเขาจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมผู้คนที่มีธรรมะในใจเป็นจำนวนมากถึงกระโดดเข้าร่วมกับขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการต่อสู้กับระบอบทักษิณอย่างยืนหยัด กล้าหาญได้ถึงเพียงนี้

คุรุ ของเขายังได้สอนตัวเขาอีกว่า จงหมั่นระแวดระวัง ระมัดระวังกิริยาอาการ กาย วาจา ใจของตนให้เป็นผู้ดำรงสติ ตั้งมั่นเฉพาะหน้า มีความสงบและสำรวมอยู่เสมอ นี่คือ การเจริญมหาสติ ให้รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ทุกอิริยาบถทั่วพร้อม ความกลัวแห่งอารมณ์ทั้งปวงก็ไม่ปรากฏ ความคิดยุ่งฟุ้งซ่านรำคาญอึดอัดขัดเคืองก็จะไม่เกิดขึ้น ธรรมะจึงต้องมีเอาไว้กำกับดูแลกาย วาจา ใจของตนให้อยู่กับความสะอาด ขจัดสิ่งชั่วร้ายที่เกิดจากกิริยาอาการ กาย วาจา ใจให้หมดน้อยลงไป

คุรุ จึงสอนพวกลูกศิษย์ของท่านว่า

“ถ้าจะดูใครเป็น คนสะอาด ต้องดูที่ภารกิจงานของเขาว่า ตัวเขาทำเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมเป็นใหญ่หรือไม่ โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ของตน ยอมเสียสละเพื่อผู้อื่นอย่างชนิดไม่คิดว่าจะได้อะไรตอบแทนหรือไม่”

“ถ้าจะดูว่าใครเป็น คนมีสติ มีสมาธิ มีพลังอำนาจก็ต้องดูตอนที่เขาเกิดเรื่องว่า เขาจะสามารถรักษาทรงอารมณ์ของเขาไม่ให้กระเพื่อม ไม่ให้ไหวอ่อนยวบยาบ สามารถตั้งมั่นอยู่ได้เปรียบประดุจดั่งขุนเขาที่ไม่สะทกสะท้านต่อกำลังของแรงลมพัดได้หรือไม่”

“ถ้าจะดูว่า ใครเป็น คนมีปัญญา ก็ต้องดูว่า เขามี ความเข้าใจต่อสรรพสิ่ง สรรพวัตถุ สรรพชีวิตจนกระจ่าง สว่างแจ้ง ถูกต้อง ซื่อตรง ดำรงความจริงได้แค่ไหน”

จากมาตรฐานของ คุรุ ดังข้างต้น ย่อมกล่าวได้อย่างไม่ลังเลใจเลยว่า พี่น้องชาวพันธมิตรฯ ทั้งหลายล้วนเป็นผู้มีธรรมะ เป็นคนสะอาด เป็นคนมีสติ และเป็นคนมีปัญญา ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกเขาเป็นจำนวนมากมารวมตัวกันเป็น ขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงกลายเป็น พลังอันศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถ “กู้ชาติ” และโค่นล้มระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นระบอบการเมืองสามานย์ที่ชั่วร้ายลงได้ อันเป็นการทำสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้จนได้ในที่สุด

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกคน จึงสมควรได้รับการยกย่องชื่นชมจากสังคม และคนรุ่นหลังในฐานะที่พวกเขาเป็นนักรบแห่งสันติ (peaceful warrior) ผู้มี ศานติ ในหัวใจ แต่เป็น นักรบของประชาชน ในสปริติ

นักรบแห่งสันติ ย่อมใช้ร่างกายของพวกเขา ความคิดจิตใจของพวกเขา และจิตวิญญาณของพวกเขา อุทิศให้แก่ชาติบ้านเมืองนี้ตราบจนวันตาย ยิ่งพวกเขากรำศึกนานเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งตระหนักถึงความหมายแห่งการมีชีวิตอยู่ของพวกเขามากยิ่งขึ้นเพียงนั้น ความปีติในชีวิตของเหล่านักรบแห่งสันติ จึงอยู่ที่ การได้มีโอกาสร่วมกันทำงานเพื่อบ้านเมือง

หัวใจของ นักรบแห่งสันติ ย่อมเปิดกว้างเสมอ ขณะที่จิตใจของพวกเขามักสงบนิ่งดุจน้ำบ่อ นักรบแห่งสันติ ย่อมรู้ดีว่า ชีวิตนี้สั้นนัก แต่พวกเขาก็รับรู้ถึงตำแหน่งแห่งที่ของพวกเขาในกระบวนการวิวัฒนาการอันโอฬาร และยิ่งใหญ่ของจักรวาฬ พวกเขาจึงไม่เคยหวั่นไหวต่อชีวิตและความตาย เพราะพวกเขาตระหนักดีว่า พวกเขามาจากไหนและจะไปที่ใด พวกเขาจึงมีหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความเข้าใจ และความเชื่อมั่นที่มีต่อภูมิปัญญาของจักรวาฬ ที่จะนำพาพวกเขาให้เติบโตทางจิตวิญญาณตลอดไปบนเส้นทางของ นักรบแห่งสันติ สายนี้ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงกล้าทำในทุกๆ สิ่งที่พวกเขาปักใจจะกระทำ และสามารถปล่อยวางทุกอย่างที่ได้กระทำลงไปอย่างไม่ยึดติด และอย่างวางใจ

นักรบแห่งสันติ เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ และความรักที่บูรณาผสมผสานกันอย่างลงตัว นักรบแห่งสันติ ย่อมตระหนักดีว่า

ไม่มีหนทางไปสู่ศานติ เพราะ ศานติ คือ หนทางนั้น

ไม่มีหนทางไปสู่ความสุข เพราะ ความสุข คือ หนทางนั้น

ไม่มีหนทางไปสู่ความรัก เพราะ ความรัก คือ หนทางนั้น

ผองเพื่อนพี่น้องชาวพันธมิตรฯ คือ ครอบครัวใหญ่และเป็นครอบครัวทางจิตวิญญาณเดียวกัน เพราะพวกเราคือ ครอบครัวของนักรบแห่งสันติ วิญญาณของเหล่านักรบแห่งสันติ ได้อาสาลงมาเกิดด้วยความเต็มใจ เพื่อผลักดันวิวัฒนาการของจักรวาฬให้รุดหน้าต่อไปจนกว่าวิญญาณทุกๆ ดวงในโลกนี้จะหลุดพ้นจากอวิชชาหรือความไม่รู้ พวกเขาอาสาลงมาที่นี่เพื่อสอน เพื่อแบ่งปันความรู้-ความรักให้แก่กันและกัน เพื่อช่วยกันนำ และเพื่อช่วยกันเยียวยาให้แก่โลกใบนี้ ด้วยการทำตนให้เป็นตัวอย่างและแบบอย่างของวิถีชีวิตที่อยู่ด้วยความกล้าหาญ ความจริง และความรักอย่างลงตัวมีสมดุล

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมีแรงผลักดันภายในที่ตัวพวกเขาเองก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ ที่จะแบ่งปันตัวตนของพวกเขาร่วมกับผองเพื่อนพี่น้องร่วมโลก โดยผ่านการพูด การคิด การเขียน และการกระทำอื่นๆ เท่าที่พวกเขาสามารถจะกระทำได้

เหล่านักรบแห่งสันติ ได้ปรากฏตัวขึ้นในสังคมนี้แล้ว ในฐานะที่เป็น ขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พวกเขาปรากฏตัวขึ้นมาก็เพื่อที่จะรับใช้แผ่นดินเกิด และเพื่อใช้หนี้คืนให้แก่แผ่นดิน พวกเขามุ่งรับใช้แผ่นดินเกิด มิใช่เพราะพวกเขารู้สึกผิดหรือละอายใจ หรือเพราะหวังสิ่งตอบแทนให้แก่ตัวเอง แต่พวกเขายินดีและเต็มใจรับใช้แผ่นดินเกิด เพราะในชีวิตนี้ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาปรารถนา และเต็มใจจะกระทำเท่ากับสิ่งนี้อีกแล้ว

การรับใช้แผ่นดินเกิดได้กลายมาเป็นความสุข ความพึงพอใจในชีวิตของพวกเขา กระทั่งกลายมาเป็นศูนย์กลางแห่งชีวิตของพวกเขา เพราะมีแต่การรับใช้แผ่นดินเกิดเยี่ยงนี้เท่านั้น จึงจะทำให้ เหล่านักรบแห่งสันติ กลายเป็น ตัวหนทาง นั้น โดยไม่ต้องแสวงหา หนทาง อีกต่อไป...

“เขา” ลุกออกจากอาสนะใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ริมคลอง ด้วยจิตใจที่แช่มชื่นและเบิกบาน ฝนหยุดตกแล้ว “เขา” ตระหนักรู้ถึงความสดใสแห่งพลังชีวิตของธรรมชาติรอบตัวอย่างแจ่มชัดยิ่งขึ้นไปอีก ทุกห้วงขณะกลายเป็น “ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ” ของตัวเขาในห้วงยามนั้น นักดนตรีฝึกฝนดนตรี จิตรกรฝึกฝนวาดรูป นักวิชาการฝึกฝนความรู้ แต่ นักรบแห่งสันติที่เป็นโพธิสัตว์ต้องฝึกฝนในทุกๆ สิ่ง! “เขา” ภาวนากับตัวเองในใจว่า

“ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุข

ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงพ้นทุกข์

พระพุทธ เป็น ที่พึ่งอันประเสริฐ ของข้าพเจ้า

พระธรรม เป็น ที่พึ่งอันประเสริฐ ของข้าพเจ้า

พระสงฆ์ เป็น ที่พึ่งอันประเสริฐ ของข้าพเจ้า

เทพเจ้าทั้งหลาย เป็น ผู้ปกป้องอันประเสริฐ ของข้าพเจ้า

พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย เป็น แบบอย่างอันประเสริฐ ของข้าพเจ้า”

จบโพธิสัตตบูรณา

www.suvinai-dragon.com
กำลังโหลดความคิดเห็น