ASTVผู้จัดการรายวัน - พอร์ตลงทุนปี 2551 กระทรวงการคลังอ่วม เผยมูลค่าหลักทรัพย์ที่ถืออยู่หายไป 2.5 แสนล้าน คิดเป็นลดลง 50% โดยเฉพาะหุ้นบริษัทใหญ่อย่างการบินไทย (THAI) ทอท. (AOT) และ ปตท. (PTT) สคร.ลั่นยังไม่ได้ขาดทุนเพราะไม่มีการขายหุ้นออกไป นักวิเคราะห์คาดราคาหุ้น THAI ยังดิ่งต่อเพราะแนวโน้มปี 52 ยังขาดทุน
แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงส่งผลให้การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างๆ ของกระทรวงการคลัง ซึ่งมีทั้งบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทนอกตลาดและบริษัทเอกชนที่ได้มาจากการยึดทรัพย์ มีมูลค่าลดลงตามบัญชี ซึ่งรวมแล้วว่าร้อยบริษัทซึ่งเดิมมีสินทรัพย์รวมกว่า 5 แสนล้านบาท ขณะนี้มูลค่าลดลงกว่าครึ่งหรือเหลือประมาณ 2.5 แสนล้านบาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การลดลงของมูลค่าหลักทรัพย์นั้นเป็นการลดลงตามมูลค่าบัญชีเท่านั้นและไม่ถือว่ากระทรวงการคลังขาดทุนเพราะที่ผ่านมาไม่มีการขายหุ้นออกไป และส่วนใหญ่จะมีกฎหมายกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นไว้ชัดเจนเพื่อคงความเป็นรัฐวิสาหกิจ เช่น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 51% บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) (AOT) สัดส่วน 70% บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) (PTT) บริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) (MCOT) บริษัท วิทยุการบิน จำกัด เป็นต้น
“ผลจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาแน่นอนว่าทำให้มูลค่าหุ้นที่กระทรวงการคลังลดลงด้วย โดยเฉพาะราคาหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ อย่าง บมจ.การบินไทย และบมจ.ปตท. ซึ่งเป็นผลมาจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลงอย่างมากจาก 800 จุดลงมาเหลือ 400 กว่าจุด จึงไม่แปลกที่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จะประสบผลขาดทุนจากการลงทุนในตลาดหุ้นเช่นเดียวกันกับนักลงทุนรายอื่นๆ” แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ ราคาหุ้นที่กระทรวงการคลังถือแล้วลดลงมากที่สุดคือการบินไทย โดบต้นปี 2551 ราคาอยู่ที่หุ้นละ 39.25 บาท พอสิ้นปีราคาลดลงเหลือเพียง 7.75 บาท ลดลง 80.25% (ดูตาราง...ตัวอย่างราคาหุ้นกระทรวงการคลัง...ประกอบข่าว) แล้วบ้างและบางแห่งยังดำเนินกิจการอยู่
ทั้งนี้ หากรัฐมนตรีคลังมีนโยบายให้สำรวจหลักทรัพย์ที่กระทรวงการคลังถืออยู่เพื่อนำมาแปลงให้เป็นรายได้เข้ารัฐบาลก็สามารถทำได้ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้มีนโยบายลงมา โดยหากจะขายหุ้นที่ถืออยู่ออกไปอาจเป็นในส่วนของบริษัทที่อยู่นอกตลาดและบริษัทเล็กน้อยๆ แต่อาจจะได้เงินเข้ามาไม่มากนักหลักล้านบาทเท่านั้น ขณะที่บริษัทใหญ่ๆ ในตลาดเห็นว่าเป็นช่วงเวลาไม่เหมาะสมที่จะขายหุ้นออกไป
ในส่วนของกรมบัญชีกลางปัจจุบันได้ถือหุ้นในบริษัทเอกชนเพียง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เท่านั้น เป็นจำนวน 8,400 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท โดยที่มาจากการยึดทรัพย์ตั้งแต่ปี 2526 ตามมติคณะรัฐมนตรี ปัจจุบันมีมูลค่าหุ้นละ 10 บาท ผลประโยชน์ที่ได้รับเป็นเงินปันผลซึ่งได้นำส่งเป็นรายได้แผ่นดินอย่างต่อเนื่องทุกปี
นักวิเคราะห์มองว่า ราคาหุ้นของการบินไทยมีราคาลดต่ำกว่ามากจาก ราคากว่า 30 บาทต่อหุ้น เหลือประมาณ 7.65 บาท เนื่องจากเป็นหุ้นมีปัจจัยเสี่ยงทั้งจากภายนอกและภายใน สำหรับนักลงทุนเก่าที่มีหุ้นอยู่ในมือจึงควรรอดูแผนฟื้นฟูกิจการอย่างละเอียด เพราะหากแผนฟื้นฟูฯเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้และรายละเอียดของแผนครอบคลุมการแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้ตามจริงข้างต้นก็มีโอกาสที่จะทำให้หุ้นการบินไทยมีราคาสูงขึ้นและทำกำไรได้ในระยาว อย่างไรก็ตามคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในปี 2552 จะยังประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง นอกจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวแล้วความเชื่อมั่นที่ลดลงของต่างชาติที่มีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แม้ว่าราคาเชื้อเพลิงจะลดลง เชื่อว่าการบินไทยจะมีผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 1 ปี
สำหรับการถือหุ้นบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์นั้นส่วนใหญ่มีสัดส่วนการถือหุ้นไม่มากนัก บางแห่งมีเพียง 1% โดยเฉพาะบริษัทที่ได้มาจากการยึดทรัพย์ตั้งแต่ปี 2516 ซึ่งถึงปัจจุบันก็มีปิดกิจการไป
แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงส่งผลให้การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างๆ ของกระทรวงการคลัง ซึ่งมีทั้งบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทนอกตลาดและบริษัทเอกชนที่ได้มาจากการยึดทรัพย์ มีมูลค่าลดลงตามบัญชี ซึ่งรวมแล้วว่าร้อยบริษัทซึ่งเดิมมีสินทรัพย์รวมกว่า 5 แสนล้านบาท ขณะนี้มูลค่าลดลงกว่าครึ่งหรือเหลือประมาณ 2.5 แสนล้านบาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การลดลงของมูลค่าหลักทรัพย์นั้นเป็นการลดลงตามมูลค่าบัญชีเท่านั้นและไม่ถือว่ากระทรวงการคลังขาดทุนเพราะที่ผ่านมาไม่มีการขายหุ้นออกไป และส่วนใหญ่จะมีกฎหมายกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นไว้ชัดเจนเพื่อคงความเป็นรัฐวิสาหกิจ เช่น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 51% บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) (AOT) สัดส่วน 70% บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) (PTT) บริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) (MCOT) บริษัท วิทยุการบิน จำกัด เป็นต้น
“ผลจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาแน่นอนว่าทำให้มูลค่าหุ้นที่กระทรวงการคลังลดลงด้วย โดยเฉพาะราคาหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ อย่าง บมจ.การบินไทย และบมจ.ปตท. ซึ่งเป็นผลมาจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลงอย่างมากจาก 800 จุดลงมาเหลือ 400 กว่าจุด จึงไม่แปลกที่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จะประสบผลขาดทุนจากการลงทุนในตลาดหุ้นเช่นเดียวกันกับนักลงทุนรายอื่นๆ” แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ ราคาหุ้นที่กระทรวงการคลังถือแล้วลดลงมากที่สุดคือการบินไทย โดบต้นปี 2551 ราคาอยู่ที่หุ้นละ 39.25 บาท พอสิ้นปีราคาลดลงเหลือเพียง 7.75 บาท ลดลง 80.25% (ดูตาราง...ตัวอย่างราคาหุ้นกระทรวงการคลัง...ประกอบข่าว) แล้วบ้างและบางแห่งยังดำเนินกิจการอยู่
ทั้งนี้ หากรัฐมนตรีคลังมีนโยบายให้สำรวจหลักทรัพย์ที่กระทรวงการคลังถืออยู่เพื่อนำมาแปลงให้เป็นรายได้เข้ารัฐบาลก็สามารถทำได้ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้มีนโยบายลงมา โดยหากจะขายหุ้นที่ถืออยู่ออกไปอาจเป็นในส่วนของบริษัทที่อยู่นอกตลาดและบริษัทเล็กน้อยๆ แต่อาจจะได้เงินเข้ามาไม่มากนักหลักล้านบาทเท่านั้น ขณะที่บริษัทใหญ่ๆ ในตลาดเห็นว่าเป็นช่วงเวลาไม่เหมาะสมที่จะขายหุ้นออกไป
ในส่วนของกรมบัญชีกลางปัจจุบันได้ถือหุ้นในบริษัทเอกชนเพียง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เท่านั้น เป็นจำนวน 8,400 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท โดยที่มาจากการยึดทรัพย์ตั้งแต่ปี 2526 ตามมติคณะรัฐมนตรี ปัจจุบันมีมูลค่าหุ้นละ 10 บาท ผลประโยชน์ที่ได้รับเป็นเงินปันผลซึ่งได้นำส่งเป็นรายได้แผ่นดินอย่างต่อเนื่องทุกปี
นักวิเคราะห์มองว่า ราคาหุ้นของการบินไทยมีราคาลดต่ำกว่ามากจาก ราคากว่า 30 บาทต่อหุ้น เหลือประมาณ 7.65 บาท เนื่องจากเป็นหุ้นมีปัจจัยเสี่ยงทั้งจากภายนอกและภายใน สำหรับนักลงทุนเก่าที่มีหุ้นอยู่ในมือจึงควรรอดูแผนฟื้นฟูกิจการอย่างละเอียด เพราะหากแผนฟื้นฟูฯเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้และรายละเอียดของแผนครอบคลุมการแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้ตามจริงข้างต้นก็มีโอกาสที่จะทำให้หุ้นการบินไทยมีราคาสูงขึ้นและทำกำไรได้ในระยาว อย่างไรก็ตามคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในปี 2552 จะยังประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง นอกจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวแล้วความเชื่อมั่นที่ลดลงของต่างชาติที่มีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แม้ว่าราคาเชื้อเพลิงจะลดลง เชื่อว่าการบินไทยจะมีผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 1 ปี
สำหรับการถือหุ้นบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์นั้นส่วนใหญ่มีสัดส่วนการถือหุ้นไม่มากนัก บางแห่งมีเพียง 1% โดยเฉพาะบริษัทที่ได้มาจากการยึดทรัพย์ตั้งแต่ปี 2516 ซึ่งถึงปัจจุบันก็มีปิดกิจการไป