ASTVผู้จัดการรายวัน - สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเผยยังไม่มีความจำเป็นที่จะปรับกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดเพดาน 50% แย้มหากปรับก็ไม่เกิน 60% และเป็นการปรับชั่วคราวเท่านั้น
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะปรับกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดไว้ให้การก่อหนี้สาธารณะไม่เกิน 50% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และภาระการชำระหนี้ไม่เกิน 15% ของงบประมาณรายจ่าย เนื่องจากปัจจุบันหนี้สาธารณะยังอยู่ที่ 39.31% ของจีดีพี
อย่างไรก็ตาม หากจะมีการปรับกรอบความยั่งยืนทางการคลัง ก็ไม่ควรที่จะให้การก่อหนี้สาธารณะเกิน 60% ของจีดีพี ซึ่งเป็นระดับเดียวกับหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 แต่หากไม่มีการปรับแล้วปล่อยให้การก่อหนี้เกินเกณฑ์ที่กำหนด ก็เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือสามารถอธิบายเหตุผลให้เข้าใจได้
“กรอบความยั่งยืนเป็นเพียงเกณฑ์ภายในที่เราตั้งขึ้น ไม่จำเป็นต้องแก้กฎหมาย แต่หากจะมีการปรับก็ไม่ควรเกิน 60% และปรับเป็นการชั่วคราว”
นายพงษ์ภาณุกล่าวว่า การปรับกรอบความยั่งยืนทางการคลังไม่ใช่สาระสำคัญ เนื่องจากไม่ใช่กฎหมายแต่เป็นเพียงเกณฑ์การปฏิบัติภายใน อีกทั้งในปัจจุบันรัฐบาลสามารถปรับเปลี่ยนเกณฑ์ได้เพียง 2 ข้อคือ การก่อหนี้สาธารณะ และการชำระหนี้ ขณะที่นโยบายการจัดทำงบประมาณ ในขณะนี้ต้องมีการจัดทำแบบขาดดุลเท่านั้น รวมถึงการจัดสรรงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 25% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอ
สำหรับแนวทางในการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินมาใช้ในกรณีพิเศษนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากต้องรอนโยบายอย่างเป็นทางการของรัฐบาล แต่เบื้องต้นการออก พ.ร.ก.อาจมีส่วนหนึ่งที่ต้องทำไปใช้ในกรอบโครงกรลงทุนโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1.4 ล้านล้านบาท ขณะนี้สบน.อยู่ระหว่างการแก้ไขพ.ร.บ.ร่วมทุนรัฐเอกชน พ.ศ. 2535 เพื่อให้การลงทุนมีความคล่องตัวมากขึ้น ส่วนจะนำเงินกู้ดังกล่าวมาใช้ชดเชยการจัดเก็บรายได้ที่มีคาดการณ์ว่าจะต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 200,000 ล้านบาทหรือไม่นั้น ยังไม่มีความชัดเจน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เหลือช่องทางในการกู้เงินเพื่อนำมาชดเชยในกรณีที่รายได้ต่ำกว่าเป้าได้อีกเพียง 94,000 ล้านบาท
ขณะที่การกู้เงินจากประเทศจีน เพื่อนำมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานนั้น นายพงษ์ภาณุกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ เนื่องจากติดเรื่องเงื่อนไขการกู้เงินที่กำหนดว่าหากผิดการชำระหนี้ จะยึดทรัพย์สินรัฐบาล รวมถึงจะต้องใช้วัสดุจากจีนในการก่อสร้างด้วย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยได้ยื่นความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวไปแล้วว่าไม่เห็นด้วย.
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะปรับกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดไว้ให้การก่อหนี้สาธารณะไม่เกิน 50% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และภาระการชำระหนี้ไม่เกิน 15% ของงบประมาณรายจ่าย เนื่องจากปัจจุบันหนี้สาธารณะยังอยู่ที่ 39.31% ของจีดีพี
อย่างไรก็ตาม หากจะมีการปรับกรอบความยั่งยืนทางการคลัง ก็ไม่ควรที่จะให้การก่อหนี้สาธารณะเกิน 60% ของจีดีพี ซึ่งเป็นระดับเดียวกับหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 แต่หากไม่มีการปรับแล้วปล่อยให้การก่อหนี้เกินเกณฑ์ที่กำหนด ก็เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือสามารถอธิบายเหตุผลให้เข้าใจได้
“กรอบความยั่งยืนเป็นเพียงเกณฑ์ภายในที่เราตั้งขึ้น ไม่จำเป็นต้องแก้กฎหมาย แต่หากจะมีการปรับก็ไม่ควรเกิน 60% และปรับเป็นการชั่วคราว”
นายพงษ์ภาณุกล่าวว่า การปรับกรอบความยั่งยืนทางการคลังไม่ใช่สาระสำคัญ เนื่องจากไม่ใช่กฎหมายแต่เป็นเพียงเกณฑ์การปฏิบัติภายใน อีกทั้งในปัจจุบันรัฐบาลสามารถปรับเปลี่ยนเกณฑ์ได้เพียง 2 ข้อคือ การก่อหนี้สาธารณะ และการชำระหนี้ ขณะที่นโยบายการจัดทำงบประมาณ ในขณะนี้ต้องมีการจัดทำแบบขาดดุลเท่านั้น รวมถึงการจัดสรรงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 25% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอ
สำหรับแนวทางในการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินมาใช้ในกรณีพิเศษนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากต้องรอนโยบายอย่างเป็นทางการของรัฐบาล แต่เบื้องต้นการออก พ.ร.ก.อาจมีส่วนหนึ่งที่ต้องทำไปใช้ในกรอบโครงกรลงทุนโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1.4 ล้านล้านบาท ขณะนี้สบน.อยู่ระหว่างการแก้ไขพ.ร.บ.ร่วมทุนรัฐเอกชน พ.ศ. 2535 เพื่อให้การลงทุนมีความคล่องตัวมากขึ้น ส่วนจะนำเงินกู้ดังกล่าวมาใช้ชดเชยการจัดเก็บรายได้ที่มีคาดการณ์ว่าจะต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 200,000 ล้านบาทหรือไม่นั้น ยังไม่มีความชัดเจน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เหลือช่องทางในการกู้เงินเพื่อนำมาชดเชยในกรณีที่รายได้ต่ำกว่าเป้าได้อีกเพียง 94,000 ล้านบาท
ขณะที่การกู้เงินจากประเทศจีน เพื่อนำมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานนั้น นายพงษ์ภาณุกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ เนื่องจากติดเรื่องเงื่อนไขการกู้เงินที่กำหนดว่าหากผิดการชำระหนี้ จะยึดทรัพย์สินรัฐบาล รวมถึงจะต้องใช้วัสดุจากจีนในการก่อสร้างด้วย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยได้ยื่นความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวไปแล้วว่าไม่เห็นด้วย.
