ASTVผู้จัดการรายวัน- “โสภณ”ตั้งคณะทำงานรวบรวมข้อมูลข้อดี ข้อเสีย สนามบินเดียว (Single Airport) คาดได้ข้อสรุปใน 2 สัปดาห์ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี พร้อมมอบทอท. จัดลำดับความสำคัญพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ เน้นสร้างเฉพาะรันเวย์ที่ 3 ก่อน ส่วนการลงทุนเฟส 2 เลิกพูด เหตุต้องลงทุนสูง ปัดฝุ่นทำแผนพัฒนาสนามบินภูมิภาค 26 แห่งใหม่ หวังแก้ขาดทุน การบินไทยยันต้องย้ายดอนเมืองกลับสุวรรณภูมิ 29 มี.ค.นี้ แจงผลดีรายได้เพิ่มอีก 5%
นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมติดตามการดำเนินงานด้านการขนส่งทางอากาศวานนี้ (16 มี.ค.) ว่า กระทรวงคมนาคมจึงได้ตั้งคณะทำงานขึ้นอีกชุด เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการกำหนดนโยบายของรัฐบาลเรื่องการใช้สนามบินเดียว (Single Airport) โดยมีนายสุรชัย ธารสิทธิ์พงษ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งข้อดี ข้อเสีย ก่อนประมวลผลเสนอรัฐบาล กำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีต้องการ
“ต้องการให้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค (ฮับ) พร้อมกับต้องเร่งแก้วิกฤติของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และการใช้ท่าอากาศยานดอนเมืองให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วย จึงต้องรวบรวมข้อมูลที่ครอบคลุมทุกด้านเสนอรัฐบาลเพื่อใช้กำหนดนโยบายในอนาคต”นายโสภณกล่าว
ส่วนโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 ต้องการให้เลิกพูดถึงสุวรรณภูมิเฟส 2 เพราะพูดถึงคนจะมองที่เรื่องการลงทุนมาก เนื่องจากต้องใช้เงิน 7-8 หมื่นล้านบาท จึงมอบหมายให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท.ปรับแผนใหม่ โดยจัดลำดับความสำคัญของงานที่เร่งด่วนมาดำเนินการก่อน ซึ่งพบว่า การก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 (รันเวย์ที่ 3) ควรจะเร่งดำเนินการ เพราะจะรองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินที่ต้องปิดรันเวย์ที่มีอยู่ ซ่อมแซม จะได้ไม่กระทบต่อการให้บริการ
นายโสภณกล่าวว่า ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้ สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และกรมการขนส่งทางอากาศ (ขอ.) วางกรอบศึกษาการใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานภูมิภาคของขอ.ทั้ง 26 แห่ง เนื่องจากปัจจุบัน ท่าอากาศยานภูมิภาคของ ขอ. ประสบปัญหาการขาดทุน และภาครัฐต้องอุดหนุนงบประมาณ จึงต้องหาแนวทางในการบริหารที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะต้องมีการศึกษาข้อมูลใหม่ เนื่องจากผลศึกษาเดิมตั้งแต่ปี 2542 เป็นข้อมูลที่ล้าสมัยไม่ทันกับเหตุการณ์แล้ว
ขณะเดียวกัน ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนป้องกันสำหรับกรณีเกิดการปิดล้อมท่าอากาศยาน เช่น ทอท. ,บริษัทการบินไทย บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และขอ. รวมถึงจะเสนอรัฐบาลของบประมาณอุดหนุนกรณีที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมได้ใช้งบปกติในการให้บริการเพื่อแก้ปัญหาช่วงปิดสนามบินเป็นเงินประมาณ 600 ล้านบาท
พลอากาศเอกณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สำนักเลขานุการ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การบินไทยยืนยันย้ายเที่ยวบินทั้งหมดจากท่าอากาศยานดอนเมืองไปท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในวันที่ 29 มี.ค.2552 ตามแผน ซึ่งขณะนี้ได้แจ้งตารางบินใหม่กับผู้โดยสารแล้ว แต่หากครม.เศรษฐกิจมีความเห็นที่จะให้การบินไทยแก้ไขหรือปรับปรุงแผนดังกล่าว การบินไทยก็ยินดีที่จะปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ส่วนกรณีที่รัฐบาลต้องการให้มีสนามบินสำรอง หากไม่สามารถทำการบินที่สุวรรณภูมิได้นั้น สนามบินใกล้เคียง ที่สามารถลงจอดและทำการบินได้ทันที มี 2 แห่ง คือ ที่ดอนเมืองและอู่ตะเภา
“ตามแผนการย้ายในวันที่ 29 มี.ค.นั้น โดยเฉพาะการย้ายอุปกรณ์ของการบินไทยไม่ใช่เรื่องใหญ่ เนื่องจากมีประสบการณ์ในการย้ายสนามบินก่อนหน้านี้ ประกอบกับอุปกรณ์ภาคพื้นส่วนใหญ่อยู่ที่สุวรรณภูมิอยู่แล้ว และยืนยันว่าการย้ายไปสุวรรณภูมิ จะทำให้รายได้ของการบินไทยเพิ่มขึ้น เพราะผู้โดยสารต่อเครื่องได้ง่าย รวมกับแผนฟื้นฟูอื่นๆ จะสามารถเพิ่มรายได้อีก 5% ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ทำ และจะเสนอกระทรวงคมนาคมก่อนเสนอครม.ต่อไป”พลอากาศเอกณรงค์ศักดิ์กล่าว
ส่วนการสรรหากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี ) นั้นขณะนี้ คณะกรรมการสรรหากำลังพิจารณาคุณสมบัติ คาดว่าอีก 2 สัปดาห์จะสรุปได้ เพื่อเสนอบอร์ดบริษัทและผู้ถือหุ้นในการประชุมวันที่ 22 เม.ย. 2552 นี้
พลอากาศเอกณรงค์ศักดิ์กล่าวว่า จากการที่ครัวการบินไทยได้รับรางวัลเกียรติยศ”ครัวการบินระดับโลก” ส่งผลให้มีลูกค้าที่สนใจจะเข้าใช้บริการทางด้านครัวการบินไทยเพิ่มขึ้นอีก 2-3 ราย จากปัจจุบันมีมีสายการบินที่ใช้บริการอยู่แล้วกว่า 50 สายการบิน ส่วนของรายได้จากครัวการบินไทยปัจจุบันอยู่ที่ 7,000 ล้านบาทต่อปี
นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการจัดระเบียบการจราจรในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะกรรมการ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหา ประกอบด้วยทอท. เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ราชาเทวะ และเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการตำรวจปราบปราม ให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ โดยเบื้องต้นจะสำรวจ จากการร้องเรียนของประชาชนว่า เกิดอะไรบ้าง
นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมติดตามการดำเนินงานด้านการขนส่งทางอากาศวานนี้ (16 มี.ค.) ว่า กระทรวงคมนาคมจึงได้ตั้งคณะทำงานขึ้นอีกชุด เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการกำหนดนโยบายของรัฐบาลเรื่องการใช้สนามบินเดียว (Single Airport) โดยมีนายสุรชัย ธารสิทธิ์พงษ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งข้อดี ข้อเสีย ก่อนประมวลผลเสนอรัฐบาล กำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีต้องการ
“ต้องการให้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค (ฮับ) พร้อมกับต้องเร่งแก้วิกฤติของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และการใช้ท่าอากาศยานดอนเมืองให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วย จึงต้องรวบรวมข้อมูลที่ครอบคลุมทุกด้านเสนอรัฐบาลเพื่อใช้กำหนดนโยบายในอนาคต”นายโสภณกล่าว
ส่วนโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 ต้องการให้เลิกพูดถึงสุวรรณภูมิเฟส 2 เพราะพูดถึงคนจะมองที่เรื่องการลงทุนมาก เนื่องจากต้องใช้เงิน 7-8 หมื่นล้านบาท จึงมอบหมายให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท.ปรับแผนใหม่ โดยจัดลำดับความสำคัญของงานที่เร่งด่วนมาดำเนินการก่อน ซึ่งพบว่า การก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 (รันเวย์ที่ 3) ควรจะเร่งดำเนินการ เพราะจะรองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินที่ต้องปิดรันเวย์ที่มีอยู่ ซ่อมแซม จะได้ไม่กระทบต่อการให้บริการ
นายโสภณกล่าวว่า ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้ สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และกรมการขนส่งทางอากาศ (ขอ.) วางกรอบศึกษาการใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานภูมิภาคของขอ.ทั้ง 26 แห่ง เนื่องจากปัจจุบัน ท่าอากาศยานภูมิภาคของ ขอ. ประสบปัญหาการขาดทุน และภาครัฐต้องอุดหนุนงบประมาณ จึงต้องหาแนวทางในการบริหารที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะต้องมีการศึกษาข้อมูลใหม่ เนื่องจากผลศึกษาเดิมตั้งแต่ปี 2542 เป็นข้อมูลที่ล้าสมัยไม่ทันกับเหตุการณ์แล้ว
ขณะเดียวกัน ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนป้องกันสำหรับกรณีเกิดการปิดล้อมท่าอากาศยาน เช่น ทอท. ,บริษัทการบินไทย บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และขอ. รวมถึงจะเสนอรัฐบาลของบประมาณอุดหนุนกรณีที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมได้ใช้งบปกติในการให้บริการเพื่อแก้ปัญหาช่วงปิดสนามบินเป็นเงินประมาณ 600 ล้านบาท
พลอากาศเอกณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สำนักเลขานุการ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การบินไทยยืนยันย้ายเที่ยวบินทั้งหมดจากท่าอากาศยานดอนเมืองไปท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในวันที่ 29 มี.ค.2552 ตามแผน ซึ่งขณะนี้ได้แจ้งตารางบินใหม่กับผู้โดยสารแล้ว แต่หากครม.เศรษฐกิจมีความเห็นที่จะให้การบินไทยแก้ไขหรือปรับปรุงแผนดังกล่าว การบินไทยก็ยินดีที่จะปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ส่วนกรณีที่รัฐบาลต้องการให้มีสนามบินสำรอง หากไม่สามารถทำการบินที่สุวรรณภูมิได้นั้น สนามบินใกล้เคียง ที่สามารถลงจอดและทำการบินได้ทันที มี 2 แห่ง คือ ที่ดอนเมืองและอู่ตะเภา
“ตามแผนการย้ายในวันที่ 29 มี.ค.นั้น โดยเฉพาะการย้ายอุปกรณ์ของการบินไทยไม่ใช่เรื่องใหญ่ เนื่องจากมีประสบการณ์ในการย้ายสนามบินก่อนหน้านี้ ประกอบกับอุปกรณ์ภาคพื้นส่วนใหญ่อยู่ที่สุวรรณภูมิอยู่แล้ว และยืนยันว่าการย้ายไปสุวรรณภูมิ จะทำให้รายได้ของการบินไทยเพิ่มขึ้น เพราะผู้โดยสารต่อเครื่องได้ง่าย รวมกับแผนฟื้นฟูอื่นๆ จะสามารถเพิ่มรายได้อีก 5% ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ทำ และจะเสนอกระทรวงคมนาคมก่อนเสนอครม.ต่อไป”พลอากาศเอกณรงค์ศักดิ์กล่าว
ส่วนการสรรหากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี ) นั้นขณะนี้ คณะกรรมการสรรหากำลังพิจารณาคุณสมบัติ คาดว่าอีก 2 สัปดาห์จะสรุปได้ เพื่อเสนอบอร์ดบริษัทและผู้ถือหุ้นในการประชุมวันที่ 22 เม.ย. 2552 นี้
พลอากาศเอกณรงค์ศักดิ์กล่าวว่า จากการที่ครัวการบินไทยได้รับรางวัลเกียรติยศ”ครัวการบินระดับโลก” ส่งผลให้มีลูกค้าที่สนใจจะเข้าใช้บริการทางด้านครัวการบินไทยเพิ่มขึ้นอีก 2-3 ราย จากปัจจุบันมีมีสายการบินที่ใช้บริการอยู่แล้วกว่า 50 สายการบิน ส่วนของรายได้จากครัวการบินไทยปัจจุบันอยู่ที่ 7,000 ล้านบาทต่อปี
นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการจัดระเบียบการจราจรในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะกรรมการ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหา ประกอบด้วยทอท. เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ราชาเทวะ และเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการตำรวจปราบปราม ให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ โดยเบื้องต้นจะสำรวจ จากการร้องเรียนของประชาชนว่า เกิดอะไรบ้าง
