“สนธิ” เฉ่ง “พัชรวาท” รับใช้การเมืองจนละเลยความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ระบุ นำเรื่องการเมืองมากลั่นแกล้งจับกุม 9 แกนนำพันธมิตรฯ ทั้งที่ผู้ที่เป็นกบฏล้มล้างรัฐธรรมนูญ คือ รัฐบาลพรรคพลังประชาชน ขณะเดียวกัน ยังเลือกปฏิบัติไม่ยอมดำเนินการตามกฎหมายกับกลุ่มกุ๊ยการเมือง ระบุการเมืองใหม่ต้องรื้อโครงสร้างตำรวจครั้งใหญ่
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ปราศรัย
วันนี้ (15 ก.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่หน้าทำเนียบรัฐบาล โดยได้ตั้งคำถามไปถึง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่า ยังเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อยู่หรือเปล่า หรือยังมีความเป็นธรรมในหัวใจอยู่หรือเปล่า หรือเป็นแค่รับใช้นักการเมืองเท่านั้น
นายสนธิ กล่าวว่า การตั้งข้อหา 9 แกนนำพันธมิตรฯ ในข้อหากบฏ ถือว่าไม่สมเหตุสมผล รัฐบาลต่างหากที่น่าจะเป้นกบฏ โดยยกตัวอย่างรัฐธรรมนูญมาตรา 163 ที่ฝ่ายรัฐบาลมีเจตนาล้มล้างรัฐธรรมนูญ มีการออกมติคณะรัฐมนตรีขายอธิปไตยกรณีปราสาทพระวิหาร ใครกันแน่ที่เป็นกบฏ พร้อมทั้งเปรียบเทียบกรณีของ นายขวัญชัย ไพรพนา ที่นำม็อบคนอุดรฯ มีการปลุกระดมให้มาฆ่าคน มีหลักฐานชัดเจน แต่ทำไมตำรวจยังปล่อยให้มีการเคลื่อนไหวอย่างลอยนวล
นายสนธิ ยังได้ยกตัวอย่างกรณีกลุ่ม นปก.ที่ถือมีด ไม้ อาวุธอื่นๆ มาทำร้ายพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวาน โดยมี ส.ส.และรัฐมนตรีของพรรคพลังประชาชนเข้าร่วมมาก่อจลาจล โดยอ้างว่าผ่านมาเจอโดยบังเอิญ ทำไมตำรวจไม่ดำเนินคดีกับคนพวกนี้
“ผมอยากเตือน พล.ต.อ.พัชรวาท ว่า ถ้าแตะต้อง 9 แกนนำแม้แต่คนเดียวแผ่นดินลุกเป็นไฟแน่นอน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง หรือใช้กรณีบุกเอ็นบีทีมาอ้าง ทั้งที่พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้อง โดยรัฐบาลใช้ศาลเป็นเครื่องมือมากลั่นแกล้งกับคนที่มีความคิดเห็นไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง” นายสนธิ ระบุ
นายสนธิ ตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมตำรวจและอัยการของญี่ปุ่นถึงได้รับการยอมรับจากสังคม เพราะทำหน้าที่ตรงไปตรงมาจับแม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี ส่วนตำรวจไทยนั้น ขอท้าให้สำรวจความเห็นของประชาชนว่ามีความรู้สึกอย่างไรต่อตำรวจ เชื่อว่า ผลจะออกมาว่า ตำรวจทำตัวเหมือนโจร จึงขอเตือนให้ระวังไว้เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลง โดยให้ดู นายกฯ หอกหักเป็นตัวอย่าง ที่ตอนนี้หักไปแล้ว
นายสนธิ ยังระบุอีกว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของตำรวจครั้งใหญ่ ภายใต้การเมืองใหม่ โดยตำรวจจะต้องถูกรื้อครั้งใหญ่ ยกตัวอย่างให้ตำรวจนครบาลไปขึ้นกับกรุงเทพมหานคร ส่วนตำรวจภูธรให้ไปขึ้นกับจังหวัดหรือท้องถิ่น ส่วนตำรวจส่วนกลางให้ตั้งเป็นกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยผู้บังคับบัญชาสูงสุดต้องได้รับเลือกจากสภาด้วยคะแนนเสียง 3 ใน 4 เพื่อป้องกันการวิ่งเต้นและรับใช้นักการเมือง นอกจากนี้ยศต่างๆ ก็ควรจะยกเลิกไปด้วย
ในตอนท้าย นายสนธิ ได้กล่าวชมเชยบทบาทของสุภาพสตรีที่มีความอดทนและเสียสละร่วมกันต่อสู้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยและไม่หวั่นอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งต้องขอคารวะด้วยความจริงใจ