“บินไทย” ตีปีกรับลูก “ซาเล้ง” เร่งกระจายข่าว บอร์ดยืนยันการย้ายเที่ยวบินทั้งหมดออกจากดอนเมือง ไปสุวรรณภูมิ 29 มี.ค.นี้ แน่นอน เพราะได้เตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว แต่กลับไม่มีข้อมูลการประชาพิจารณ์ฟังเสียงสังคม ทั้งที่เป็นสายการบินแห่งชาติ โดยก่อนหน้านี้ ครม.ได้เสนอแนะให้ฟังเสียงประชาชน และชั่งน้ำหนักผลกระทบอื่นๆ อย่างรอบด้าน เพราะเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศ ที่สำคัญ ควรให้ผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาตัดสินใจ เพื่อความเหมาะสม
มีรายงานข่าวว่า บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ได้เผยแพร่ข่าวกับสื่อมวลชนเกี่ยวกับความคืบหน้าในการย้ายบริการทั้งหมดไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตามแผนแผนยุทธศาสตร์การเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค (Single Airport) ของ นายศรีสุข จันทรางศุ ประธานคณะกรรมการฟื้นฟูโครงข่ายขนส่งทางอากาศเพื่อให้เป็นศูนย์กลางการบินและการท่องเที่ยวในภูมิภาค
รายงานข่าวจากการบินไทย ที่เผยแพร่ในสื่อมวลชน ได้แจ้งยืนยันการย้ายเที่ยวบินเส้นทางบินภายในประเทศจากท่าอากาศยานดอนเมือง ไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในวันที่ 29 มีนาคม 2552 นี้ แน่นอน ตามตารางการบินภาคฤดูร้อนที่ได้ประกาศออกไปล่วงหน้าแล้ว
การบินไทย ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ได้พิจารณาทบทวนเกี่ยวกับการย้ายเที่ยวบินภายในประเทศจากท่าอากาศยานดอนเมืองไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยได้คำนึงถึงประโยชน์ของผู้โดยสาร ความพร้อมในด้านสิ่งอำนวยความสะดวก และความพร้อมของพนักงานที่ให้บริการแล้วเล็งเห็นว่า การย้ายเที่ยวบินภายในประเทศของการบินไทยทั้งหมดมาอยู่สนามบินเดียวกัน จะทำให้บริษัทเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการเที่ยวบิน และการหมุนเวียนการใช้เครื่องบินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทจะสามารถเพิ่มความถี่ของเที่ยวบิน หรือเปลี่ยนขนาดของเครื่องบินให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้โดยสาร ซึ่งจะส่งผลดีให้แก่ผู้โดยสารในการเดินทางได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ ผู้โดยสารสามารถเลือกเดินทางตามตารางการบินที่ต้องการได้หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะในการเชื่อมต่อเที่ยวบินไปยังจังหวัดต่างๆ ซึ่งเป็นจุดบินภายในประเทศหรือเดินทางเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศ
นอกจากนี้ การบินไทย ในฐานะสายการบินแห่งชาติ ได้ตระหนักถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่จะฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทยในขณะนี้ ดังนั้น การย้ายเที่ยวบินเส้นทางบินภายในประเทศมายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงเป็นการส่งเสริม และสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย อันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างศักยภาพด้านเครือข่ายการบินให้แก่ประเทศอีกด้วย
นอกจากนี้ การบินไทย ยังอ้างว่า ได้มีการวางแผนเตรียมความพร้อมในการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ เพื่อรองรับการให้บริการแก่ผู้โดยสารที่จะมาใช้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้วยการเพิ่มเคาน์เตอร์เช็คอินสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางภายในประเทศ จากเดิมมี เคาน์เตอร์เช็กอินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 12 เคาน์เตอร์ และที่ท่าอากาศยานดอนเมือง 12 เคาน์เตอร์ เพิ่มขึ้นเป็น 36 เคาน์เตอร์ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ,
พร้อมกันนี้ การบินไทย ยังได้เพิ่มบริการเช็คอินด้วยตนเอง (e-Check-In) พร้อมมีจุดรับกระเป๋าสัมภาระสำหรับผู้โดยสารที่มาใช้บริการ e- Check-In ขยายพื้นที่ห้องรับรองพิเศษ (Lounge) จากเดิมมีพื้นที่ 650 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นอีก 284 ตารางเมตร เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารภายในประเทศ จัดรถไฟฟ้าไว้สำหรับบริการผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษภายในสนามบิน จัดเจ้าหน้าที่บริการภาคพื้นเพิ่มขึ้น เพื่อคอยดูแลอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารที่เดินทางภายในประเทศในทุกจุดบริการ
นอกจากนี้ ยังได้ประสานกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT จัดเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ทั้งในส่วนของการให้บริการผู้โดยสาร และการจัดพื้นที่รองรับการปฏิบัติงานของพนักงานที่ย้ายมาจากท่าอากาศยานดอนเมืองให้เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
โดยการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ ที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2552 ได้พิจารณาปัญหาการย้ายบริการของการบินไทยไปสนามบินสุวรรณภูมิได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการตัดสินใจของการบินไทยที่จะย้ายบริการทั้งหมดไปสนามบินสุวรรณภูมิ โดยระบุว่า การตัดสินใจครั้งนี้ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบาย Single Airport ขณะที่การบินไทย อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างการบริหาร ที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนผู้บริหารในเดือนเมษายน 2552 นี้ ดังนั้น ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ได้ให้ความเห็นแนะนำว่า ควรให้ผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาตัดสินใจในเรื่องนี้ เพื่อความเหมาะสม