ที่โรงแรมมิราเคลินแกรนด์ วานนี้ (29 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2552 ของพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้ชื่อ เชื่อมั่นประเทศไทย มั่นใจประชาธิปัตย์ ที่ โดยมี ส.ส.สมาชิกพรรค และสาขาพรรคมาร่วมการประชุมกว่า 1 พันคน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้รายงานแผนดำเนินการ และแผนการใช้จ่ายเงินประจำปี 2553 ตามแผนยุทธศาสตร์ 4 ปี ของพรรค ในช่วงปี 2551-2554 โดยระบุว่า เป้าหมายความสำเร็จทางการเมืองของพรรคจะต้องสามารถเอาชนะการเลือกตั้งทั่วไปให้ได้ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 280 คน เพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแล้วนำนโยบาย ของพรรคไปสู่การปฏิบัติ เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรือง โดยจะมีการพัฒนาพรรคให้มั่นคง มีองค์กรสาขาพรรคที่เข้มแข็งกระจายทุกเขตเลือกตั้ง มีสมาชิกพรรคที่ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรคอย่างเหนียวแน่น มีจำนวนสมาชิกมากพอที่จะสนับสนุน การทำงานทางการเมืองของพรรคอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับยุทธศาสตร์สำคัญของพรรคเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย จะมีการขยายฐาน สมาชิกพรรคให้มีจำนวนมากขึ้นทุกเขต หาแนวร่วมทางการเมือง มุ่งเป้าไปยังกลุ่มเป้าหมายกลุ่มต่างๆ ทุกสาขาอาชีพ ปรับปรุงสาขาพรรคให้เข้มแข็งเพื่อรับภาระงานทางการเมืองตั้งสมัชชาประชาชน ในทุกภูมิภาค และในกลุ่มสาขาอาชีพ คัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมส่งสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้บริหารและสามชิกสภาท้องถิ่น ในนามพรรค จัดกลุ่มจังหวัดจะมีประธานและคณะกรรมการร่วมรับผิดชอบ ในการบริหารจัดการ ขึ้นตรงต่อกรรมการบริหารพรรค
เดินหน้าทำสถาบันประชาธิปัตย์ เพื่อให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ทางให้มีคณะกรรมการบริหารเงินทุน ทำหน้าที่รณรงค์ระดมทุนหารายได้เข้าพรรค โดยมีการระดมทุนทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ในรูปแบบประชาธิปัตย์สัญจร ทำ การประชาสัมพันธ์เชิงรุกอย่างเป็นระบบ จัดระบบประชาสัมพันธ์ของพรรค เน้นบทบาท และผลงานของกรรมการบริหารพรรค สมาชิกพรรค นโยบายของพรรค ตามสื่อต่างๆ เตรียมความพร้อมเพื่อการเลือกตั้ง จัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้ง เตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ในการรณรงค์เข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า โดยเฉพาะการเลือกผู้สมัครเลือกตั้งในเขตต่างๆ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวสุนทรพจน์ในระหว่างการประชุมใหญ่สามัญพรรคประชาธิปัตย์ โดยยืนยันว่า การเข้ามาเป็นรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์เป็นไปตามกรอบของรัฐธรรมนูญ และตระหนักดีว่า บ้านเมืองมีวิกฤติ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง จะไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจและประเทศเดินต่อไปได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้ มีทั้งเหมือนและต่างกับวิกฤติในปี 2540 โดยวิกฤติขณะนี้เกิดจากปัจจัยภายนอกประเทศเป็นวิกฤติเศรษฐกิจโลก ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อของต่างประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง ซึ่งไทยจะหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่เราสามารถศึกษา หานโยบายเพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาได้ โดยต้องทำไปพร้อม ๆ กับการแก้ไขปัญหาทางการเมือง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจะแก้วิกฤติทางการเมืองได้ก็คือ การอำนวยความ ยุติธรรม บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และรัฐบาลต้องดำเนินงานตามแนวทาง ประชาธิปไตย จะเห็นได้ว่า 3 เดือนที่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศ ได้วางกฎไว้ 9 ข้อ สำหรับคณะรัฐมนตรี พร้อมกับให้ความสำคัญกับงานของสภาโดยการตอบกระทู้ เดินหน้าพบปะประชาชน
ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจว่า ต้องสร้างแนวทางแก้ปัญหา ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบลุกลามไปทุกภาคส่วนของสังคม และเชื่อเสมอว่าในทุกวิกฤติ ่อมมีโอกาส ดังนั้น จะเดินหน้าเร่งออกมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยในรอบแรกเม็ดเงินได้เริ่มลงถึงมือประชาชนแล้ว ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้นำนโยบาย 99 วันมาใช้ เช่น เรียนฟรี ซึ่งจะเห็นผลในการเปิดภาคการศึกษานี้ การให้เงินค่าตอบแทนต่อ อสม. ที่ผ่านการอบรม การแจกเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จะเห็นได้ว่ารัฐบาลทำได้จริง ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึง 99 วัน
สำหรับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เริ่มเดินไปแล้ว เช่น การแทรกแซงราคาพืชผลที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ดำเนินการไปแล้ว แต่ไม่เพียงพอ รัฐบาลจึงได้เพิ่มงบประมาณและขยายให้ครอบคลุมผลผลิตทางการเกษตรมากขึ้น ล่าสุดการแก้ไขปัญหาการว่างงาน ซึ่งได้เริ่มโครงการต้นกล้าอาชีพ ซึ่งจะทำให้ผู้จบใหม่ หรือไม่มีงานทำ ได้มีโอกาสฝึกฝนอาชีพ รวมทั้งการแจกเช็ค 2,000 บาท ยืนยันว่า เป็นการใช้จ่ายที่จำเป็นและคุ้มค่า ส่วนแนวทางการกู้เงินมากระตุ้นเศรษฐกิจแทน การขึ้นภาษี หรือขายสมบัติของชาติ เช่น รัฐวิสาหกิจนั้นถือเป็นการตัดสินใจที่เกือบ ทุกประเทศเห็นว่า เป็นแนวทางที่ดีสุด
เราได้พิสูจน์แล้วว่า นโยบายที่พูดกับประชาชนทำได้จริง และเดินหน้าได้แล้ว แต่จะสำเร็จไม่ได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเอกชน อยากให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ไปทำความเข้าใจกับประชาชนถึงความตั้งใจของรัฐบาล เพราะได้มีการประเมินกันว่า วิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นขณะนี้หนักที่สุดในรอบ 70 ปี ดังนั้น ต้องอาศัยการชี้แจงทำความเข้าใจและความร่วมมือกับทุกฝ่าย และเราปฏิเสธไม่ได้ว่า มีปัญหาทางการเมืองด้วย แต่เรามั่นใจว่า พรรคประชาธิปัตย์ที่อยู่มาก่อน 60 ปี เผชิญกับปัญหาและรู้ว่าการต่อสู้ทางการเมืองที่ดีที่สุดคือ ยึดความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริต ให้ประชาชนมีส่วนร่วม และยืนยันว่าจะทำงานการเมืองที่สร้างสรรค์เพื่อต่อสู้กับการเมืองในรูปแบบทำลายล้างที่หวังผลประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวก โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสถาบันชาติและความมั่นคง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้รายงานแผนดำเนินการ และแผนการใช้จ่ายเงินประจำปี 2553 ตามแผนยุทธศาสตร์ 4 ปี ของพรรค ในช่วงปี 2551-2554 โดยระบุว่า เป้าหมายความสำเร็จทางการเมืองของพรรคจะต้องสามารถเอาชนะการเลือกตั้งทั่วไปให้ได้ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 280 คน เพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแล้วนำนโยบาย ของพรรคไปสู่การปฏิบัติ เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรือง โดยจะมีการพัฒนาพรรคให้มั่นคง มีองค์กรสาขาพรรคที่เข้มแข็งกระจายทุกเขตเลือกตั้ง มีสมาชิกพรรคที่ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรคอย่างเหนียวแน่น มีจำนวนสมาชิกมากพอที่จะสนับสนุน การทำงานทางการเมืองของพรรคอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับยุทธศาสตร์สำคัญของพรรคเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย จะมีการขยายฐาน สมาชิกพรรคให้มีจำนวนมากขึ้นทุกเขต หาแนวร่วมทางการเมือง มุ่งเป้าไปยังกลุ่มเป้าหมายกลุ่มต่างๆ ทุกสาขาอาชีพ ปรับปรุงสาขาพรรคให้เข้มแข็งเพื่อรับภาระงานทางการเมืองตั้งสมัชชาประชาชน ในทุกภูมิภาค และในกลุ่มสาขาอาชีพ คัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมส่งสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้บริหารและสามชิกสภาท้องถิ่น ในนามพรรค จัดกลุ่มจังหวัดจะมีประธานและคณะกรรมการร่วมรับผิดชอบ ในการบริหารจัดการ ขึ้นตรงต่อกรรมการบริหารพรรค
เดินหน้าทำสถาบันประชาธิปัตย์ เพื่อให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ทางให้มีคณะกรรมการบริหารเงินทุน ทำหน้าที่รณรงค์ระดมทุนหารายได้เข้าพรรค โดยมีการระดมทุนทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ในรูปแบบประชาธิปัตย์สัญจร ทำ การประชาสัมพันธ์เชิงรุกอย่างเป็นระบบ จัดระบบประชาสัมพันธ์ของพรรค เน้นบทบาท และผลงานของกรรมการบริหารพรรค สมาชิกพรรค นโยบายของพรรค ตามสื่อต่างๆ เตรียมความพร้อมเพื่อการเลือกตั้ง จัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้ง เตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ในการรณรงค์เข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า โดยเฉพาะการเลือกผู้สมัครเลือกตั้งในเขตต่างๆ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวสุนทรพจน์ในระหว่างการประชุมใหญ่สามัญพรรคประชาธิปัตย์ โดยยืนยันว่า การเข้ามาเป็นรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์เป็นไปตามกรอบของรัฐธรรมนูญ และตระหนักดีว่า บ้านเมืองมีวิกฤติ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง จะไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจและประเทศเดินต่อไปได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้ มีทั้งเหมือนและต่างกับวิกฤติในปี 2540 โดยวิกฤติขณะนี้เกิดจากปัจจัยภายนอกประเทศเป็นวิกฤติเศรษฐกิจโลก ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อของต่างประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง ซึ่งไทยจะหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่เราสามารถศึกษา หานโยบายเพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาได้ โดยต้องทำไปพร้อม ๆ กับการแก้ไขปัญหาทางการเมือง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจะแก้วิกฤติทางการเมืองได้ก็คือ การอำนวยความ ยุติธรรม บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และรัฐบาลต้องดำเนินงานตามแนวทาง ประชาธิปไตย จะเห็นได้ว่า 3 เดือนที่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศ ได้วางกฎไว้ 9 ข้อ สำหรับคณะรัฐมนตรี พร้อมกับให้ความสำคัญกับงานของสภาโดยการตอบกระทู้ เดินหน้าพบปะประชาชน
ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจว่า ต้องสร้างแนวทางแก้ปัญหา ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบลุกลามไปทุกภาคส่วนของสังคม และเชื่อเสมอว่าในทุกวิกฤติ ่อมมีโอกาส ดังนั้น จะเดินหน้าเร่งออกมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยในรอบแรกเม็ดเงินได้เริ่มลงถึงมือประชาชนแล้ว ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้นำนโยบาย 99 วันมาใช้ เช่น เรียนฟรี ซึ่งจะเห็นผลในการเปิดภาคการศึกษานี้ การให้เงินค่าตอบแทนต่อ อสม. ที่ผ่านการอบรม การแจกเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จะเห็นได้ว่ารัฐบาลทำได้จริง ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึง 99 วัน
สำหรับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เริ่มเดินไปแล้ว เช่น การแทรกแซงราคาพืชผลที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ดำเนินการไปแล้ว แต่ไม่เพียงพอ รัฐบาลจึงได้เพิ่มงบประมาณและขยายให้ครอบคลุมผลผลิตทางการเกษตรมากขึ้น ล่าสุดการแก้ไขปัญหาการว่างงาน ซึ่งได้เริ่มโครงการต้นกล้าอาชีพ ซึ่งจะทำให้ผู้จบใหม่ หรือไม่มีงานทำ ได้มีโอกาสฝึกฝนอาชีพ รวมทั้งการแจกเช็ค 2,000 บาท ยืนยันว่า เป็นการใช้จ่ายที่จำเป็นและคุ้มค่า ส่วนแนวทางการกู้เงินมากระตุ้นเศรษฐกิจแทน การขึ้นภาษี หรือขายสมบัติของชาติ เช่น รัฐวิสาหกิจนั้นถือเป็นการตัดสินใจที่เกือบ ทุกประเทศเห็นว่า เป็นแนวทางที่ดีสุด
เราได้พิสูจน์แล้วว่า นโยบายที่พูดกับประชาชนทำได้จริง และเดินหน้าได้แล้ว แต่จะสำเร็จไม่ได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเอกชน อยากให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ไปทำความเข้าใจกับประชาชนถึงความตั้งใจของรัฐบาล เพราะได้มีการประเมินกันว่า วิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นขณะนี้หนักที่สุดในรอบ 70 ปี ดังนั้น ต้องอาศัยการชี้แจงทำความเข้าใจและความร่วมมือกับทุกฝ่าย และเราปฏิเสธไม่ได้ว่า มีปัญหาทางการเมืองด้วย แต่เรามั่นใจว่า พรรคประชาธิปัตย์ที่อยู่มาก่อน 60 ปี เผชิญกับปัญหาและรู้ว่าการต่อสู้ทางการเมืองที่ดีที่สุดคือ ยึดความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริต ให้ประชาชนมีส่วนร่วม และยืนยันว่าจะทำงานการเมืองที่สร้างสรรค์เพื่อต่อสู้กับการเมืองในรูปแบบทำลายล้างที่หวังผลประโยชน์ของตัวเองและพรรคพวก โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสถาบันชาติและความมั่นคง