ภาพอนุสาวรีย์ตำรวจที่กำลังอุ้มเด็ก จารึกคำว่า“ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”ซึ่งยืนตระหง่านอยู่ตรงลานกลาง กองบัญชาการตำรวจนครบาล มาถึงวันนี้ภาพนั้นเลือนหายไป ภายหลังเหตุการณ์ที่ตำรวจตัดสินใจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่า เสียงปืน เสียงคำรามของระเบิดแก๊สน้ำตาจะสงบลงแล้ว แต่ภาพความสูญเสีย ความเสียหายยังคงฝังลึกลงในจิตใจของประชาชนผู้รักประชาธิปไตย และเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างยากที่จะลบเลือน
จนถึงวันนี้ก็ยังไร้วี่แววที่จะได้จะเห็นการแสดงสปิริตความรับผิดชอบจาก นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งเปิดไฟเขียวให้ตำรวจเปิดปฏิบัติการนองเลือดครั้งนี้ ขณะที่ในส่วนของตำรวจ ผู้ซึ่งไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไร หลับหูหลับตาปฏิบัติตามคำสั่งของฝ่ายการเมือง โดยปราศจากมโนสำนึก หรือแม้กระทั่งความรู้จักผิดชอบชั่วดี ฉะนั้น การที่จะได้เห็นการแสดงความรับผิดชอบของตำรวจจึงเป็นไปได้ยาก
อย่าว่าแต่แสดงความรับผิดชอบเลย แม้แต่คำขอโทษ หรือคำว่าเสียใจสักคำ ก็ยังไม่เคยหลุดออกจากปากของตำรวจ ซ้ำร้ายวันรุ่งขึ้น พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษก ตร.ยังออกมาแถลงข่าวอย่างหน้าชื่นตาบาน ในทำนองว่า “เหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น เป็นฝีมือของมือที่ 3 ” มิหนำซ้ำยังกล่าวหากลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเลื่อนลอยว่าพกระเบิดปิงปองมาชุมนุมจนเกิดระเบิดขึ้น ซึ่งจากถ้อยแถลงดังกล่าวเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า ตำรวจไทยนอกจากจะไร้ซึ่งจิตสำนึกความรับผิดชอบแล้ว ยังชอบปัดสวะให้พ้นตัว โยนบาปให้คนอื่น
ที่น่าสลดใจ คือ รองโฆษก ตร.ผู้นี้ยังกล่าวหาว่า น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้องโบว์ ที่ต้องจบชีวิต ก่อนวัยอันควร จากเหตุความรุนแรงครั้งนี้ ว่า “สำหรับหญิงสาวที่เสียชีวิตนั้นทราบว่าซี่โครงหักทุกซี่ แขนฉีกขาดลักษณะเหมือนหนีบอะไรสักอย่างที่ระเบิดได้ ซึ่งไม่ใช่เครื่องมือที่ตำรวจใช้ เพราะแผลเบิร์นมากกว่าแก๊สน้ำตาที่ใช้” ซึ่งจากคำพูดของ พล.ต.ต.สุรพล ดังกล่าว ถือว่าเป็นการไม่เกียรติ และกล่าวหาคนตายอย่างหน้าอาย เพราะรู้ทั้งรู้ ว่าคนตายไปแล้วไม่มีโอกาสมาแก้ต่างให้ตัวเองได้ ส่อให้เห็นระดับจิตใจของนายพลผู้นี้ว่าเป็นอย่างไร
หากย้อนไปมอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในยามนี้ บรรยากาศโดยทั่วไป เรียกว่า “อึมครึม” บรรดาบิ๊กสีกากีได้แต่เก็บตัวเงียบ ไล่ตั้งแต่ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ข่าววงในแว่วว่าขณะนี้ก็เริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เกาะเก้าอี้แน่น เพราะแม้ว่าหลังเกิดเหตุ นายกรัฐมนตรีจะออกมาให้สัมภาษณ์ในทำนองว่าการใช้แก็สน้ำตาของตำรวจนั้นเหมาะสมแล้ว แต่เมื่อพิจารณากระแสสังคมในยามนี้ ที่ต้องการให้มีผู้รับผิดชอบกับเหตุความรุนแรงที่เกิด ฉะนั้น เพื่อกลบกระแสสังคมดังกล่าว เชื่อเถอะว่าตำแหน่ง ผบ.ตร.นี่แหละที่อาจจะถูกติดสปริงไปในไม่ช้านี้
ขณะที่ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ว่าเหตุเล็กเหตุน้อย นายพลหน้าขาวผู้นี้มักออกมาสร้างภาพเฉิดฉายโผล่ผ่านสื่อ แต่คราวนี้กลับเก็บตัวเงียบ ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าเรื่องแบบนี้ มีแต่เข้าตัว สอดคล้องกับอุปนิสัยของ พล.ต.อ.จงรัก ซึ่งเป็นนายตำรวจที่โดดเด่นในเรื่องความ(ไม่)รับผิด แต่รับชอบ
ท่าทีของ พล.ต.อ.จงรัก ผิดกับก่อนหน้านี้ที่พยายามเข้ามามีส่วนร่วมกับการดูแลม็อบ เริ่มจากอาสามารักษาการในตำแหน่ง ผบช.น. ซึ่งทั้งหมดที่ทำ เพื่ออะไร จะเอาใจใคร ไม่บอกก็พอเดากันได้ แต่เมื่อเหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนี้ พล.ต.อ.จงรัก จึงจำเป็นต้องใส่เกียร์ถอย แต่เชื่อเถอะ ไม่ว่าท่านจะพยายามเก็บตัวเงียบเชียบขนาดไหน แต่ประชาชนเขารู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร และใครบ้างที่อยู่ในข่ายที่จะถูกเช็คบิล
หลังเหตุการณ์แม้จะมีความพยายามจากนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ และบรรดา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เดินหน้าร้องขอความเป็นธรรมแก่ผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ โดยยื่นหนังสือถึง ผบ.ตร. เรียกร้องให้ตำรวจสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิด โดยได้กล่าวโทษนายสมชาย ฐานสั่งการให้ตำรวจใช้กำลังและอาวุธทำร้ายประชาชน ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 84, 157, 295, 297, 288 และ 289 หากพบว่ามีมูลต้องส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการทันที
แม้จะเชื่ออย่างลึกๆ ว่าคงไม่ได้เค้าลางอะไร เพราะอย่างที่รู้กันว่า ผู้ที่สั่งการเรื่องนี้คือใคร และใครเป็นผู้ที่ลงมือเข่นฆ่าทำร้ายประชาชนอย่างโหดเหี้ยม การที่จะหวังให้ตำรวจจับนายกรัฐมนตรี หรือตำรวจจับตำรวจนั้นคงเป็นไปได้ยาก แต่อย่างน้อยหากมองในมุมกลับก็ถือเป็นการให้ตำรวจไถ่บาป ขณะเดียวกันยังเป็นการ “วัดใจ” พล.ต.อ.พัชรวาท อีกครั้งว่าจะยืนเคียงข้างใคร...?
ถึงแม้ว่า เสียงปืน เสียงคำรามของระเบิดแก๊สน้ำตาจะสงบลงแล้ว แต่ภาพความสูญเสีย ความเสียหายยังคงฝังลึกลงในจิตใจของประชาชนผู้รักประชาธิปไตย และเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างยากที่จะลบเลือน
จนถึงวันนี้ก็ยังไร้วี่แววที่จะได้จะเห็นการแสดงสปิริตความรับผิดชอบจาก นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งเปิดไฟเขียวให้ตำรวจเปิดปฏิบัติการนองเลือดครั้งนี้ ขณะที่ในส่วนของตำรวจ ผู้ซึ่งไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไร หลับหูหลับตาปฏิบัติตามคำสั่งของฝ่ายการเมือง โดยปราศจากมโนสำนึก หรือแม้กระทั่งความรู้จักผิดชอบชั่วดี ฉะนั้น การที่จะได้เห็นการแสดงความรับผิดชอบของตำรวจจึงเป็นไปได้ยาก
อย่าว่าแต่แสดงความรับผิดชอบเลย แม้แต่คำขอโทษ หรือคำว่าเสียใจสักคำ ก็ยังไม่เคยหลุดออกจากปากของตำรวจ ซ้ำร้ายวันรุ่งขึ้น พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษก ตร.ยังออกมาแถลงข่าวอย่างหน้าชื่นตาบาน ในทำนองว่า “เหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น เป็นฝีมือของมือที่ 3 ” มิหนำซ้ำยังกล่าวหากลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเลื่อนลอยว่าพกระเบิดปิงปองมาชุมนุมจนเกิดระเบิดขึ้น ซึ่งจากถ้อยแถลงดังกล่าวเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า ตำรวจไทยนอกจากจะไร้ซึ่งจิตสำนึกความรับผิดชอบแล้ว ยังชอบปัดสวะให้พ้นตัว โยนบาปให้คนอื่น
ที่น่าสลดใจ คือ รองโฆษก ตร.ผู้นี้ยังกล่าวหาว่า น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้องโบว์ ที่ต้องจบชีวิต ก่อนวัยอันควร จากเหตุความรุนแรงครั้งนี้ ว่า “สำหรับหญิงสาวที่เสียชีวิตนั้นทราบว่าซี่โครงหักทุกซี่ แขนฉีกขาดลักษณะเหมือนหนีบอะไรสักอย่างที่ระเบิดได้ ซึ่งไม่ใช่เครื่องมือที่ตำรวจใช้ เพราะแผลเบิร์นมากกว่าแก๊สน้ำตาที่ใช้” ซึ่งจากคำพูดของ พล.ต.ต.สุรพล ดังกล่าว ถือว่าเป็นการไม่เกียรติ และกล่าวหาคนตายอย่างหน้าอาย เพราะรู้ทั้งรู้ ว่าคนตายไปแล้วไม่มีโอกาสมาแก้ต่างให้ตัวเองได้ ส่อให้เห็นระดับจิตใจของนายพลผู้นี้ว่าเป็นอย่างไร
หากย้อนไปมอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในยามนี้ บรรยากาศโดยทั่วไป เรียกว่า “อึมครึม” บรรดาบิ๊กสีกากีได้แต่เก็บตัวเงียบ ไล่ตั้งแต่ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ข่าววงในแว่วว่าขณะนี้ก็เริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เกาะเก้าอี้แน่น เพราะแม้ว่าหลังเกิดเหตุ นายกรัฐมนตรีจะออกมาให้สัมภาษณ์ในทำนองว่าการใช้แก็สน้ำตาของตำรวจนั้นเหมาะสมแล้ว แต่เมื่อพิจารณากระแสสังคมในยามนี้ ที่ต้องการให้มีผู้รับผิดชอบกับเหตุความรุนแรงที่เกิด ฉะนั้น เพื่อกลบกระแสสังคมดังกล่าว เชื่อเถอะว่าตำแหน่ง ผบ.ตร.นี่แหละที่อาจจะถูกติดสปริงไปในไม่ช้านี้
ขณะที่ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ว่าเหตุเล็กเหตุน้อย นายพลหน้าขาวผู้นี้มักออกมาสร้างภาพเฉิดฉายโผล่ผ่านสื่อ แต่คราวนี้กลับเก็บตัวเงียบ ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าเรื่องแบบนี้ มีแต่เข้าตัว สอดคล้องกับอุปนิสัยของ พล.ต.อ.จงรัก ซึ่งเป็นนายตำรวจที่โดดเด่นในเรื่องความ(ไม่)รับผิด แต่รับชอบ
ท่าทีของ พล.ต.อ.จงรัก ผิดกับก่อนหน้านี้ที่พยายามเข้ามามีส่วนร่วมกับการดูแลม็อบ เริ่มจากอาสามารักษาการในตำแหน่ง ผบช.น. ซึ่งทั้งหมดที่ทำ เพื่ออะไร จะเอาใจใคร ไม่บอกก็พอเดากันได้ แต่เมื่อเหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนี้ พล.ต.อ.จงรัก จึงจำเป็นต้องใส่เกียร์ถอย แต่เชื่อเถอะ ไม่ว่าท่านจะพยายามเก็บตัวเงียบเชียบขนาดไหน แต่ประชาชนเขารู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร และใครบ้างที่อยู่ในข่ายที่จะถูกเช็คบิล
หลังเหตุการณ์แม้จะมีความพยายามจากนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ และบรรดา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เดินหน้าร้องขอความเป็นธรรมแก่ผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ โดยยื่นหนังสือถึง ผบ.ตร. เรียกร้องให้ตำรวจสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิด โดยได้กล่าวโทษนายสมชาย ฐานสั่งการให้ตำรวจใช้กำลังและอาวุธทำร้ายประชาชน ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 84, 157, 295, 297, 288 และ 289 หากพบว่ามีมูลต้องส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการทันที
แม้จะเชื่ออย่างลึกๆ ว่าคงไม่ได้เค้าลางอะไร เพราะอย่างที่รู้กันว่า ผู้ที่สั่งการเรื่องนี้คือใคร และใครเป็นผู้ที่ลงมือเข่นฆ่าทำร้ายประชาชนอย่างโหดเหี้ยม การที่จะหวังให้ตำรวจจับนายกรัฐมนตรี หรือตำรวจจับตำรวจนั้นคงเป็นไปได้ยาก แต่อย่างน้อยหากมองในมุมกลับก็ถือเป็นการให้ตำรวจไถ่บาป ขณะเดียวกันยังเป็นการ “วัดใจ” พล.ต.อ.พัชรวาท อีกครั้งว่าจะยืนเคียงข้างใคร...?