ในที่สุดเรื่องราวที่น่าสลดใจกรณี 7 ตุลาฯ ที่นองเลือดก็เดินมาถึงจุดจบในขั้นตอนที่ทางคณะ ป.ป.ช.หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่สอบหาเหตุและได้ทำการไต่สวนคดีที่เจ้าพนักงานและตำรวจรวมทั้งนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ได้ใช้อำนาจสั่งให้ใช้อาวุธร้ายแรงทำร้ายประชาชนที่ชุมนุมโดยสงบหน้ารัฐสภา โดยเหตุเกิดเมื่อ 7 ต.ค.2551
เหตุการณ์ที่ว่านี้มีคนตายและผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง
หลังเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องได้ร่วมกันป้ายสีโดยบิดเบือนข้อเท็จจริง รวมทั้งโกหกชนิดที่แม้มีหลักฐานจับได้ก็ยังหน้าด้านยืนยันความเท็จ
บุคคลที่ ป.ป.ช.เห็นว่ามีความผิดและต้องถูกลงโทษตามกรรมที่ก่อประกอบไปด้วย อดีตนายกฯ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในขณะมีอำนาจและได้ใช้อำนาจอยู่ขณะนั้น นายสมชายเป็นคนสั่งประชุมครม.นัดพิเศษ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้หาทางเปิดสภาให้จงได้ทุกวิถีทาง (แม้ต้องใช้ความรุนแรง)
อดีตนายกฯ สมชายได้มอบภารกิจนี้ให้กับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งเป็นรองนายกฯ เวลานั้นสั่งการตามสมควร แต่มีอำนาจเต็มแทนตน
ขณะที่เข้าสลายการชุมนุมที่ดำเนินอยู่อย่างสงบนั้น มีการใช้อาวุธร้ายแรง รวมทั้งปาระเบิดทำให้ผู้คนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก
นายกรัฐมนตรี จึงเป็นจำเลยต้องคดีคนแรกที่ทำผิดทางอาญา
คนต่อมาก็คือบิ๊กจิ๋ว ในฐานะผู้รับมอบอำนาจสั่งใช้ระเบิดแก๊สน้ำตายิงใส่เข้าไปในที่ชุมนุม แม้จะลาออกไป แต่ก็มีส่วนต้องรับผิดด้วย
ส่วน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ผิดทางวินัย เพราะว่าแม้จะมอบงานให้ลูกน้องไปปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม แต่ตนเองเป็นคนลงนามเองแต่งตั้งลูกน้องก็ต้องรับผิดชอบโดยตรง
พล.ต.อ.พัชรวาท มีความผิดทางวินัย
พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร.มอบงานให้ตำรวจจาก ผบ.ชน.ไปปฏิบัติงาน แต่ก็รับนโยบายมาแถมควบคุมการสลายม็อบด้วยมีความผิดทางวินัยเช่นกัน
คนต่อมาก็ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบ.ชน.ในเวลานั้นเป็นผู้บัญชาการ โดยใช้แผนที่เรียกว่ากรกฎ 48 อยู่คุมสถานการณ์ที่เกิดการปะทะกันแต่ไม่หยุดยั้งเหตุการณ์จนบานปลาย
ความผิดนี้ส่งความเสียหายและผิดทั้งทางวินัยและโดนคดีอาญาไปพร้อมกัน
พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รอง ผบ.ชน.ผิดทั้งวินัยและอาญา
พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา ผิดทั้งวินัยและอาญา
นี่คือนายตำรวจที่โดนโทษ มีนายตำรวจบางคนพ้นผิดเพราะว่าติดงานศพบิดา
ปลายเดือนนี้บุคคลทั้งหมดก็จะต้องรับทราบข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าเหตุการณ์จะล่วงเลยมานาน
แต่ พล.ต.อ.พัชรวาทยังระเบิดอารมณ์และกล้าดีออกมาบอกสื่อมวลชนว่าทางตำรวจนั้นปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง และถูกกฎหมายด้วย อีกทั้งผู้ใต้บังคับบัญชานั้นก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบายและคำสั่ง
เขากล้าพูดเต็มปากว่า “ตำรวจเจตนาดี”
แต่เป็นเจตนาที่คนตายและบาดเจ็บนี่หรือ “ดี” มันชั่วมากกว่า
สำนึกของคนทำร้ายประชาชนแบบนี้ไม่มีเกียรติพอที่จะร้องเพลงมาร์ชกรมตำรวจที่ว่า “เกียรติตำรวจไทย เกียรติวินัยกล้าหาญมั่นคง” แต่ประการใด
พล.ต.อ.พัชรวาท นั้นรีบออกตัวโดยเร็วเกี่ยวกับตำแหน่งที่เขาเป็น ผบ.ตร.อยู่ โดยพูดว่าเขาจะยังคงเป็น ผบ.ตร.ต่อไป ไม่มีวันลาออกแน่
ครับ...ไร้ศักดิ์ศรี, ไร้เกียรติยศไปหมดแล้ว
อยู่ไปให้เกิดความอัปยศถึงชาติตระกูลเปล่าๆ
แน่นอนว่าทางพันธมิตรฯ นั้น ใช่ว่าจะพอใจเสียไปหมด เพราะเห็นว่านายตำรวจบางคนควรโดนคดีด้วย
สุริยใส กตะศิลา ระบุว่าไม่ใช่แค่นายเท่านั้นยังมีนายตำรวจอีกหลายคนเกี่ยวพันด้วย ถึงไม่อยู่ในเหตุการณ์ก็เถอะ เพราะว่ามีบทบาทสนับสนุนนโยบายนี้
บางคนยังบังอาจเอาตำแหน่งหน้าที่ให้ร้ายผู้ตายโดยกล่าวเท็จด้วยการบิดเบือน และปั้นเรื่องขึ้นมาโดยไม่ให้เกียรติกับผู้ตาย
อย่าง พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ซึ่งไม่ผิด เพราะไปงานศพพ่อ ไม่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ก็ยังมาให้สัมภาษณ์ว่าคนตายหรือคนเจ็บไม่ได้โดนแก๊สน้ำตา
แถมยังใส่ความอย่างไร้มารยาทหรือให้ร้ายแบบโกหกเพื่อป้ายสีต่อศพน้องโบว์โดยบอกว่าน้องโบว์พกระเบิดมาเอง
นอกจากผู้พูดซึ่งเป็นถึงนายตำรวจและไม่อยู่ในที่เกิดเหตุมีพฤติกรรมให้ร้ายผู้หญิงชัดเจนอันเป็นวิธี “หน้าตัวเมีย” เช่นนี้
แค่นี้ก็ควรต้องลงโทษอย่างสาสมแล้ว
ทางพันธมิตรฯ เห็นว่าเรื่องนี้จะต้องดำเนินการต่อ
เพราะแม้ ป.ป.ช.จะชี้มูลอย่างนี้
แต่พันธมิตรฯ ก็คงต้องไปฟ้องศาลเอาเอง
ความยุติธรรมควรสิ้นสุดที่ศาล และจะต้องเอาผิดตั้งแต่นายตำรวจระดับ ผบ.ตร.ไปจนถึงผู้ปฏิบัติการที่มีหลายคน เฉพาะอย่างยิ่งไอ้พวกขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาและพวกไล่ทุบตี ไล่กระทืบประชาชน
คนพวกนี้ปล่อยไว้ได้อย่างไร
ควรถูกประจานให้หมด
พันธมิตรฯ นั้นมีทั้งหลักฐานและมีพยานมากพอที่จะลากคอผู้ที่กระทำผิดขึ้นศาลเพื่อรับโทษ
แน่นอนว่านี่หาใช่การล้างแค้น
แต่เป็นการหาความยุติธรรมให้กับผู้ที่เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสในวันนั้น
ครับ... ผมต้องบันทึกชื่อนายตำรวจ, เล่าเหตุการณ์ซ้ำอีก
ก็เพื่อให้เป็นเอกสารหรือข้อเขียนอีกชิ้นหนึ่งที่จะมาตอกย้ำความยุติธรรมใช่ว่าจะเกิดขึ้นเอง
แต่เราต้องดิ้นรนหาให้ได้
เพื่อให้ฆาตกรเผยโฉมออกมา!
เหตุการณ์ที่ว่านี้มีคนตายและผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง
หลังเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องได้ร่วมกันป้ายสีโดยบิดเบือนข้อเท็จจริง รวมทั้งโกหกชนิดที่แม้มีหลักฐานจับได้ก็ยังหน้าด้านยืนยันความเท็จ
บุคคลที่ ป.ป.ช.เห็นว่ามีความผิดและต้องถูกลงโทษตามกรรมที่ก่อประกอบไปด้วย อดีตนายกฯ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในขณะมีอำนาจและได้ใช้อำนาจอยู่ขณะนั้น นายสมชายเป็นคนสั่งประชุมครม.นัดพิเศษ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้หาทางเปิดสภาให้จงได้ทุกวิถีทาง (แม้ต้องใช้ความรุนแรง)
อดีตนายกฯ สมชายได้มอบภารกิจนี้ให้กับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งเป็นรองนายกฯ เวลานั้นสั่งการตามสมควร แต่มีอำนาจเต็มแทนตน
ขณะที่เข้าสลายการชุมนุมที่ดำเนินอยู่อย่างสงบนั้น มีการใช้อาวุธร้ายแรง รวมทั้งปาระเบิดทำให้ผู้คนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก
นายกรัฐมนตรี จึงเป็นจำเลยต้องคดีคนแรกที่ทำผิดทางอาญา
คนต่อมาก็คือบิ๊กจิ๋ว ในฐานะผู้รับมอบอำนาจสั่งใช้ระเบิดแก๊สน้ำตายิงใส่เข้าไปในที่ชุมนุม แม้จะลาออกไป แต่ก็มีส่วนต้องรับผิดด้วย
ส่วน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ผิดทางวินัย เพราะว่าแม้จะมอบงานให้ลูกน้องไปปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม แต่ตนเองเป็นคนลงนามเองแต่งตั้งลูกน้องก็ต้องรับผิดชอบโดยตรง
พล.ต.อ.พัชรวาท มีความผิดทางวินัย
พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร.มอบงานให้ตำรวจจาก ผบ.ชน.ไปปฏิบัติงาน แต่ก็รับนโยบายมาแถมควบคุมการสลายม็อบด้วยมีความผิดทางวินัยเช่นกัน
คนต่อมาก็ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบ.ชน.ในเวลานั้นเป็นผู้บัญชาการ โดยใช้แผนที่เรียกว่ากรกฎ 48 อยู่คุมสถานการณ์ที่เกิดการปะทะกันแต่ไม่หยุดยั้งเหตุการณ์จนบานปลาย
ความผิดนี้ส่งความเสียหายและผิดทั้งทางวินัยและโดนคดีอาญาไปพร้อมกัน
พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รอง ผบ.ชน.ผิดทั้งวินัยและอาญา
พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา ผิดทั้งวินัยและอาญา
นี่คือนายตำรวจที่โดนโทษ มีนายตำรวจบางคนพ้นผิดเพราะว่าติดงานศพบิดา
ปลายเดือนนี้บุคคลทั้งหมดก็จะต้องรับทราบข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าเหตุการณ์จะล่วงเลยมานาน
แต่ พล.ต.อ.พัชรวาทยังระเบิดอารมณ์และกล้าดีออกมาบอกสื่อมวลชนว่าทางตำรวจนั้นปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง และถูกกฎหมายด้วย อีกทั้งผู้ใต้บังคับบัญชานั้นก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบายและคำสั่ง
เขากล้าพูดเต็มปากว่า “ตำรวจเจตนาดี”
แต่เป็นเจตนาที่คนตายและบาดเจ็บนี่หรือ “ดี” มันชั่วมากกว่า
สำนึกของคนทำร้ายประชาชนแบบนี้ไม่มีเกียรติพอที่จะร้องเพลงมาร์ชกรมตำรวจที่ว่า “เกียรติตำรวจไทย เกียรติวินัยกล้าหาญมั่นคง” แต่ประการใด
พล.ต.อ.พัชรวาท นั้นรีบออกตัวโดยเร็วเกี่ยวกับตำแหน่งที่เขาเป็น ผบ.ตร.อยู่ โดยพูดว่าเขาจะยังคงเป็น ผบ.ตร.ต่อไป ไม่มีวันลาออกแน่
ครับ...ไร้ศักดิ์ศรี, ไร้เกียรติยศไปหมดแล้ว
อยู่ไปให้เกิดความอัปยศถึงชาติตระกูลเปล่าๆ
แน่นอนว่าทางพันธมิตรฯ นั้น ใช่ว่าจะพอใจเสียไปหมด เพราะเห็นว่านายตำรวจบางคนควรโดนคดีด้วย
สุริยใส กตะศิลา ระบุว่าไม่ใช่แค่นายเท่านั้นยังมีนายตำรวจอีกหลายคนเกี่ยวพันด้วย ถึงไม่อยู่ในเหตุการณ์ก็เถอะ เพราะว่ามีบทบาทสนับสนุนนโยบายนี้
บางคนยังบังอาจเอาตำแหน่งหน้าที่ให้ร้ายผู้ตายโดยกล่าวเท็จด้วยการบิดเบือน และปั้นเรื่องขึ้นมาโดยไม่ให้เกียรติกับผู้ตาย
อย่าง พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ซึ่งไม่ผิด เพราะไปงานศพพ่อ ไม่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ก็ยังมาให้สัมภาษณ์ว่าคนตายหรือคนเจ็บไม่ได้โดนแก๊สน้ำตา
แถมยังใส่ความอย่างไร้มารยาทหรือให้ร้ายแบบโกหกเพื่อป้ายสีต่อศพน้องโบว์โดยบอกว่าน้องโบว์พกระเบิดมาเอง
นอกจากผู้พูดซึ่งเป็นถึงนายตำรวจและไม่อยู่ในที่เกิดเหตุมีพฤติกรรมให้ร้ายผู้หญิงชัดเจนอันเป็นวิธี “หน้าตัวเมีย” เช่นนี้
แค่นี้ก็ควรต้องลงโทษอย่างสาสมแล้ว
ทางพันธมิตรฯ เห็นว่าเรื่องนี้จะต้องดำเนินการต่อ
เพราะแม้ ป.ป.ช.จะชี้มูลอย่างนี้
แต่พันธมิตรฯ ก็คงต้องไปฟ้องศาลเอาเอง
ความยุติธรรมควรสิ้นสุดที่ศาล และจะต้องเอาผิดตั้งแต่นายตำรวจระดับ ผบ.ตร.ไปจนถึงผู้ปฏิบัติการที่มีหลายคน เฉพาะอย่างยิ่งไอ้พวกขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาและพวกไล่ทุบตี ไล่กระทืบประชาชน
คนพวกนี้ปล่อยไว้ได้อย่างไร
ควรถูกประจานให้หมด
พันธมิตรฯ นั้นมีทั้งหลักฐานและมีพยานมากพอที่จะลากคอผู้ที่กระทำผิดขึ้นศาลเพื่อรับโทษ
แน่นอนว่านี่หาใช่การล้างแค้น
แต่เป็นการหาความยุติธรรมให้กับผู้ที่เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสในวันนั้น
ครับ... ผมต้องบันทึกชื่อนายตำรวจ, เล่าเหตุการณ์ซ้ำอีก
ก็เพื่อให้เป็นเอกสารหรือข้อเขียนอีกชิ้นหนึ่งที่จะมาตอกย้ำความยุติธรรมใช่ว่าจะเกิดขึ้นเอง
แต่เราต้องดิ้นรนหาให้ได้
เพื่อให้ฆาตกรเผยโฉมออกมา!