ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – เปิดตัวตน “พันธมิตรฯ สุไหงโก-ลก” อำเภอชายแดนไทย-มาเลเซียจากปลายด้ามขวานทอง เผยคืออีกพลังมวลชนที่เข้มแข็งของมวลชนคนเสื้อเหลือง กับการต่อสู้ด้วยอย่างทุ่มเทและเข้มข้นไปด้วยสายเลือดแห่งความรักและเทิดทูน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งในวันนี้ได้ร้อยใจเป็นหนึ่งเดียว พร้อมประกาศจะเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้กับผองพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจากทั่วประเทศจนกว่าจะเกิดการเมืองใหม่
อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ดินแดนใต้สุดสยามปลายด้ามขวานทอง ติดชายแดนประเทศมาเลเซีย เป็นอีกหนึ่งอำเภอ ที่มีมวลชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเกิดขึ้นอย่างไม่ได้นัดหมาย ต่างคนต่างมีดวงใจเป็นดวงเดียวกัน แล้วก็ได้มารวมตัวกันทำกิจกรรมอย่างแข็งขัน รวมถึงร่วมต่อสู้กับระบอบทักษิณ โดยยกทัพเข้าร่วมชุมนุมกับพี่น้องพันธมิตรฯ จากทั่วประเทศในกรุงเทพมหานคร ยาวนานต่อเนื่องตลอด 193 วันเมื่อปี 2551
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เกิดขึ้นจากสาเหตุเพราะประเทศไทยเราถูกครอบงำทางการเมืองจากระบอบทักษิณ จึงทำให้พี่น้องชาวสุไหงโก-ลก ต้องเดินทางไปร่วมต่อสู้ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ทำเนียบรัฐบาล รวมถึงสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ ทุกคนไปด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ ทั้งสิ้น
สำหรับพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส มีทั้งพี่น้องชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมที่ร่วมกันต่อสู้กับระบบการเมืองเก่าที่แฝงไปด้วยความสามานย์ โดยไม่มีเรื่องผลประโยชน์ใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ทว่าหลายต่อหลายครั้งต้องเป็นฝ่ายควักกระเป๋ารวบรวมสนับสนุนการต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ จากทั่วประเทศอยู่บ่อยครั้ง
ปรากฏการณ์ไล่ “สมชาย” คือจุดเปลี่ยน
“เรามารู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนเสื้อเหลือง ตั้งแต่ได้ติดตามข่าวสารจากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ซึ่งตอนนั้น คนสุไหงโก-ลกไม่รู้จัก คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ว่าเป็นใคร มาจากไหนเสียด้วยซ้ำ เราก็ติดตามไปเรื่อยๆ จนได้รู้เรื่องราวอะไรๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย” นางพูนศรี เอื้อเจริญศรี แม่ค้าผลไม้ในตลาด อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส บอก เล่าให้ฟังด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม หลังทราบว่ากำลังคุยอยู่กับทีมงาน “ASTVผู้จัดการ” จากศูนย์ข่าวหาดใหญ่
“จนมีอยู่ช่วงหนึ่งที่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์หายไปจากหน้าจอโทรทัศน์ ทางช่อง 9 ทำให้ตอนนั้นเราเกิดอาการกระวนกระวายใจมาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่แล้วก็พบช่องทางใหม่คือ ASTV และได้ติดตามเรื่อยมา จนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาจนกระทั่งถึงวันนี้ และก็จะเป็นพันธมิตรฯ ต่อๆ ไปอีกด้วย”
นางพูนศรี เล่าต่ออีกว่า แม่ค้าส่วนใหญ่ในตลาดสุไหงโก-ลกทุกคนเป็นชาวเสื้อเหลือง เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเต็มตัว แต่เมื่อก่อนไม่รู้นะว่าในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลกก็มีพันธมิตรฯ เยอะเหมือนกัน เพราะนับจากมีเหตุการณ์การชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่กรุงเทพฯ ต่างคนต่างช่วยเหลือพันธมิตรฯ ด้วยการส่งของหรือส่งเงินร่วมบริจาค และบางส่วนก็เดินทางไปร่วมกันต่อสู้ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ หรือที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งตนเองก็ไปร่วมบ่อยเหมือนกัน ไปครั้งหนึ่งๆ อยู่ยาวเป็นสัปดาห์
แม้ช่วงแรกจะยังไม่รู้ว่ามวลชนพันธมิตรฯ ในพื้นที่สุไหงโก-ลกมีมากแค่ไหน แต่ต่อมาเมื่อเกิดปรากฏการณ์ไล่รัฐบาลนอมินีและเป็นน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือรัฐบาลที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีช่วงปลายเดือนตุลาคม 2551 มีมวลชนพันธมิตรฯ ในพื้นที่ต่างก็ถือมือตบแล้วออกมารวมตัวกันปิดล้อมหน้าโรงแรมเก็นติ้ง อ.สุไหงโก-ลกนับพันคน จึงทำให้รู้ว่ามวลชนพันธมิตรฯ ในพื้นที่บ้านเรานี้มีมากมายมหาศาล จากที่เคยแอบๆ เป็นพันธมิตรฯ ก็กล้าที่จะยืดอกรับอย่างเต็มตัว เพราะทำให้รู้แล้วว่าชาวสุไหงโก-ลกทั้งอำเภอก็เป็นพันธมิตรฯ เหมือนกับเรา
ตรุษจีนปีนี้สีชมพูเพราะ “เกลียดแดง”
นางพูนศรีกล่าวอีกว่า พันธมิตรฯ ที่สวมเสื้อเหลือกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่สวมเสื้อแดงแตกต่างกันมาก ต่างกันตรงที่พันธมิตรฯ ออกมาไล่รัฐบาลชั่ว แต่พวกกลุ่ม นปช.ออกมาทำร้ายประชาชน ด่าทอ ขว้างปาสิ่งของ คนเสื้อแดงคอยจ้องแต่จะทำร้ายร่างกายคนเสื้อเหลือง
“เราเองเป็นคนไทยเชื้อสายจีน แต่ไหนแต่ไรมาเราต้องชอบใส่เสื้อสีแดงมาก แต่เมื่อถึงช่วงประเพณีตรุษจีนที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้เอง เราเองและครอบครัวไม่ใส่เสื้อสีแดงเลย เลี่ยงไปใส่สีชมพูแทน เพราะรับไม่ได้กับคำว่าแดงทั้งสยาม จนปัจจุบันเสื้อสีแดงจะไม่ซื้อ ที่มีอยู่ก็เก็บเข้าตู้หมด ไม่เอาออกมาใช้อีกเลย” นางพูนศรีกล่าวและเสริมว่า
นอกจากนี้ มีอยู่ช่วงหนึ่งระหว่างการชุมนุมของพี่น้องพันธมิตรฯ ที่กรุงเทพฯ ทีวีที่บ้านจะเปิดช่อง ASTV NEWS 1 แบบตลอด 24 ชั่วโมงเลย พลาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว ต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์ตลอด และได้มีคำสั่งจากไหนไม่รู้ให้ปิดเคเบิลทีวีท้องถิ่น ซึ่งรับสัญญาณถ่ายทอดสดช่อง ASTV NEWS 1 จึงบอกกับเจ้าของเคเบิลว่า หากไม่รับสัญญาณถ่ายทอดสดช่องนี้ก็จะไม่ลงคะแนนเสียงให้
“เนื่องจากเจ้าของเคเบิลขณะนั้นจะลงสมัครชิงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองสุไหงโก-ลก ถ้าเป็นเช่นนั้นรับรองได้ว่าต้องเสียมวลชนแน่นอน เพราะส่วนใหญ่ทุกบ้านที่ติดเคเบิลทีวีเป็นพันธมิตรฯ ทั้งนั้น ซึ่งข้อเรียกร้องของเราก็เป็นผลดีในที่สุด” นางพูนศรีกล่าว
“ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์” คือเป้าหมายร่วม
ในเรื่องของการต่อสู้กับระบอบทักษิณของชาวสุไหงโก-ลกนั้น “ศูนย์ข่าว ASTVผู้จัดการหาดใหญ่” ได้มีโอกาสพูดคุยกับผองพี่น้องพันธมิตรฯ สุไหงโก-ลกอีกหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่เคยไปร่วมชุมนุมกับพี่น้องพันธมิตรฯ จากทั่วประเทศในกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง พบว่า เสียงสะท้อนของผู้ที่ต่างพร้อมใจกันเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายพันธมิตรฯ สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ เพราะเป็นการต่อสู้เพื่อรักษาไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์
นางระรื่น วงศ์ดารารัตน์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อ.สุไหงโก-ลก เล่าด้วยเสียงสะอื้นพร้อมๆ กับมีน้ำตาคลอเบ้าไปตลอดว่า ที่ตนขึ้นไปร่วมต่อสู้กับพี่น้องพันธมิตรฯ จากทั่วประเทศที่กรุงเทพฯ ก็เพราะว่า ตนรักเทิดทูนชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ เพราะจากที่ดูข่าวแล้วมีความรู้สึกว่า เหมือนกับระบอบทักษิณมารังแกประชาชนที่ไม่มีทางต่อสู้ แล้วก็ต้องการที่จะล้มล้างสถาบัน จึงทำให้เรารู้สึกว่าจะอยู่เฉยไม่ได้แล้ว เราจะต้องขึ้นไปเพื่อให้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเราได้อยู่เพื่อลูกเพื่อหลานของเรา
“เราคิดว่าอย่างน้อยก็ได้เข้าไปร่วมให้กำลังใจแก่คนที่ไปร่วมต่อสู้ โดยเฉพาะผู้ที่อาสาไปเป็นการ์ดพันธมิตรฯ ทุกคน หรือทุกคนที่มาช่วยเหลือและร่วมชุมนุม ส่วนตัวเราเองถึงแม้จะช่วยอะไรได้ไม่มาก ก็ขอให้ได้ไปเป็นกำลังใจก็นับว่าดีที่สุดแล้ว ส่วนหนึ่งที่ได้ไปชุมนุมก็เพราะว่า เราเปี่ยมไปด้วยใจรักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์จริงๆ แล้วก็ไม่อยากให้นักการเมืองที่กินบ้านโกงเมืองมาทำให้ประเทศชาติเราต้องล่มจม” นางระรื่นกล่าวและว่า
ส่วนพันธมิตรฯ ใน อ.สุไหงโก-ลกในขณะนี้ เราได้มีการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2552 มีการลงทะเบียนรวบรวมรายชื่อผู้ที่เป็นพันธมิตรฯ เพื่อทำให้เกิดความเหนียวแน่นได้ยิ่งขึ้น และจะได้รู้ว่าพี่น้องพันธมิตรฯ ชาวสุไหงโก-ลกเรามีกันมากขนาดไหน ตอนนี้ก็ยังมีการทยอยมาลงทะเบียนกันเรื่อยๆ และพวกเราจะประสานต่อเรื่องการเมืองภาคประชาชนกันต่อไปเรื่อยๆ เช่นกัน
“เราไม่ใช่ทำกันเพียงแค่ต้องการแค่ให้รู้ว่าจะแพ้ หรือจะชนะเท่านั้น แต่เราจะทำไปจนกว่าจะมีคนที่มารักษาบ้านเมือง มาพัฒนาประเทศชาติให้เป็นไปด้วยความเป็นธรรม หรือได้รัฐบาลที่สามารถดูแลประเทศของเราให้เจริญรุ่งเรื่องได้ พรรคไหนก็แล้วแต่เราจะให้การสนับสนุนหมด แต่ต้องการคนที่ดีจริงๆ มาปกครองบ้านเมืองนะ” นางระรื่นกล่าว
“กูไม่กลัวมึง” เสียงจากการ์ดหญิงโก-ลก
นางละออง ปุ่นอักษรชัย แกนนำพันธมิตรฯ อ.สุไหงโก-ลกอีกคน กล่าวในลักษณะตอบคำถามเกี่ยวกับที่ไปร่วมการต่อสู้กับพันธมิตรฯ ทั่วประเทศเพราะอะไรนั้นว่า ก็เพราะตนรับไม่ได้กับนักการเมืองไม่ดี นายกรัฐมนตรีที่เป็นคนไม่ดี จุดสำคัญคืออยากทำเพื่อพ่อ ที่ไปก็เพื่อพ่อ ถ้าเป็นแค่เรื่องการเมืองยังพอรับได้ แต่เขาลามปามไปถึงพ่อแล้วรับไม่ได้ ก็เลยอยากมีส่วนร่วมในการทำบ้านเมืองให้ดีขึ้น ถึงแม้จะมีแรงแค่น้อยนิด แต่อยากมีส่วนร่วม อยากมีรัฐบาลและนายกฯ ที่ดีๆ ไม่อยากให้นักการเมืองชั่วมาครองเมือง
“ได้ขึ้นไปร่วมต่อสู้หลายครั้ง และได้มีโอกาสไปเป็นการ์ดอาสาด้วย เราก็ไม่กลัวนะ ถ้าถามว่ากลัวมั้ย ขอตอบว่าในพื้นที่สุไหงโก-ลกยังน่ากลัวกว่าอีก อย่าลืมว่าระเบิดนั้น เราเดินในตลาดเราไม่รู้ว่าคนร้ายจะนำมาวางไว้ตรงไหน จุดไหน แต่เราไปอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล เรายังรู้ว่า ศัตรูเราคือใคร คือคนไหน ใครเป็นศัตรูเรา เรายังรู้เป็นตัวตน”
ทั้งนี้น้ำเสียงของนางละออง สอดรับกับเพลง “กูไม่กลัวมึง” ที่แต่งขึ้นโดย แสง ธรรมดา ศิลปินแถวหน้าของภาคใต้ ซึ่งในช่วงหนึ่งของเนื้อร้องมีข้อความที่พูดถึงการต่อสู้ของผองพี่น้องพันธมิตรฯ จากทั่วประเทศไว้ว่า ...กูไม่กลัวมึง ใจถึงก็ลองดู พวกกูนักสู้โว้ย...
“แต่เราอยูที่สุไหงโก-ลก เดินไปไหนเราก็ไม่รู้ว่าระเบิดจะอยู่ในรถคันไหน วางอยู่ตรงไหน อันนั้นยังน่ากลัวกว่าอีก ยังไงเราอยู่สุไหงโก-ลกเรายังไม่ตายเลย แล้วจะไปกลัวอะไรที่กรุงเทพฯ เมื่อเรารู้ว่าศัตรูมีตัวตน เพราะฉะนั้นถ้าถามว่ากลัวมั้ย ตอบได้เลยว่าไม่กลัวค่ะ ถ้ากลัวก็คงจะไม่ไป”
นางละอองกล่าวต่อว่า หน้าที่ตอนที่อาสาไปเป็นการ์ดพันธมิตรฯ ก็ได้ช่วยดูแลตรวจตราเพื่อนพันธมิตรฯ ที่เป็นผู้หญิงเข้า-ออก รวมถึงแล้วแต่ว่าเขาจะให้ทำอะไร เช่น ช่วยยกของ ช่วยทำอะไรได้ก็ช่วยทำได้ทุกอย่าง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราได้ร่วมชุมนุมแล้วกว่า 10 วัน ก็คิดว่าถึงเวลาที่ต้องกลับมาดูธุรกิจที่บ้าน ก็ละล้าละลังไม่กล้าตัดสินใจ ห่วงชาติก็ห่วง หลังจากนั้นเราก็เลยต้องไปๆ กลับๆ อยู่ตลอดมา
“สำหรับตอนนี้ในส่วนของพี่น้องพันธมิตรฯ สุไหงโก-ลกเราก็คิดว่า เรามีความเข้มแข็งในระดับหนึ่งแล้ว มีกิจกรรมอะไรเราก็จะประสานถึงกันหมด ทั้งในส่วนพี่น้องชาวสุไหงโก-ลกเราที่แสดงตัวหรือไม่แสดงตัว มีความร่วมมือกันอย่างดี ด้วยใจต่อใจ และคิดว่าตอนนี้พันธมิตรฯ ในพื้นที่เรามีเยอะมาก เพราะฉะนั้นมั่นใจแล้วว่า พันธมิตรฯ สุไหงโก-ลกเราเข้มแข็ง” นางละอองกล่าว
เชื่อมั่น “การเมืองใหม่” เกิดได้จริง
นางจิตเกษม นิลโชติ เจ้าของร้านโจโจ้เบเกอรี่ แม่ยกพันธมิตรฯ อ.สุไหงโก-ลกรายใหญ่ กล่าวว่า จริงๆ แล้วใน อ.สุไหงโก-ลกมีพี่น้องพันธมิตรฯ เยอะมาก ทุกคนให้ความร่วมมือดี ส่วนใหญ่จะส่งเงินไปช่วยเสียมากกว่า ส่วนตัวเองเมื่อว่างก็ได้ขึ้นไปร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ ด้วย เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2551 ก็ได้ไปร่วมชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง ตอนนั้นยอมที่จะปิดร้านชั่วคราว ไม่ได้คิดถึงว่าเราปิดกิจการไปหลายวันแล้วจะขาดทุนเท่าไร เพราะเมื่อมีโอกาสก็ไปทันทีเลย ส่วนเวลาไม่ได้ไปก็ติดตามข่าวทาง ASTV ตลอด
แม่ยกพันธมิตรฯ สุไหงโก-ลกกล่าวต่อไปว่า ตนติดตามเรื่องการเมืองมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วคิดว่าหากเราจะเปลี่ยนการเมืองใหม่ มันยากมาก แต่ถามว่าทำได้ไหม ถ้าเราทุกคนร่วมมือร่วมใจกันทำได้แน่ เพราะว่าดูแล้วรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยก็ไม่ใช่ทำเพื่อประชาชน เราเข้าใจทุกอย่าง แล้วการที่จะมาเป็นรัฐบาลในรูปแบบการเมืองเก่ามันก็ไม่ง่าย ต่อให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้
“สาเหตุก็เพราะว่า ไม่ว่าทางด้านกฎหมาย หรืออะไรก็ตาม ทุกอย่างมันเป็นไปเหมือนที่เราเรียกร้องอยู่ เป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่เราต้องออกมาเรียกร้อง ทุกอย่างถ้าไม่ยุติธรรมก็ไม่สามารถแก้อะไรได้ ต่อให้มีสิบคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ก็แก้อะไรไม่ได้ นอกจากพวกเราทุกคนต้องร่วมมือกัน เหมือนอย่างคุณแม่อารมณ์ มีชัย บอกว่าขอให้เรารักกัน ขอให้เราช่วยกัน ไม่ใช่ทำแค่นี้แล้วก็จบ” นางจิตเกษม กล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้า ก่อนเพิ่มเติมว่า
ทุกคนก็อยากให้มีการเมืองใหม่ ทุกคนก็รักในหลวง เพราะรู้ว่าพระองค์ท่านลำบาก แต่คนรักชาติมันมีน้อยส่วน ใหญ่รักตัวเองทั้งนั้น ถ้าหากเราจะทำให้มีการเมืองใหม่ก็ต้องร่วมมือกันในรูปแบบของภาคประชาชน ทุกคนต้องอย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ต้องช่วยกันและเห็นแก่ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ถึงตนจะมีส่วนร่วมในการไปปักหลักพักค้างนานๆ ไม่ได้ แต่อย่างที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง บอกว่ามาไม่ได้ก็ร่วมกันส่งปัจจัยมาก็ยังดี เราก็เลยพยายามที่จะหาช่วยพันธมิตรฯ การเมืองใหม่จะเกิดขึ้นได้นั้น เราทุกคนต้องละทิ้งความเห็นแก่ตัว ต้องช่วยกันจริงๆ อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
“ถามว่าทำไมถึงรักในหลวงมาก ก็เพราะเราเกิดที่ อ.สุไหงโก-ลกนี่ โตที่นี่ ในหลวงท่านเสด็จมาตั้งแต่ตนอายุ 12 ขวบ พระองค์ท่านทำเพื่อประชาชนจริงๆ แล้วเราจะไม่ทำเพื่อพระองค์ท่านบ้างเหรอ สำหรับเรานั้นยอมตายอยู่แล้วเพื่อพระองค์ท่าน ทุกคนถามว่าทำไมไม่ย้ายไปอยู่ที่อื่น ก็ถามกลับไปว่า ทำไมเราไม่ช่วยกันล่ะ นี่มันประเทศเรา จะย้ายไปไหนเราต้องอยู่ในประเทศนี้ เราต้องช่วยกัน เรามีพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุดในโลกอยู่แล้ว”
นางจิตเกษมกล่าวด้วยว่า สำหรับตนเอง ประเทศไทยถือว่าดีที่สุดในโลกอยู่แล้ว จริงๆ แล้วภาคการเมืองของเราต่างหากที่มันเสื่อมเสีย ถ้าเราทุกคนช่วยกัน ร่วมมือร่วมใจกันก้าวข้ามให้พ้นระบบการเมืองเก่าๆ แล้วผลักดันให้เกิดการเมืองใหม่ เราเชื่อมั่นว่า ถึงวันหนึ่งมันต้องประสบความสำเร็จแน่นอน ส่วนตัวแล้วตนเองเชื่อมั่นอย่างนั้นจริงๆ
ถึงแม้ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาสจะอยู่ในพื้นที่สีแดง พื้นที่เสี่ยงต่อเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พื้นที่ที่ไฟใต้ยังระอุคุกรุ่นอยู่ แต่ผองพี่น้องพันธมิตรฯ สุไหงโก-ลก กลับไม่ได้หวาดหวั่นกับสิ่งเหล่านั้น พันธมิตรฯ สุไหงโก-ลกเกิดขึ้นได้เพราะทุกคนมีหัวใจเดียวกัน หัวใจที่รักและเทิดทูนชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน และมีแต่จะเพิ่มความเหนียวแน่นให้ทวีคูณมากขึ้น พร้อมที่จะต่อสู้ในทุกรูปแบบเพื่อให้ได้มาซึ่งการเมืองใหม่ เพื่อประชาชนชาวไทยและเพื่อพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย นี่คือเสียงสะท้อนของพี่น้องพันธมิตรฯ จากปลายด้ามขวานทอง